บทที่ 168 บุตรศักดิ์สิทธิ์ดาวเหนือ เฉินจงเทียน

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 168 บุตรศักดิ์สิทธิ์ดาวเหนือ เฉินจงเทียน

บุตรพุทธะขู่ตัวอธิบาย “อาตมาไม่ชอบอ่านพุทธคัมภีร์มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เลยรวมเป็นปรากฏการณ์ต้นโพธิ์ไม่ได้ ปรากฏการณ์เมื่อครู่ก็เป็นอาจารย์สำแดงวิชา เป็นภาพมายาที่เก็บในไข่มุกพุทธะโพธิ์ อาจารย์บอกว่าอาตมามีนิสัยตามใจตัวเองเกินไป ไม่มีเอกลักษณ์ของบุตรพุทธะแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์กับ…”

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ บุตรพุทธะขู่ตัวก็เหมือนจะนึกคำที่เหมาะสมไม่ออก

เสิ่นเทียนเหมือนมีความคิดบางอย่าง “เสแสร้งรึ หรูหรารึ”

บุตรพุทธะขู่ตัวรีบพยักหน้า “ใช่ เสแสร้งให้ดูหรูหรา แต่เสแสร้งมันหมายความว่าอย่างไร เฮ้อ ช่างมันแล้ว! สรุปคืออาจารย์อยากให้เวลาอาตมาออกมาข้างนอกต้องเปิดปรากฏการณ์นี้ ไม่อย่างนั้นจะไม่ให้อาตมาออกมา ทั้งยังลงโทษให้คัดพุทธคัมภีร์ ไร้ความเมตตาชะมัดเลย!”

เสิ่นเทียนเห็นขู่ตัวมีสีหน้าเต็มไปด้วยความคับอกคับใจแล้ว ก็อดยืนนิ่งไว้อาลัยให้เงียบๆ ไม่ได้

แดนศักดิ์สิทธิ์เสียงอัสนีโฆษณาบุตรศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ อนาถมาก!

เจ้าเป็นบุตรพุทธะแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เสียงอัสนี การเสแสร้งไม่ใช่หน้าที่รึ

เจ้าไม่เสแสร้งข้าไม่เสแสร้ง ใครจะเชื่อฟังชื่อเสียงบารมีของแดนศักดิ์สิทธิ์เสียงอัสนี เจ้าบ้า!

ควรรู้ไว้ว่ารูปแบบการฝึกบำเพ็ญของฝ่ายพุทธคือวิชาแห่งกุศลพระธาตุ ต่างกับลัทธิเต๋า

ความจริงแดนศักดิ์สิทธิ์เสียงอัสนีสืบทอดมาจากแดนสุขาวดีทะเลทรายประจิมมาแดนบูรพา เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์จากต่างแดน

เนื่องจากวิชาการฝึกบำเพ็ญกุศลพระธาตุยังไม่หยั่งลึกถึงใจคน การสืบทอดฝ่ายพุทธจึงไม่ง่าย

ตอนนี้ บุตรพุทธะที่เดินทางในใต้หล้าแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เสียงอัสนีจึงสำคัญมาก!

บุตรพุทธะของเจ้าเสแสร้งสวมชุดขาวดั่งหิมะ แดนศักดิ์สิทธิ์ย่อมได้หน้า ทว่าแดนศักดิ์สิทธิ์เสียงอัสนีกลับส่งเจ้าคนซื่อนี่มา

เดินทางไปทั่วสารทิศสังหารอสูรปราบมาร สั่งสมบุญกุศลกลับไม่เสแสร้ง

ซื่อและเขินอายเช่นนี้ จะส่งเสริมวิชาพุทธะให้ศาสนาพุทธ ทำให้ศาสนาพุทธยิ่งใหญ่ขึ้นได้อย่างไร

เจ้าพุทธะเสียงอัสนีโดนบีบให้ต้องหลอมสมบัติพุทธะพิเศษขึ้น และบังคับให้บุตรพุทธะขู่ตัวต้องพกติดตัวเวลาออกมาข้างนอก จากตรงนี้จะเห็นได้ว่าแดนศักดิ์สิทธิ์เสียงอัสนีโดนเจ้าซื่อบื้อนี่บีบให้ต้องเป็นบ้าเพียงใด ต้องจนปัญญาเพียงใด

แต่แม้บุตรพุทธะขู่ตัวจะทำให้เจ้าพุทธะเสียงอัสนีจนปัญญาเพียงใด ฐานะก็ยังคงเหมือนภูเขาไท่ซานไม่มีใครสั่นคลอนได้

นี่สะท้อนให้เห็นในอีกด้านว่าพรสวรรค์และศักยภาพของบุตรพุทธะขู่ตัวค่อนข้างแข็งแกร่งจริงๆ

อืม มุทะลุไม่มีสมองเหมือนกัน ไม่ชอบอ่านหนังสือแถมโดนลงโทษหันหน้าเข้ากำแพงเหมือนกันอีก

เสิ่นเทียนยืนยันได้แล้วว่าเจ้านี่คือสหายแท้ของฟางฉางจริงๆ

……

เสิ่นเทียนกำลังพูดแขวะบุตรพุทธะขู่ตัวอยู่ในใจ!

