เช้าวันที่สอง หนานกงเยี่ยมารับเหลิ่งรั่วปิงที่คอนโดมิเนียมเพื่อส่งเธอไปทำงาน
กหลับมาทำงานที่บริษัทหนานกงอีกครั้ง เหลิ่งรั่วปิงพบว่า ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง หนานกงเยี่ยให้เธอทำงานในห้องทำงานเดิมของเธอ แม้แต่ผู้ช่วยทั้งสองคนก็ยังเป็นคนเดิม โต๊ะทำงานของเธอนอกจากคอมพิวเตอร์ที่เป็นเครื่องใหม่แล้ว ข้าวของเครื่องใช้อย่างอื่นยังคงเป็นอันเดิมที่เธอเคยใช้เมื่อก่อน แม้แต่ตำแหน่งในการจัดวางยังไม่เปลี่ยนแปลง
“สถาปนิกฉู่คะ ฉันชื่อเสี่ี่ยวชุยค่ะ คุณมีอะไรให้ช่วยบอกได้เลยนะคะ” ผู้ช่วยสาวส่งยิ้มมาให้
“สวัสดีค่ะ สถาปนิกฉู่ ฉันชื่อเสี่ยวตู้ค่ะ” ผู้ช่วยอีกคนยิ้มแล้วพูดแนะนำตนเอง
เสี่ยวชุยและเสี่ยวตู้เป็นผู้หญิงที่ว่านอนสอนง่ายมาก เมื่อเหลิ่งรั่วปิงเห็นพวกเธอก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้น ”สวัสดีจ้จ๊ะ เสี่ยวชุย เสี่ยวตู้ หวังว่าพวกเราจะร่วมงานกันด้วยดีนะ”
“ค่ะ สถาปนิกฉู่” เสี่ยวชุยช่างพูดมากกว่า เธอยิ้มตาหยี ”ในที่สุดห้องทำงานนี้ของพวกเรา ก็มีเจ้านายคนใหม่สักที ไม่อย่างนั้นฉันและเสี่ยวตู้ก็ไม่มีอะไรทำเลยค่ะ”
“?” เหลิ่งรั่วปิงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย อยากจะถามพวกเธอสองคน เพราะเท่าที่เหลิ่งรั่วปิงรู้ บริษัทหนานกงไม่เลี้ยงพนักงานว่างงาน
เสี่ยวชุยยิ้ม พูดอย่างมีลับลมคมใน ”คุณมาจากประเทศเอ้าตูคงไม่รู้ใช่ไหมคะ เมื่อก่อนห้องทำงานนี้เป็นห้องทำงานของสถาปนิกคนหนึ่งค่ะ เธอชื่อเหลิ่งรั่วปิง เป็นผู้หญิงที่คุณชายเยี่ยรักมาก พวกเขาทะเลาะกัน สถาปนิกเหลิ่งโมโหก็เลยไปจากเมืองหลง ตั้งแต่วันนั้น คุณชายเยี่ยก็เหมือนถูกผีเข้า อารมณ์เสียทุกวัน ไม่รู้ว่ามีคนในบริษัทกี่คนบ้างที่ถูกคุณหนานกงต่อว่า ทั่วทั้งตึกหนานกงถูกปกคลุมไปด้วยแรงกดดัน”
“ใช่ค่ะ” เสี่ยวตูเบะปาก ”คุณชายเยี่ยรักสถาปนิกเหลิ่งมากเลยค่ะ เธอไม่ได้ทำงานที่นี่แล้ว แต่ห้องทำงานนี้ก็ห้ามไม่ให้ใครแตะต้องเด็ดขาด ข้าวของอุปกรณ์ที่สถาปนิกเหลิ่งเคยใช้ก็ไม่ให้ใครแตะต้องเหมือนกัน แม้แต่พวกเราสองคนก็ยังไม่ให้ย้ายไปทำงานแผนกอื่น ทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะรอสถาปนิกเหลิ่งกลับมาค่ะ”
เหลิ่งรั่วปิงเงียบอีกครั้ง นึกถึงกระเพาะของหนานกงเยี่ย รวมถึงใบหน้าซูบผอมของเขา หัวใจของเธอบีบรัดด้วยความเจ็บปวด
