ตอนที่ 285 ขโมยไก่ไม่ได้แล้วยังต้องเสียข้าวสารไปอีกหนึ่งกำมือ / ตอนที่ 286 หะ...หัก?!

ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย

ตอนที่ 285 ขโมยไก่ไม่ได้แล้วยังต้องเสียข้าวสารไปอีกหนึ่งกำมือ

 

 

กู้เจ๋อเหยียนรู้สึกปวดร้าวไปทั้งอก แต่ก็ยังคงพยักหน้ารับ แถมยังรีบเซ็นเช็คเงินหนึ่งล้านบาทส่งให้เฉียนหมี่ไป

 

 

เฉียนหมี่ยื่นมือออกมารับ แม้ว่าเธอจะพยายามข่มความตื่นเต้นในใจไว้อย่างสุดกำลัง ทว่าฝ่ามือของเธอก็ยังคงเย็นเป็นน้ำแข็ง

 

 

เฉินฝานซิงพยักหน้าให้กับกู้เจ๋อเหยียน สายตาของเธอเคลื่อนไปหยุดลงที่เผยเหยาฉือที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความหมายลึกซึ้งและยากเกินจะคาดเดา ก่อนจะคว้าเฉียนหมี่แล้วเดินจากไป

 

 

นัยน์ตาคู่ที่อัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายของกู้เจ๋อเหยียนทอดมองตามไปยังแผ่นหลังของเฉินฝานซิง 

 

 

ขโมยไก่ไม่ได้แล้วยังต้องเสียข้าวสารไปอีกหนึ่งกำมือ

 

 

จะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร!

 

 

คิ้วของเผยเหยาฉือเองก็ตีขมวดเข้าอย่างไม่เข้าใจ

 

 

สายตาเมื่อครู่ของเฉินฝานซิงที่ทิ้งไว้ก่อนจะเดินจากไป

 

 

เหมือนกับตอนที่เจอกันที่สถานีโทรทัศน์ไม่มีผิด

 

 

เธอคิดจะทำอะไรกันแน่

 

 

“รีบพาประธานฉินไปส่งโรงพยาบาล”

 

 

กู้เจ๋อเหยียนสั่งขึ้นกับผู้ช่วยอีกสองคนที่อยู่ข้างหลังเขา

 

 

“ไป” เขาเอ่ยขึ้นกับเผยเหยาฉืออย่างไม่สบอารมณ์เพราะความคุกรุ่นในใจ

 

 

ยามที่เผยเหยาฉืออ้าปากขึ้นเพื่อจะพูดบางสิ่ง กู้เจ๋อเหยียนก็ได้หมุนตัวเดินจากไปแล้ว

 

 

 

 

“พะ…พี่ป๋อ ออกมาทำไมเหรอ”

 

 

ประตูห้องวีไอพีเปิดออก เมื่ออินรุ่ยเจวี๋ยเห็นว่าเจ้าของร่างที่เดินออกมาเป็นใครเขาก็ตกใจเอายกใหญ่

 

 

กลิ่นฉุนของกระเทียมต่อให้อยู่ไกลเป็นไมล์ก็ยังคงได้กลิ่น

 

 

ป๋อจิ่งชวนย่นคิ้วเข้าหากันก่อนจะถ่อยห่างออกไปสองเก้าอย่างเรียบเฉย

 

 

“เธอล่ะ”

 

 

เธอ?

 

 

แน่นอนว่าอินรุ่ยเจวี๋ยรู้ว่าหมายถึงใคร!

 

 

“พี่สะใภ้เพิ่งจะเดินไปทางประตู”

 

 

 

 

ตรงประตูของปี้หวงอวี๋เล่อ เฉินฝานซิงเดินออกมาส่งเฉียนหมี่เพื่อรอขึ้นรถ

 

 

“ประธานเฉิน วันนี้ต้องขอบคุณ คุณจริงๆ หากไม่ได้คุณไว้ วันนี้ฉันคง…”

 

 

“เป็นความผิดของฉันเอง”

 

 

เฉียนหมี่เอ่ยขอโทษด้วยอาการประหม่า ทว่ากลับถูกตัดบทด้วยเสียงเย็นของเฉินฝานซิง

 

 

“เอ๊ะ?”

