เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกว่าตนเองตกหลุมพรางของเขาแล้ว ตกหลุมพรางยังไม่ใช่เรื่องที่แย่ที่สุด แต่เรื่องที่แย่ที่สุดคือในหลุมพรางนี้ยังมีพลาสเตอร์หนังหมา ที่ติดแน่นจนดึงไม่ออก
พลาสเตอร์หนังหมาแผ่นนี้ก็คือหนานกงเยี่ย!
ใช่ เขาเป็นพลาสเตอร์หนังหมา!
หนานกงเยี่ยมองดูสีหน้าเหี้ยมโหดของเหลิ่งรั่วปิง รู้ทันทีว่าเธอกำลังก่นด่าเขาในใจ สีหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้นมาทันที พูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก ”คุณฉู่หนิงซยา คุณกำลังด่าผมว่าอะไร”
เหลิ่งรั่วปิงซึ่งทำกำลังด่าเขาในโลกของตนเอง เมื่อได้ยินคำถามของหนานกงเยี่ย อดไม่ได้ที่จะเผลอพูดออกมา ”พลาสเตอร์หนังหมา”
หมา…หมาอะไร
พลาสเตอร์หนังหมา?!
หนานกงเยี่ยจับปากกาแน่น แน่นจนปากกาหัก เขากัดฟันกรอดพูดออกมาทีละคำ ”ฉู่หนิงซยา คุณคงเบื่อโลกแล้วใช่ไหม!” บนโลกใบนี้มีใครกล้าด่าหนานกงเยี่ยบ้าง เธอใจกล้ามาก ให้เกียรติเธอจนเธอเหิมเกริมสินะ”
เหลิ่งรั่วปิงดึงสติตนเองกลับมา รู้ว่าตนเองพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป แต่เธอไม่กลัวเขา เหลิ่งรั่วปิงมองไปที่เจ้าของดวงตาสีดำด้วยท่าทียียวน ”เมื่อวานใครเป็นคนพูดว่า ฉันสามารถโมโหได้ สามารถดื้อได้ หรือต่อให้ฉันทำลายทั้งเมืองหลง ก็จะไม่ต่อว่าฉันแม้แต่คำเดียว หรือคนที่เมื่อคืนพูดคำนี้เมื่อคืนสมองโบ๋ไปแล้ว”
หนานกงเยี่ย ”…”
หนานกงเยี่ยเม้มกัดฟัน เขาไม่รู้จะพูดอะไร หลังจากผ่านไปนานครู่หนึ่ง เขายิ้มอย่างจนปัญญา ”ครับๆๆ คุณพูดถูก” จากนั้นก็ทำหน้านิ่ง ”ไปเก็บของแล้วออกไปกินข้าวกัน! ขืนคุณยังชักช้าผมจะยึดสิทธิ์ในการออกแบบแลนด์มาร์คเมืองหลง!”
เหลิ่งรั่วปิง ”…”
ผู้ชายคนนี้ช่วยทำตัวดีๆ หน่อยได้ไหม ตอนนั้นเขาบีบบังคับให้เธอกลับมาจากเมืองเฟิ่งก็ใช้เรื่องนี้มาข่มขู่ ตอนนี้ก็หยิบมันขึ้นมาข่มขู่อีกแล้ว จริงๆ เลย ไร้อนาคตรชะมัด!
