บทที่ 195 ก้าวพริบตาอีกครั้ง

ไหปีศาจ

บทที่ 195
ก้าวพริบตาอีกครั้ง

กระต่ายแห่งแดนสาบสูญหรือที่เรียกกันว่าสัตว์วิญญาณที่อ่อนแอที่สุดนั้นมีทักษะระดับ A [ก้าวพริบตา] ซึ่งเป็นทักษะที่ผู้ใช้พลังวิญญาณหลายคนปรารถนา
อย่างไรก็ตามแม้ว่าทักษะก้าวพริบตาจะแข็งแกร่ง แต่มันก็มีข้อจำกัด
ระยะของทักษะก้าวพริบตานั้นค่อนข้างสั้นและจะต้องไม่มีสิ่งกีดขวางระหว่างทางที่ก้าวพริบตาไปจนถึงปลายทาง ที่สำคัญที่สุดคือต้องรออย่างน้อย 20 วินาทีก่อนจะสามารถใช้ได้อีกครั้ง
มันมีข้อจำกัดมากมาย ดังนั้นก้าวพริบตาจึงเป็นได้เพียงแค่ทักษะระดับ A

เนื่องจากแนวคิดเรื่องนี้อยู่ในหัวของผู้ตรวจสอบ จิตใต้สำนึกของเขาจึงคิดว่ากระต่ายแห่งแดนสาบสูญยักษ์ตัวนี้กำลังใช้ทักษะ “ก้าวพริบตา” และโพล่งประโยคนี้ออกไป
ก้าวพริบตาทางไกล
ทักษะที่ทะลุขีดจำกัดของทักษะเดิม

“มันไปได้ไกลมาก”
“ด้วยทักษะนี้ นางจะสามารถรับมือสถานการณ์ในการต่อสู้ได้มากขึ้น”
“โชคดีที่มันเป็นแค่กระต่ายแห่งแดนสาบสูญ แม้ว่ามิติวิญญาณของมันจะดูสูง แต่ความสามารถในการต่อสู้ของมันก็น่าจะอ่อนแอเกินไป ไม่เช่นนั้นมันจะต้องเป็นฝันร้ายแน่ ๆ”
“เจ้าโง่ตราบใดที่ ตัวผู้ใช้พัฒนาตัวเองได้สูงมันก็เพียงพอแล้ว เพราะหลังจากที่นางได้รับการเลื่อนขั้นเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงแล้วละก็ การประสานระหว่างผู้ใช้พลังวิญญาณและสัตว์วิญญาณจะสามารถชดเชยการประสิทธิภาพในการต่อสู้ให้กับมันได้ด้วยพลังของสัตว์วิญญาณอื่น ๆ ”
ผู้คนจ้องมองไปที่หลี่หยินอย่างอิจฉา

ด้วยทักษะนี้แม้ว่าแรกเริ่มนั้นจะไม่ได้แข็งแกร่งนัก แต่เมื่อนางเลื่อนระดับเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงแล้ว นางจะมีพลังในการต่อสู้เพิ่มขึ้นอย่างมาก
ถ้าพวกเขารู้ว่าเสี่ยวไป่นั้นไม่ได้ก้าวพริบตาระยะไกล แต่เป็นทักษะ “ทะลวงมิติ” ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในทักษะทางมิติที่แข็งแกร่งที่สุดแล้วละก็ ไม่รู้เลยจริงๆว่าพวกเขาจะมีปฏิกิริยาแบบไหนกัน
ผู้ตรวจสอบใช้เวลานานในการตอบสนอง
ความสามารถก้าวพริบตาระยะไกล จะเป็นสิ่งที่อยู่ยงคงกระพันอย่างแน่นอน ในการต่อสู้ความสามารถดังกล่าวนั้นควรค่าแก่การฝึกฝน

“การประเมิน สัตว์วิญญาณ: ระดับ A” ผู้ตรวจสอบอุทาน
ลั่วอู๋มีความสุขกับผลลัพธ์นี้
เพราะเดิมทีเสี่ยวไป่นั้นได้รับการปรับแต่งโดยตัวเขา