ประตูใหญ่ห้องลับยอดเขาบัวขาวก็เปิดออกช้าๆ ร่างคนหลายคนเดินออกมาจากในห้องลับ

คนที่เดินนำหน้ามาคือเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ที่ปกคลุมด้วยสายฟ้าประกายเซียน ดูยิ่งใหญ่และหยั่งลึกไม่อาจคาดเดา

ทางด้านซ้ายขวาของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เป็นนักพรตชราผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตกับผู้หญิงงดงามชุดขาว

ผู้หญิงคนนั้นสวมชุดกระโปรงยาวสีขาว เส้นผมดำดั่งหมึกพาดไว้บนไหล่ ราวกับเซียนเก้าสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์

ใบหน้านางเทียบจางอวิ๋นซีไม่ได้ แต่กลับเปล่งแสงแห่งมารดาอันศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ ทำให้คนที่มองนางจะรู้สึกใกล้ชิดในใจ เหมือนกับญาติพี่น้อง

ผู้หญิงชุดคลุมขาวคนนี้ก็คือผู้คุมเหมืองแร่แห่งยอดเขาบัวขาวในแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ‘ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวขาว’

นางเป็นผู้อาวุโสที่อ่อนโยนที่สุด นุ่มนวลที่สุดแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ และยังเป็นที่รักในฝันของศิษย์มากมาย

เทียบกับผู้อาวุโสคนอื่นๆ ที่จริงจังเคร่งขรึมอยู่สูงส่งแล้ว ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวขาวแทบจะไม่เคยโกรธหรือวางมาดเลย

ขณะเดียวกัน นางที่ฝึกฝนคัมภีร์เซียนฝันผีเสื้อกับคัมภีร์แพทย์ขนนกขาวเป็นหลักยังชำนาญสายแพทย์เช่นกัน

หากศิษย์ในแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์บาดเจ็บ โดนพิษ ก็จะมาขอรักษาที่ยอดเขาบัวขาว และด้วยเหตุนี้เอง ยอดเขาบัวขาวจึงเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์มากสำหรับศิษย์เทพสวรรค์

ศิษย์หญิงทุกคนที่นี่ต่างมีแต่ศิษย์ร่วมสำนักมารุมจีบ!

เมื่อเห็นผู้อาวุโสหลายท่านออกมาแล้ว จางอวิ๋นถิงกับขู่ตัวก็รีบเดินเข้ามา

พวกเขาพูดขึ้นพร้อมกัน “ท่านพ่อ/เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ ศิษย์พี่/ฟางฉางเป็นอย่างไรบ้าง”

คำพูดของสองคนเต็มไปด้วยความห่วงใย แต่สายตาที่มองกันกลับไม่ได้กลมเกลียวกันมาก ถึงอย่างไรจางอวิ๋นถิงก็คิดว่ามาตลอดที่ศิษย์พี่ใหญ่ซื่อบื้อขนาดนั้น สาเหตุส่วนใหญ่เป็นเพราะคบคนผิด

ทางด้านบุตรพุทธะขู่ตัวก็คิดว่าเจ้าจางอวิ๋นถิงวันๆ เอาแต่อ่านหนังสือโบราณ เป็นพวกคาดเดาได้ยาก

เขากับฟางฉางแค่เจอหน้ากันก็เหมือนรู้จักกันมานาน ซ้อมมือกันบ่อยๆ จึงรำคาญจางอวิ๋นถิงที่อยู่ข้างๆ!

ด้วยเหตุนี้ทุกครั้งที่จางอวิ๋นถิงเจอหน้ากับขู่ตัวก็จะเลี่ยงการปะทะฝีปากกันไม่ได้

แต่ว่าครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ทะเลาะกันอีกอย่างพบเห็นได้ยาก

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มองขู่ตัวนิ่งๆ “ที่แท้ก็บุตรพุทธะขู่ตัว”

บุตรพุทธะขู่ตัวพูดด้วยความเคารพ “ขู่ตัวขอคารวะท่านเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ ข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญต้องขออภัยด้วย”

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ตอบ “พูดอะไรอย่างนั้น ฉางเอ๋อร์มีสหายสนิทเช่นบุตรพุทธะ ข้าปลื้มใจมากต่างหาก จะเสียดายก็แต่อาการบาดเจ็บของฉางเอ๋อร์เพิ่งจะคงตัวได้ ตอนนี้ยังให้พบแขกไม่ได้ เกรงว่าคงต้อนรับบุตรพุทธะไม่ได้”

บุตรพุทธะขู่ตัวควักขวดเล็กสีทองขวดหนึ่งมาจากอกเสื้อ “ได้ยินว่าสหายฟางฉางมีปัญหา อาตมาเลยขอของเหลวกายทองคำจากอาจารย์มาให้เป็นพิเศษ หวังว่าจะช่วยได้”

ทว่าทันทีที่ปรากฏของเหลวกายทองคำ ก็มีเสียงสวดดังขึ้นจากความว่างเปล่า กลิ่นหอมอ่อนๆ กระจายมาจากในขวดหยก ทำให้คนรู้สึกสบายไปทั้งตัว