“พลาสเตอร์หนังหมา!” พูดทิ้งท้ายสั้นๆ เหลิ่งรั่วปิงคว้าห่อยาบนโต๊ะแล้วเดินออกไปจากห้องทำงาน เธอต้องกลับไปเอากระเป๋าที่ห้องทำงานของตนเอง
คำพูดสี่คำนี้เป็นความขายหน้าของหนานกงเยี่ย แต่ละคำพุ่งกระแทกหน้าหนานกงเยี่ยจนอยู่ไม่เป็นสุข เขากัดฟันกรอดจ้องมองไปที่ประตูห้องทำงานนานหนึ่งนาที ถ้าสามารถกินประตูเข้าไปได้ ตอนนี้ประตูคงอยู่ในท้องของเขาแล้ว
เหลิ่งรั่วปิงหยิบกระเป๋า ลงลิฟต์ไปที่ลานจอดรถชั้นใต้ดิน หนานกงเยี่ยรอเธอที่รถแล้ว เขาขับรถด้วยตนเอง
หนานกงเยี่ยทำหน้านิ่ง ลมหายใจของเขาเหมือนหยดน้ำแข็ง รินรดอยู่ตรงหน้าเหลิ่งรั่วปิง จนน้ำแข็งก่อตัวขึ้นบางๆ ที่หน้าของหญิงสาวเหลิ่งรั่วปิง ”อยากกินอะไร”
พูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกแบบนี้ ไม่เหมือนกำลังถามว่าอยากกินอะไรสักนิด เห็นได้ชัดว่าเขากำลังใช้คำพูดกระแทกหน้าเธอให้ตาย!
เหลิ่งรั่วปิงคาดเข็มขัดนิรภัยช้าๆ ”คุณหนานกง คุณอยากกินอะไรคะ ฉันกินอาหารที่เหลือของคุณก็พอแล้ว”
สำหรับท่าทีนิ่งเฉยของเธอ กำลังทำลายความอดทนของเขาถูกทำลายด้วยความนิ่งเฉยของเธอในทุกวินาที หนานกงเยี่ยรู้สึกจนปัญหา ตี เขาก็ตีเธอไม่ลง ด่า เขาก็ด่าเธอไม่ลง ยังมีวิธีไหนอะไรบ้าง ไม่มีแล้ว เหลือแค่วิธีเดียว ตามใจเธอ!
“ฮ่าๆๆ…” หนานกงเยี่ยหัวเราะเสียงเบา ”ฉู่หนิงซยา ผมทำไม่ดีกับคุณเหรอ หื้ม?” อะไรคือการที่บอกว่ากินอาหารเหลือก็พอแล้ว มีครั้งไหนบ้างที่เขาไม่ป้อนข้าวเธอจนอิ่มแล้วค่อยกินอาหารเหลือของเธอ เธอคิดว่าอาศัยหน้ากากนี้จะทำให้เปลี่ยนหน้าประวัตศาสตร์ได้เหรอ
เหลิ่งรั่วปิงทำตัวนิ่งๆ พูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน ”จากสีหน้าที่เหมือนจะกินคนของคุณหนานกง ฉันคงไม่ได้กินแม้แต่อาหารเหลือ”
หนานกงเยี่ยยื่นมือไปจับคางของเหลิ่งรั่วปิง จ้องมองเข้าไปในดวงตาของเธอนานสามวินาที ผู้หญิงคนนี้น่าทึ่งจริงๆ ดวงตากลมโตของเธอทั้งสวย ทั้งใสซื่อบริสุทธิ์ ใสราวกับหยดน้ำค้าง ริมฝีปากบางของเธอ เหมือนกลีบดอกไม้ที่สวยงาม แต่ทำไมถึงใจดำ พูดจาโกหก ภายนอกเหมือนนางฟ้า แต่ข้างในเป็นปีศาจร้ายชัดๆ
แต่ผู้หญิงที่เป็นครึ่งนางฟ้าและครึ่งปีศาจคนนี้ ขโมยหัวใจของเขาไป
หนานกงเยี่ยหัวเราะขึ้นมากะทันหัน ลูบไล้หน้าของเหลิ่งรั่วปิงด้วยความรักใคร่ ”คุณอ่ะ ปากเก่งตลอดเลยนะครับ” ความโมโหในตัวเขาหายไปทันที ”ครับ ผมพาคุณไปกินอะไรอร่อยๆ”
หนึ่งในร้านอาหารที่หรูที่สุดในเมืองหลง ภัตตาคารซงเฮ่อ ถึงแม้จะมากินกันแค่สองคน แต่หนานกงเยี่ยก็เหมาทั้งห้องอาหาร