รายการต่อไปคือการตรวจสอบความเร็วในการฝึกฝน
การประเมินนี้มีความสำคัญมาก มันสามารถเปรียบเทียบคุณสมบัติและความเร็วในการฝึกฝน เพื่อแสดงให้เห็นว่าบุคคลนั้นมีความขยันขันแข็งและสามารถกำแพงมิติวิญญาณได้หรือไม่
ผู้ตรวจสอบหยิบแผ่นหยกบาง ๆ ขึ้นมา แล้วขอให้หลี่ หยินติดแผ่นหยกนั้นบนหน้าผากของนางเพื่อตรวจจับความเร็วในการฝึกฝน
หยกนี้เป็นหินแห่งความทรงจำของสัตว์วิญญาณอันล้ำค่า
ว่ากันว่าหินนี้ได้รับการขัดเกลาโดยสัตว์วิญญาณในตำนานที่มีพลังในการควบคุมเวลา ดังนั้นมันจึงหาได้ยากมาก คาดว่ามีแผ่นหินแบบนี้เพียงไม่กี่ชิ้นในเขตเมืองหมิงหนาน
แสงแห่งพลังวิญญาณบางส่วนเริ่มแสดงขึ้นบนแผ่นหยก
ผู้ตรวจสอบขมวดคิ้ว เขารู้สึกได้ถึงความผันผวนที่เกิดขึ้นบนแผ่นหยก จากนั้นก็ขมวดคิ้วแสดงสีหน้าไม่เชื่อในสิ่งที่ได้เห็นแล้วอุทานออกมาว่า “ แค่ปีครึ่งงั้นเหรอ?”

เกิดความโกลาหลขึ้น
เวลาที่กล่าวในที่นี้หมายถึงเวลาที่ใช้ในการก้าวผ่านมิติวิญญาณระดับทองแดงสู่ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเงิน
หนึ่งปีครึ่ง
กล่าวก็คือนางใช้เวลาเพียงหนึ่งปีครึ่งในการฝึกฝนมาถึงสภาพในปัจจุบัน
ความเร็วนี้เกินจริงไปมาก
“ความเร็วในการฝึกฝน ระดับ A” ผู้เข้าสอบคิดทบทวนอีกครั้งจากนั้นจึงตะโกนต่อไป “การทดสอบรอบแรกได้จบลงแล้ว เจ้าได้ระดับ A”

อย่างไรก็ตามการประเมินทักษะโดยรวมนั้นไม่ได้ดีไปกว่า ระดับ B เท่าไหร่
แต่ผลก็ยังคงครอบคลุมอยู่มาก
นี่แสดงให้เห็นว่าทางสำนักเฉียนหลง ให้ค่าคุณภาพของหลี่หยินไว้ค่อนข้างสูง
หลี่หยินไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร แต่น่าจะเป็นเรื่องดี ดังนั้นนางจึงรู้สึกมีความสุขมาก เพราะนางไม่ได้ทำให้นายน้อยของนางเสียหน้า

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าไปประสบโชคดีอะไรมา ถึงได้มีสาวใช้ที่มีคุณสมบัติวิเศษเช่นนี้” ฉูจงฉวนกล่าวชม
ลั่วอู๋หัวเราะ “ข้าก็สมควรได้รับสาวใช้ที่ยอดเยี่ยม เพราะความสามารถของข้าไม่ได้เหรอ?”
ฉูจงฉวนลองคิดถึงเรื่องนี้ แต่เขาก็พบว่าเขาพูดอะไรไม่ออก
ด้วยคุณสมบัติของลั่วอู๋ เขาคู่ควรกับสาวใช้ที่ยอดเยี่ยมคนนี้จริง ๆ

ผู้ตรวจสอบยื่นเหรียญให้กับหลี่หยิน “จงเก็บเหรียญนี้ไว้ให้ดี เราจะแจ้งให้เจ้าทราบเมื่อมีการทดสอบรอบสอง”
หลี่หยินยอมรับเหรียญมาแต่โดยดีและกลับไปอยู่ข้าง ๆ ลั่วอู๋ท่ามกลางสายตาของหลาย ๆ คนที่ไม่เต็มใจและอิจฉา
ใบหน้าของมู่เฉิงเองก็ดูไม่ค่อยดีนัก
เดิมทีเขาคิดว่าจะต้องระวังฉูจงฉวนและลั่วอู๋เท่านั้น ใครจะไปคิดว่าเขาต้องระวังสาวใช้ตัวเล็ก ๆ คนนี้ด้วย
“คนต่อไป” ผู้ตรวจสอบกล่าวเรียก
จากนั้นสายตาของทุกคนก็มองไปที่ลั่วอู๋
ทุกคนนอบน้อมมากในตอนนี้เพราะพวกเขาต่างก็อยากรู้ว่าลั่วอู๋นั้นอยู่ในระดับไหน