นี่คือของเหลวกายทองคำสมบัติสูงสุดแห่งฝ่ายพุทธ เป็นสมบัติสูงสุดที่ฝึกฝนวิชาพุทธะรวมเป็นพระธาตุและกายทองคำ

มีเพียงตอนที่นักบวชศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เสียงอัสนีมรณภาพละสังขารและสลายต้นกำเนิดกายทองคำเท่านั้นถึงจะรวมออกมาได้เล็กน้อย

สำหรับแดนศักดิ์สิทธิ์เสียงอัสนีแล้ว ของเหลวกายทองคำขวดเดียวคือรากฐานสำคัญ ล้ำค่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แม้จะเป็นผู้สืบทอดคนสำคัญอย่างบุตรพุทธะขู่ตัว อย่างมากสุดก็ใช้ได้แค่ขวดเล็กเท่านั้น

แต่บุตรพุทธะขู่ตัวกลับยินดีจะมอบของเหลวกายทองคำขวดหนึ่งไว้รักษาฟางฉาง

ต้องบอกว่าระหว่างเด็กไม่เอาไหนสองคนนี้มีความรักต่อกันอย่างแท้จริง!

……..

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เอ่ยนิ่งๆ “ข้าขอรับน้ำใจของบุตรพุทธะไว้แทนฉางเอ๋อร์แล้วกัน แต่ว่าอาการบาดเจ็บของฉางเอ๋อร์คือแก่นพลังทองแตกมหามรรคเสียหาย แต่ของเหลวกายทองคำเป็นสมบัติสูงสุดในการขัดเกลากายหยาบ ดังนั้นของเหลวกายทองคำจึงไม่มีประโยชน์กับอาการบาดเจ็บของฉางเอ๋อร์เท่าไร บุตรพุทธะรับคืนไว้ใช้เองดีกว่า!”

บุตรพุทธะขู่ตัวพลันมีสีหน้าห่อเหี่ยว “แม้แต่ของเหลวกายทองคำยังไม่มีประโยชน์รึ หรือว่าฟางฉางจะตายกัน”

เมื่อได้ฟังคำพูดของบุตรพุทธะขู่ตัว เสิ่นเทียนเอามือก่ายหน้าผาก บุตรพุทธะนี่เป็นคนตรงจริงๆ

แม้เหตุผลจะเป็นเช่นนี้จริงๆ แต่เจ้าถามว่าลูกศิษย์ของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์จะตายหรือไม่ต่อหน้าเขาหรือ

แดนศักดิ์สิทธิ์เสียงอัสนีส่งเจ้าไปเดินทางไปเผยแพร่วิชาพุทธในแดนบูรพาเช่นนี้ เกรงว่าไม่ช้าก็เร็วคงจบเห่แน่!

ดีที่เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ตัดเจ็ดอารมณ์จนเฉยชาและฉลาดมากไปแล้ว เลยไม่ได้รู้สึกว่าขู่ตัวพูดไม่เหมาะสม

เขาเอ่ยนิ่งๆ ว่า “คงไม่ถึงขั้นตาย แต่แก่นพลังทองแตกคงยากจะรักษาพลังบำเพ็ญเอาไว้ได้ ถ้าโชคดี บางทีฉางเอ๋อร์อาจจะฟื้นพลังกลับมาได้ในภายภาคหน้า ถ้าโชคไม่ดี เกรงว่าคงไม่อาจฝึกฝนได้อีก”

คำพูดของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ทำให้ทุกคนรู้สึกหนักหน่วงในใจขึ้นมา

สำหรับผู้ฝึกเซียนแล้ว โดยเฉพาะโอรสสวรรค์บำเพ็ญเซียนแนวหน้าของแดนบูรพาอย่างฟางฉาง ไม่อาจฝึกฝนได้กลายเป็นเหมือนขยะ ชีวิตเช่นนี้สู้ตายไปเลยเสียจะดีกว่า!

ผลลัพธ์เช่นนี้ สำหรับฟางฉางที่ ‘มีข้าอยู่ก็ไร้พ่าย’ นั้นมันโหดร้ายเกินไป!

เวลานี้ บรรยากาศทั้งยอดเขาบัวขาวอึดอัดเล็กน้อย

…..

ทันใดนั้นเอง มีแสงดาวส่องสะท้อนบนยอดเขาบัวขาว

สะท้อนออกมาเป็นปรากฏการณ์เจ็ดดาวเหนือ เปล่งแสงสว่างเรืองรอง

ดาวเจ็ดดวงตัดสลับกันส่องแสง รวมออกมาเป็นช้อนยักษ์รางๆ

เหมือนมีความยิ่งใหญ่แบบ ‘มีดาวเป็นพันเป็นหมื่นดวงบนฟ้า ข้าช้อนเดียวก็ตักได้หมด’ ดูโออ่ายิ่ง!

ใช่ ตอนนี้มีแขกมาเยือนบนยอดเขาบัวขาวอีกแล้ว!

…………………………….