“พอแล้วค่ะๆ พวกเราไม่พูดจาเหลวไหลแล้ว” เสี่ยวชุยยกมือขึ้นเพื่อบอกให้เงียบ ”คุณชายเยี่ยไม่ให้คนในบริษัทพูดถึงคุณเหลิ่งค่ะ ถ้าคุณชายเยี่ยได้ยินเข้าต้องตายแน่”
·ผู้ช่วยทั้งสองคน ต่างแยกย้ายไปทำงานของตนเอง เหลิ่งรั่วปิงมองดูภาพสเก็ตด้วยความเหม่อลอย
ไม่กี่นาทีผ่านไป เสียงโทรศัพท์ในห้องทำงานดังขึ้น คนที่โทรมาคือหนานกงเยี่ย ”คุณฉู่หนิงซยา มาที่ห้องทำงานของผม”
เหลิ่งรั่วปิงคุ้นเคยกับที่นี่มาก เธอขึ้นลิฟต์ไปที่ห้องทำงานของหนานกงเยี่ย ใช้เวลาไม่นานก็ไปถึง สิ่งแรกที่เธอเห็นก็คือต้นกระบองเพชรบนโต๊ะของเขา นั่นเป็นต้นกระบองเพชรที่เธอเลี้ยงเอาไว้ในวิลล่าหย่าเก๋อ ถูกเขาย้ายมาที่นี่ และวันนี้เขาก็เลี้ยงมันไว้ในห้องทำงานของเขา
หนานกงเยี่ยในตอนนี้ ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะซูบผม สีหน้าซีดขาว แต่ยังคงความหล่อเหลาเหมือนเดิม เขาดูสูงศักดิ์มีสง่าเหมือนราชา นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ มองทุกอย่างด้วยสายตาของเหมือนคนที่อยู่เหนือกว่า
เธอเห็นเขาคลี่ยิ้มบางๆ ”คุณมาดูภาพผลงานออกแบบผลนี่นี้หน่อย”
เหลิ่งรั่วปิงนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขา มองดูภาพงานออกแบบบนโต๊ะ นั่นเป็นภาพแลนด์มาร์คเมืองหลงที่เธอออกแบบก่อนหน้าหน้านี้
หนานกงเยี่ยยังคงยิ้มละลายใจ เสียงของเขาแหบพร่าและเซ็กซี่ ”นี่เป็นภาพผลงานของผู้หญิงคนนั้น แต่ภาพวาดทางเทคนิคหายไปหมดแล้ว ถ้าคุณโอเค คุณสามารถเอาภาพพวกนี้ไปพิจารณา แต่ถ้าไม่โอเคคุณอยากจะออกแบบใหม่ก็ได้”
เขารู้ ก่อนหน้านี้เหลิ่งรั่วปิงตั้งใจในการออกแบบมาก เธอน่าจะไม่มีวันทิ้งงานเดิมของตนเอง แต่เพื่อไม่ให้ตัวตนของเธอถูกเปิดเผย เธออาจจะต้องทิ้งผลงานของตนไปด้วยความเจ็บปวด ดังนั้น เพื่อไม่ให้ที่เหลิ่งรั่วปิงไม่ต้องตัดสินใจลำบาก เขาจะปูทางให้เธอเอง”
เหลิ่งรั่วปิงกำลังคิดอยู่ว่าจะออกแบบใหม่อย่างไร ประจวบเหมาะที่เวลานี้หนานกงเยี่ยเอารูปผลงานออกแบบเก่าๆ มาให้เธอ เป็นตัวช่วยที่ดีมาก ”ค่ะ คุณหนานกง” เหลิ่งรั่วปิงยิ้มบางๆ ”ฉันจะพยายามสร้างสรรค์การออกแบบใหม่ๆ โดยคงพื้นฐานนี้ไว้นะคะ”
“ครับ ผมเชื่อในความสามารถของคุณ” หนานกงเยี่ยยิ้ม ”ตั้งใจทำงานได้ แต่อย่าทำงานล่วงเวลา และไม่ต้องทำงานจนเหนื่อยเกินไปนะครับ ไม่อย่างนั้นผมจะจำกัดอิสระในการทำงานของคุณ”