“ได้เลย”
ยังไงเขาก็ต้องถูกทดสอบไม่ช้าก็เร็ว ลั่วอู๋เดินขึ้นไปในทันที
ลั่วอู๋วางมือบนลูกแก้ววิญญาณอย่างมั่นใจโดยคิดว่า ด้วยคุณสมบัติของข้า แม้ว่าข้าจะไม่สามารถขึ้นสู่จุดสูงสุดของระดับ A ได้ แต่ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรหากได้สักระดับกลาง ๆ
มีลำแสงสองแสงเปล่งสว่างขึ้นมาบนแท่น
ผู้ตรวจสอบมองเหล่ไปที่ลั่วอู๋และพูดเบา ๆ ว่า “การประเมินคุณสมบัติ พลังวิญญาณ ระดับ B ตอนต้น”
ทุกคนเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะดังลั่นสนามสอบ
B ขั้นต้น?

พลังระดับนี้อยู่สูงกว่าผู้ใช้พลังระดับกลางมาก
แต่ในกลุ่มอัจฉริยะดูเหมือนว่ามันจะธรรมดา
“มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ ของทดสอบอีกทีได้ไหม?” ลั่วอู๋ลังเลเล็กน้อย
เขาไม่สามารถยอมรับความธรรมดาของเขาได้

ที่นี่เขากลายเป็นคนธรรมดา ๆ งั้นเหรอ?
ผู้ตรวจสอบหันริมฝีปากของเขาและกล่าวว่า “ผลการทดสอบของคนอื่น ๆ ก็เหมือนกัน ลูกแก้ววิญญาณนี้ไม่มีทางวัดค่าผิดได้”
ลั่วอู๋ลังเลที่จะเดินไปทดสอบต่อ

ทักษะต่อไป.
“แม้ว่าพลังวิญญาณของคลื่นพลังวิญญาณของตระกูลลั่วจะค่อนข้างอ่อน แต่มันก็เป็นทักษะระดับเพชร เพราะอย่างนั้นก็เริ่มประเมินเจ้าโดยมีสิ่งนี้เป็นตัวเสริมเลยก็แล้วกัน” ผู้ตรวจสอบกล่าว
นอกจากนี้เขายังไว้หน้าให้กับตระกูลลั่ว
เพราะตระกูลลั่วเป็นตระกูลที่เน้นการปรับแต่งพลังวิญญาณ พวกเขาจึงมีกระแสพลังวิญญาณที่อ่อนโยนและมีประโยชน์ต่อการปรับแต่งมากกว่าการต่อสู้
อย่างไรก็ตามทักษะระดับเพชร “คลื่นพลังวิญญาณ” นั้นค่อนข้างดี

ผู้ตรวจสอบกล่าวต่อไป “ปลดปล่อยสัตว์วิญญาณของเจ้าออกมาสิ”
ลั่วอู๋เรียกต้าหวงและผีเสื้อปีกมายาเพลิงอมตะออกมา
รูปร่างของผีเสื้อปีกมายาเพลิงอมตะมีลักษณะเฉพาะเป็นของตัวเองและมีลมปราณที่แตกต่างออกไปมาก จนผู้ตรวจสอบมองไม่ออกว่ามันเป็นสัตว์วิญญาณประเภทใด
“นี่เป็นสัตว์วิญญาณกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นมาโดยบังเอิญน่ะ” ลั่วอู๋อธิบาย
นี่น่าจะเป็นคำตอบที่ผู้คนยอมรับได้มากกว่า
เพราะต้นกำเนิดที่แท้จริงของผีเสื้อปีกมายาเพลิงอมตะนั้นไม่มีใครรู้ได้อย่างแน่นอน

มีร่องรอยของความเสียใจปรากฏบนใบหน้าของผู้ตรวจสอบ “สัตว์วิญญาณกลายพันธุ์ที่กำลังเติบโตงั้นเหรอก็ไม่เลวเท่าไหร่ แต่ผีเสื้อตัวนี้นั้นดูเหมือนจะไม่มีพลังในการต่อสู้มากนัก”
นั่นเป็นความจริงที่เถียงไม่ได้ ด้วยความที่อยู่ในวัยกำลังโต มันจึงดูอ่อนแอและตัวเล็กมาก
อย่างไรก็ตามการที่มันเป็นสัตว์วิญญาณกลายพันธุ์นั้นคือข้อดี