ตอนสั่งอาหาร เขาหยิบเมนูขึ้นมาแล้วสั่งอาหารที่เหลิ่งรั่วปิงชอบตามความเคยชิน แต่ทุกเมนูกลับถูกเธอปฏิเสธ หนานกงเยี่ยตกใจ หรือว่าจากกันไปไม่กี่เดือน เธอก็เปลี่ยนความชอบไปแล้ว
เหลิ่งรั่วปิงหยิบเมนูอาหารขึ้นมา แล้วสั่งอาหารสองสามอย่าง โดยไม่ถามความคิดเห็นของหนานกงเยี่ย หลังจากสั่งอาหารเสร็จเธอก็คืนเมนูให้กับบริกร หนานกงเยี่ยในตอนนี้แทบจะดูแลเธอเหมือนฮองเฮา เพื่อที่จะทำให้เหลิ่งรั่วปิงหายโกรธ ไม่ว่าเธอจะพูดอะไรก็ตามใจเธอทุกอย่าง เขาไม่กล้ามีความคิดเป็นอื่น
เมื่ออาหารมาเสิร์ริฟ ในที่สุดเขาก็เข้าใจ อาหารที่เธอสั่งล้วนเป็นอาหารที่ดีต่อกระเพาะ ที่แท้เพื่อที่จะรักษากระเพาะของเขา เธอยอมเปลี่ยนรสชาติที่ตนเองชอบ
ความรู้สึกหอมหวานเหมือนน้ำพุที่พุ่งขึ้นมาจากก้นบึ้งในหัวใจของเขา หนานกงเยี่ยรู้สึกอบอุ่นไปทั้งตัว
หลังจากกินอาหารเสร็จ ภายใต้การจับตามองของเหลิ่งรั่วปิง หนานกงเยี่ยกินยาอย่างว่าง่าย จากนั้นทั้งสองก็กลับไปที่บริษัท ตลอดช่วงบ่าย หนานกงเยี่ยมีความสุขมาก เขารู้สึกเหมือนกำลังลอยตัวอยู่บนก้อนเมฆ มีหลายครั้งที่ก่วนอวี้เดินเข้ามา เห็นว่าเขามองภาพในกล้องวงจรปิดแล้วยิ้มเล็กยิ้มน้อยอย่างมีความสุข ก่วนอวี้อดอมยิ้มไม่ได้ คุณชายเยี่ยที่มีความรัก แค่วันเดียวก็ดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา
หนานกงเยี่ยถูกเหลิ่งรั่วปิงเรียกว่า ”พลาสเตอร์หนังหมา” ด้วยเหตุนี้เขาจึงตีความคำพูดนี้อย่างถึงที่สุด ตอนค่ำก่อนจะเลิกงานเขาโทรหาเธอพร้อมกับขอร้องให้กินมื้อค่ำด้วยกัน เหลิ่งรั่วปิงจนปัญญา ทำได้เพียงตามใจเขา หลังจากกินมื้อค่ำเสร็จเธอก็เอายาให้เขากิน จากนั้นก็กลับไปที่คอนโดมิเนียมของตัวนเอง เดิมทีเธอคิดว่าวันนี้จะจบลงแล้ว ในที่สุดเธอก็หลุดพ้นจากผู้ชายที่น่ารำคาญคนนี้ แต่ใครจะไปรู้หลังจากที่เธออาบน้ำเสร็จยังไม่ทันได้พักผ่อน ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น เหลิ่งรั่วปิงเปิดประตู พบเป็นผู้ชายหนุ่มที่ตามตอแยไม่เลิกอีกแล้ว
“คุณหนานกง ดึกดื่นแบบนี้คุณไม่มียาอะไรให้กินแล้วค่ะ” น้ำเสียงของเหลิ่งรั่วปิงไม่ว่าจะฟังยังไงก็รู้สึกถึงความรำคาญ
ทว่าหนานกงเยี่ยกลับไม่สนใจ เขายิ้มแล้วเลิกคิ้วขึ้น ”ผมมาเพื่อที่จะบอกคุณว่า ผมพักอยู่ห้องข้างๆ คุณแล้วนะครับ พรุ่งนี้เช้าคุณเอายามาให้ผมที่ห้องได้เลย”
“?” เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกเหมือนถูกยัดน้ำแข็งเข้าปาก ริมฝีปากบางเผยอขึ้นเล็กน้อยแต่กลับพูดไม่ออก เขาย้ายมาอยู่ข้างห้องเธอ ?!