เวลาที่เหลิ่งรั่วปิงทำงาน เธอจะมุ่งมั่นตั้งใจทำงานหามรุ่งหามค่ำ เพื่อที่จะรีบไปจากเมืองหลง มีความเป็นไปได้ว่าเธอจะทำงานติดต่อกันหลายวันโดยไม่หยุด เขาจำเป็นต้องหยุดก่อนที่เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น
“ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงเข้าใจในความเป็นห่วงของเขา เธอยิ้มแทนคำขอบคุณ ความเป็นจริงการออกแบบแลนด์มาร์คเมืองหลงในครั้งนี้ เธอไม่จำเป็นต้องพยายามมากมายขนาดนั้น ข้อมูลทั้งหมดอยู่ในสมองของเธอแล้ว ทุกอย่างง่ายกว่าตอนออกแบบในครั้งตอนแรก
ก่วนอวี้เปิดประตูเข้ามา ในมือของเขาถือถาดเอาไว้ บนถาดมีน้ำเปล่าและยา ”คุณชายเยี่ยครับ ได้เวลารับประทานยาแล้วครับ”
ใบหน้าหล่อเหลาที่เดิมทีแต้มด้วยเต็มไปด้วยรอยยิ้ม กลับเคร่งขรึมขึ้นทันที หนานกงเยี่ยขมวดคิ้วเป็นปม ”ก่อนอาหารเช้ากินไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
ก่วนอวี้ ”มียาที่ต้องกินก่อนอาหาร และยาที่ต้องกินหลังอาหารครับ”
หนานกงเยี่ยรู้สึกหงุดหงิด เขาโยนเอกสารในมือทิ้ง ”ฉันยังไม่ตาย ทำไมต้องเอายามากมายมาให้ฉันกินทั้งวัน ไปตามหมอคนนั้นมาให้ฉัน ฉันจะถามเขาดูว่าทำไมต้องจ่ายยาให้ฉันมากขนาดนี้ด้วย!”
ก่วนอวี้เม้มปากด้วยความลำบากใจ ”คุณชายเยี่ยครับ ผมรู้ว่าคุณไม่อยากกินยา แต่ว่า… ถ้าไม่กินยาแล้วจะหายป่วยได้ยังไงครับ”
หนานกงเยี่ยเข้าใกล้ความโมโหมากขึ้นเรื่อยๆ ”ไม่กิน เอาออกไป!” เห็นยาพวกนั้นแล้ว ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจ ยาพวกนั้นเหมือนศัตรูของเขา พวกมันกำลังประกาศตัวว่าเขาอ่อนแอ นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้น
ก่วนอวี้ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่รู้จะทำอย่างไรยังไงดี
เหลิ่งรั่วปิงชำเลืองมองก่วนอวี้ ถอนหายใจด้วยความจนปัญญา ผู้ชายคนนี้เอาแต่ใจตัวนเองตลอด เธอลุกขึ้นช้าๆ จากนั้นหยิบยาและน้ำ พร้อมกับพูด ”หน้าตาน่ารับประทานมากเลยนะคะ ถ้าคุณไม่กินฉันจะกินเอง”
หนานกงเยี่ยลุกพรวดขึ้นมา รีบแย่งยาในมือเหลิ่งรั่วปิง ”น่ากินตรงไหน!” แววตาของเขามีความโมโหเผยออกมาเล็กน้อย ”คุณโง่หรือรึเปล่า ไม่ป่วยสักหน่อยกินยาไปมั่วซั่วได้ยังไง”
เหลิ่งรั่วปิงหยิบกล่องยาขึ้นมาดู ”ว้าว ผลิตโดยบริษัทถังซื่อ เป็นยาที่ดีนะคะ แสดงว่าราคาต้องไม่ใช่น้อยๆ แน่ ไม่กินก็เปลืองเปล่าๆ ถ้าคุณไม่กิน เก็บเอาไว้ให้ฉันด้วยนะคะ”
หนานกงเยี่ยขมวดคิ้วเป็นปมแล้วกลืนยาลงท้อง ”ทำไมผมต้องเก็บยาของตนเองให้คุณด้วย!”