จากนั้นผู้ตรวจสอบก็มองไปที่ร่างของต้าหวงด้วยแววตาสงสัยว่า “นี่มันสัตว์วิญญาณแบบไหนกันนะ? มันดูเหมือนสุนัขสีเหลืองธรรมดา ๆ ”
ตอนนี้ต้าหวงไม่ได้เปลี่ยนเป็นรูปแบบในการต่อสู้

“มันเป็นสุนัขสีเหลืองและสัตว์วิญญาณดวงแรกของข้าจริง ๆ” ลั่วอู๋กล่าว
ผู้ตรวจสอบตะลึงไปชั่วขณะ “หรือก็คือเจ้านี่คือสัตว์ทั่ว ๆ ไปที่กลายเป็นสัตว์วิญญาณผลิตเองงั้นเหรอ?”
ลั่วอู๋พยักหน้า
สัตว์วิญญาณผลิตเองหมายถึงสัตว์ธรรมดาที่ได้รับการปรับแต่งให้กลายเป็นสัตว์วิญญาณ
สัตว์วิญญาณประเภทนี้จะอ่อนแอกว่าสัตว์วิญญาณทั่วไปมาก นี่คือข้อเสียอันหนักหนาสาหัส

หากมันไม่สามารถวิวัฒนาการได้อย่างสมบูรณ์และแยกตัวออกจากเผ่าพันธุ์ดั้งเดิมได้โดยสิ้นเชิง เพื่อทำการทำการเปลี่ยนแปลงแก่นวิญญาณ มันจะไม่สามารถเทียบเคียงพลังกับสัตว์วิญญาณอื่นได้เลย
ผู้คนมองไปที่ลั่วอู๋อย่างประหลาดใจ
เจ้าหมอนี่สามารถเข้าร่วมการคัดเลือกเฉียงหลงได้ยังไงกัน?
พรสวรรค์ที่มีนั้นแย่มากและสัตว์วิญญาณก็ขยะมาก จนพวกเขาสามารถมองเห็นคุณสมบัติได้เพียงเล็กน้อย ดีที่เขายังมีวิชาของตระกูล มิฉะนั้นเขาจะดูไร้ค่ามาก
เขาได้รับคุณสมบัติในการเข้าร่วมการทดสอบเฉียนหลงได้อย่างไร
ผู้ตรวจสอบรู้สึกผิดหวังและส่ายหัว”แม้ว่าจะมีสัตว์วิญญาณกลายพันธุ์ แต่สัตว์วิญญาณผลิตเองนั้นล้าหลังเกินไปที่จะผ่านการประเมินสัตว์วิญญาณ ข้าสามารถให้เจ้าได้แค่ระดับ C เท่านั้น”

C
ในการประเมินรอบแรกนั้นสามารถสรุปได้เลยว่าเขาล้มเหลว
“เดี๋ยวก่อนสิผู้ตรวจสอบ ข้ายังไม่ได้ให้พวกมันแสดงทักษะเลยนะ” ลั่วอู๋กล่าวอย่างสบาย ๆ
ผู้ตรวจสอบหัวเราะ “ไม่จำเป็นหรอก”
“ไม่ ๆ มันจำเป็นสิ” ลั่วอู๋ยืนยันจะแสดงทักษะของสัตว์วิญญาณให้ได้
“ก็แล้วแต่เจ้าเถอะ”
ผู้ตรวจสอบได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ให้ลั่วอู๋ผ่านการทดสอบสัตว์วิญญาณ สัตว์วิญญาณขยะนั้นสามารถส่งผลกระทบต่อเส้นทางในอนาคตของผู้ใช้พลังวิญญาณได้สาหัสจริง ๆ
“ต้าหวง ถึงเวลาที่เจ้าต้องลงมือแล้วล่ะ” ลั่วอู๋กล่าว

ต้าหวงพยักหน้าอย่างตื่นเต้น
ทันใดนั้นร่างของมันก็ปกคลุมไปด้วยแสงสีขาว จากนั้นก็หายไปในพริบตาและปรากฏตัวที่อีกด้านหนึ่งของลานทดสอบ
“ก้าวพริบตา!”
“ก้าวพริบตาอีกแล้วเหรอ?”
ทุกคนต่างตกตะลึง