เมื่อเห็นเหลิ่งรั่วปิงไม่มีท่าทีจะเชิญเขาเข้าไปด้านใน หนานกงเยี่ยก็หน้าด้านเบียดตัวเสียดเข้ามา จากนั้นนั่งลงบนโซฟา พร้อมกับพูดขึ้น ”เอาน้ำให้ผมดื่มแก้วหนึ่งสิ”
เหลิ่งรั่วปิงกัดฟันกรอด อาศัยหลักการที่ว่าการโกรธก่อนนอนนั้นไม่ดีต่อความสวยงาม เธอกัดฟันแน่นข่มความโมโหในใจของตนเอง เดินไปเทน้ำให้เขาด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก ”คุณหนานกง ตอนนี้ดึกมากแล้ว ฉันต้องการพักผ่อนค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็นอนพักสิครับ ผมดื่มน้ำเสร็จก็ไปแล้ว เดี๋ยวผมล็อคล็อกห้องให้เองครับ” หนานกงเยี่ยยิ้มเหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสา ดวงตาคู่สวยเปล่งประกาย มองไปที่เหลิ่งรั่วปิง เหมือนความอ่อนโยนรายล้อมบนตัวเธอ
นานแล้วที่เขาไม่ได้เห็นเธอแบบนี้ สวมชุดนอนสีชมพูอ่อนที่เขาซื้อให้เธอเมื่อวาน ผมเปียกเล็กน้อย สีหน้าอ่อนเพลีย เธอเหมือนดอกลิลลี่ที่กำลังจะเข้านอน สวยจนทำให้คนอยากเข้าไปสวมกอด
หนานกงเยี่ยรีบยกแก้วน้ำขึ้น แล้วดื่มอึกใหญ่ เพื่อที่จะเบี่ยงเบนความสนใจของตนเอง ไม่อย่างนั้นเขาคงพุ่งตัวไปสวมกอดเธอแน่ๆ ถ้าเป็นเช่นนั้นทุกอย่างจะเสียการควบคุม
เจอกันอีกครั้ง เหลิ่งรั่วปิงสุดจะทนกับความหน้าด้านของผู้ชายคนนี้แล้ว เธอไม่พูดอะไร เธอกลับไปที่ห้องนอนน้ำ พร้อมทั้งปิดประตูอย่างแรง ครุ่นคิดในใจ ผู้ชายที่หยิ่งในศักดิ์ศรีแบบเขา ถูกเธอเมินและเย็นชาใส่ คงรู้ตัวแล้วออกไปแน่
เมื่อได้ยินเสียงกระแทกปิดประตู หนานกงเยี่ยสะดุ้งตกใจ หันกลับไปที่ประตูห้องนอนด้วยความหงุดหงิด คิ้วเข้มขมวดเป็นปม ตอนนี้เธอเกลียดเขามากขนาดนี้เลยหรือ
ดื่มน้ำในแก้วจนหมด จากนั้นลุกขึ้นช้าๆ แล้วเดินไปปิดไฟในห้องรับแขก เดินออกไป พร้อมกับล็อคล็อกประตูห้องให้เธอ
กลับไปที่ห้องของตนเอง อาบน้ำและขึ้นไปนอนบนเตียง พูดกับผนังห้องเสียงพึมพำ ”ฝันดี เหลิ่งรั่วปิง”
ห้องข้างๆ คือห้องนอนของเหลิ่งรั่วปิง ถึงแม้จะมีกำแพงขวางกั้น แต่หนานกงเยี่ยยังคงมีความสุขมาก ถึงอย่างไรก็ดีกว่าอยู่ห่างกันข้ามฟ้าข้ามทะเลโดยที่เขาไม่รู้ว่าเธออยู่ไหน
เช้าวันที่สอง เหลิ่งรั่วปิงตื่นขึ้นมาอาบน้ำแปรงฟัน หลังจากที่เธอเพิ่งแต่งตัวเสร็จ หนานกงเยี่ยก็โทรมา ”เอายามาให้ผมกิน”
ทำไมโทรมาได้เวลาพอดิบพอดีขนาดนี้!