ก่วนอวี้ที่ยืนอยู่ตรงนั้น อยากจะหัวเราะเสียงดัง เป็นจริงตามนั้น สิ่งหนึ่งข่มสิ่งหนึ่ง บนโลกใบนี้คนที่จะทำให้หนานกงเยี่ยยอมเชื่อฟังได้ นอกจากเหลิ่งรั่วปิงแล้วไม่มีใครอีก
หลังจากก่วนอวี้เดินออกไป เหลิ่งรั่วปิงมองดูชายหนุ่มที่สีหน้าไม่สบอารมณ์ เธอรู้สึกไม่สบายใจ ”คุณหนานกง คุณช่วยทำตัวเป็นผู้ใหญ่หน่อยได้ไหมคะ ป่วยก็ต้องกินยาให้ตรงเวลาไม่ได้หรือไงคะ”
หนานกงเยี่ยเงยหน้าขึ้น มองดูใบหน้าเล็กๆ ของเหลิ่งรั่วปิงด้วยแววตาลุ่มลึก ”คุณเป็นห่วงผม”
เหลิ่งรั่วปิงทำสีหน้านิ่งๆ ”เป็นห่วงในฐานะเพื่อนมนุษย์”
หนานกงเยี่ยรู้สึกได้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่าเธอเป็นห่วงเขา ดังนั้นเขาจึงพูดด้วยความใจกล้า ”ถ้าหลังจากนี้คุณเป็นคนดูแลเรื่องยาของผม ผมจะกินยาให้ตรงเวลา”
เหลิ่งรั่วปิงเงยหน้าขึ้นด้วยความโมโห ”ทำไมฉันต้องทำเรื่องพวกนี้ให้คุณด้วยคะ”
หนานกงเยี่ยเอนตัวลงบนโซฟาด้วยความขี้เกียจ ”แล้วคุณจะสนใจทำไมว่าผมกินยาหรือรึเปล่า”
เหลิ่งรั่วปิงกัดฟันกรอด สมแล้วที่เธอติดค้างเขา เหลิ่งรั่วปิงก่นด่าตนเองว่าไร้ประโยชน์ ตอนนั้นตัดสินใจเด็ดขาด เพื่อที่จะตัดขาดความสัมพันธ์กับเขา เธอยอมกระโดดตึก ซิ่งรถ ฝ่าด่าน กระโดดลงทะเล ทั้งยังใช้มีดบินทำร้ายเขา ตอนนี้กลับเริ่มเป็นห่วงเขา จริงๆ เลย…
แต่มองดูเขาที่ไม่สนใจอาการป่วยของตัวนเอง เธอก็ไม่สบายใจ ขมวดคิ้วเป็นปมพูดด้วยความโมโห ”ให้ก่วนอวี้มาหาฉัน!” พูดจบ เธอก็เหยียบรองเท้าส้นสูง เดินกระแทกเท้าออกไป มองดูการกระทำของเธอแล้ว แทบจะอยากกระแทกเท้าจนพื้นเป็นรู
หนานกงเยี่ยมองจนเหลิ่งรั่วปิงเดินออกไป ริมฝีปากบางเผยยิ้ม เขาไม่ได้ยิ้มแบบนี้มานานแล้ว
เธอยังเป็นห่วงเขา!
ดอกไม้กำลังบานสะพรั่งในใจเขา
*****
เหลิ่งรั่วปิงกลับไปที่ห้องทำงานได้ไม่นาน ก่วนอวี้ก็เดินเข้ามา เขาเดินเข้ามาพร้อมกล่องยาสีเงิน รวมถึงรายละเอียดของยาทุกตัว
เหลิ่งรั่วปิงรับยามาดู อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา เวลาในการทานยาของหนานกงเยี่ยยุ่งยากจริงๆ มีทั้งยาก่อนอาหาร และยังมียาหลังอาหาร มียาที่กินวันละสามครั้ง และยาที่กินวันละสองครั้ง
ดูท่าแล้ว เธอรับงานนี้ เท่ากับว่าต้องเจอเขาวันละห้าหกรอบ หาเรื่องให้ตัวเองจริงๆ ทำไมตอนนั้นเธอต้องเป็นคนดีด้วย!
เป็นจริงตามนั้น เมื่อถึงมื้อเที่ยง หนานกงเยี่ยก็โทรมา ”ทำไมคุณยังไม่เอายามาให้ผมครับ มียาที่ต้องกินก่อนอาหารด้วยไม่ใช่เหรอ”
เหลิ่งรั่วปิงเบะปาก ตอนนี้ทำไมถึงจำขึ้นใจขนาดนี้ ถ้ารู้แบบนี้แต่แรก ทำไมต้องมีคนคอยเตือนให้กินยาด้วย
แต่ว่า เธอเป็นคนรักษาคำพูด ถึงแม้ภายในใจจะโมโห แต่เธอก็ยังคงทำตามสัญญา เหลิ่งรั่วปิงจัดเตรียมยาตามใบสั่ง เธอเตรียมยาที่หนานกงเยี่ยต้องกินก่อนอาหาร พร้อมกับน้ำดื่ม แล้วเดินไปที่ห้องทำงานของเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ผู้ช่วยสาวทั้งสองคนอยู่ไม่สุขนิ่งแล้ว คุณฉู่มาเพิ่งมาทำงานก็ดูแลคุณชายเยี่ยอย่างใกล้ชิด ดูท่าคงจะไม่ธรรมดา สิ่งที่พวกเธอพูดไปในตอนเช้า จะทำให้พวกเธอตายโดยไม่รู้สาเหตุหรือรึเปล่า
เหลิ่งรั่วปิงยกถาดเล็กๆ เดินเข้าไปในห้องทำงานของหนานกงเยี่ย สีหน้าของเขาตรงข้ามกับสีหน้าบอกบุญไม่รับของเธอมาก หนานกงเยี่ยยิ้มร่า เมื่อเห็นเธอเดินเข้ามา ใบหน้าของเขาเหมือนหยดน้ำในทะเลสาบ กระเพื่อมเป็นวงกลม
เหลิ่งรั่วปิงวางถาดไว้บนโต๊ะ ”คุณหนานกง กินทานยาค่ะ”
“ครับ” หนานกงเยี่ยหยิบยาที่เธอจัดเตรียมมาให้ขึ้นมากิน พร้อมกับดื่มน้ำตามลงไป ไม่มีท่าทีต่อต้านแม้แต่น้อย ทำเหมือนกับว่าเธอเอาน้ำผึ้งมาให้เขากิน ”เตรียมตัวให้เรียบร้อย พวกเราออกไปกินข้าวกันเถอะครับ”
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเหลิ่งรั่วปิงไม่อยากไปกินข้าวกับเขา เธอพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย แววตาห่างเหิน ”ไม่เป็นไรค่ะคุณหนานกง ฉันจะไปกินที่โรถงอาหาร”
“ถ้าคุณไปกินที่โรถงอาหารแล้วใครจะเป็นคนบอกให้ผมกินทานยาละครับ”
“ฉันแบ่งยาเอาไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ คุณกินข้าวเสร็จอย่าลืมกินยาก็พอค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงยื่นห่อกระดาษเล็กๆ ไปตรงหน้าหนานกงเยี่ย
หนานกงเยี่ยกวาดมองห่อยา สีหน้าไม่พอใจ ”สิ่งที่ผมคิดในทุกวันคือการวางแผนกลยุทธ์ต่างๆ ในการบริหารจัดการงาน เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ผมจะจำได้ยังไงครับ เมื่อตอนเช้าคุณรับหน้าที่แล้ว แต่กลับไม่ทำตามหน้าที่ คุณเป็นคนแบบไหนเนี่ย”
คนแบบไหน เขาถึงขั้นสงสัยความเป็นคนของเธอ!