เหลิ่งรั่วปิงส่ายหน้าไปมา เตรียมยาเสร็จก็เดินไปเคาะห้องของหนานกงเยี่ย ด้านในมีเสียงอารมณ์ดีของหนานกงเยี่ยดังออกมา ”เชิญครับ ผมไม่ได้ล็อคล็อกประตู”
เหลิ่งรั่วปิงเบ้ปาก เปิดประตูเข้าไป ตอนแรกเธอไม่อยากเข้าไป คิดว่าเอายาให้เขาแล้วจะกลับไปที่ห้องเลย
หนานกงเยี่ยยื่นหน้าออกมาจากห้องครัว เขาส่งยิ้มละลายใจมาให้ ”รอสักครู่นะครับ ใกล้เสร็จแล้ว”
เหลิ่งรั่วปิงไม่เข้าใจ ว่าราชาธุรกิจสุดแสนเย็นชาอย่างเขา ไปทำอะไรในห้องครัวแต่เช้า ด้วยความสงสัย เหลิ่งรั่วปิงจึงเดินไปดู เธอตกใจมาก หนานกงเยี่ยกำลังอ่านสูตรอาหารแล้วเตรียมอาหารเช้า แน่นอนว่าอาหารเช้าที่เขาทำนั้นเป็นแบบง่ายๆ มีนม ซูชิ น้ำผลไม้และสลัดผลไม้
หนานกงเยี่ยยกนมและซูชิที่เพิ่งอุ่นร้อนเสร็จมาวางบนโต๊ะ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับละอองฝนในฤดูใบไม้ผลิ ”มากินอาหารเช้ากัน”
เผชิญหน้ากับการดูแลเอาใจใส่แบบนี้ เหลิ่งรั่วปิงพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว เขาจำเป็นต้องทำขนาดนี้ให้ผู้หญิงที่เป็นแค่ตัวแทนของเหลิ่งรั่วปิงด้วยหรือ
“นิ่งอยู่ทำไมครับ มากินเร็ว” หนานกงเยี่ยเลื่อนเก้าอี้ พาเหลิ่งรั่วปิงมานั่ง จากนั้นนั่งลงข้างๆ เธอ ”ยาของผมละครับ”
เหลิ่งรั่วปิงเอาห่อยาเลื่อนไปตรงหน้าเขา หนานกงเยี่ยกินยาและดื่มน้ำตามอย่างว่าง่าย จากนั้นเอียงศีรษะมองดูเธอกินอาหารเช้า นี่เป็นอาหารเช้าที่เขาทำเองกับมือ การได้นั่งมองเธอกินแบบนี้เขารู้สึกมีความสุขมาก
“ทำไมคุณถึงไม่กินคะ” เหลิ่งรั่วปิงหันไปมองหนานกงเยี่ยด้วยความสงสัย
หนานกงเยี่ยยิ้มเหมือนลมในฤดูใบไม้ผลิ ”คุณบอกว่า ยาก่อนอาหารต้องกินอย่างน้อยสิบนาทีก่อนกินอาหารไม่ใช่เหรอครับ ผมกำลังรอเวลา”
เอ่อ…
เขาจำได้ดีกว่าเธอเสียอีก ดูเหมือนเธอจะละเลยต่อหน้าที่ของตัวนเอง!
เหลิ่งรั่วปิงหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อย