 

 

เฉินฝานซิงพ่นลมหายใจออกมา ดวงตาสุกสกาวคู่นั้นดูเคร่งขรึมไป

 

 

“ขอโทษ”

 

 

เฉินฝานซิงดีกับเธอเกินไปจนเธออดแปลกใจไม่ได้ “ประธานเฉิน…”

 

 

“เรื่องที่เธอถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยทั้งหมดวันนี้ เป็นเพราะฉันที่ทำร้ายเธอทางอ้อม ยังดีที่…”

 

 

แม้ว่าเฉินฝานซิงยังคงเอ่ยขึ้นอย่างเย็นเยียบ ทว่าเฉียนหมี่ก็ยังคงรับรู้ได้ถึงความสั่นเครือในน้ำเสียง

 

 

เฉินฝานซิงมีส่วนสูงที่สูงกว่าเฉียนหมี่ ยามที่เฉียนหมี่มองมายังเธอจึงจำเป็นต้องเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย

 

 

สูทที่ขาวทั้งตัว นับเป็นการแต่งตัวที่ดูมีระดับสำหรับพนักงานธรรมดา ผิวหน้าสวยเกลี้ยงเกลาที่น้อยครั้งจะถูกปรุงแต่งด้วยอารมณ์ความรู้สึก บุคลิกงามสง่าสุขุมรอบรู้และโดดเด่น

 

 

แต่ที่เฉินฝานซิงช่วยกู้หน้าเธอเอาไว้และจัดการกับฉินปินอย่างไร้ปรานีไปเมื่อครู่ กลับทำให้เธอเปรียบดั่งนักรบหญิง ท่าทางน่านับถือ รังสีความเหี้ยมโหดสะพรั่งไปทั่วร่าง สร้างความอุ่นใจให้เธอได้ไม่น้อย

 

 

นึกไปถึงภาพที่เฉินฝานซิงปกป้องเธอเอาไว้ในอ้อมกอด กลิ่นหอมเย็นจางๆ จากร่างของเธอ ท่วงท่าเยือกเย็นและมั่นใจ ความอบอุ่นใจนั้นยังคงเด่นชัดในความทรงจำราวกับมันเพิ่งจะผ่านไป

 

 

ใบหน้าเล็กเผยสีแดงระเรื่องออกมาอย่างไม่รู้ตัว

 

 

หน้าตาดี บุคคลิกโดดเด่น สูงศักดิ์เย็นชา หากเธอไม่ใช่ผู้หญิง คงมีสาวๆ มาชอบเธอเยอะแยะ

 

 

“ปะ…เปล่าสักหน่อย ประธานเฉิน ฉันเข้าใจค่ะ การทำงานก็เป็นแบบนี้ ฉันควรตระหนักถึงตรงนี้”

 

 

เฉียนหมี่เผลอปรับเสียงให้อ่อนลง จู่ๆ เธออยากกลายเป็นผู้หญิงอบอุ่นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

 

 

ท่าทางของผู้หญิงร่างเล็กนั้นชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัย

 

 

อินรุ่ยเจวี๋ยแทบจะหยุดหายใจ

 

 

เครื่องสูบอากาศข้างๆ นี่แทบจะสูบเอาอากาศหายใจของเขาไปจนเหือดแห้ง

 

 

นี่ก็โหดเกินไปปะ!

 

 

ไม่ใช่จะหึงแค่กับผู้ชายนะ แม้แต่กับผู้หญิงก็ยังจะไม่เว้น?

 

 

ผู้หญิงนะเฮ้ย นั้นมันผู้หญิง!

 

 

จะว่าไปแม่คนนั้นก็เหมือนกัน ไร้เดียงสาอะไรขนาดนั้น จู่ๆ ก็เขินอะไรขึ้นมาฟะ!

 

 

“การทำงาน…”

 

 

เฉินฝานซิงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนได้สร้างศัตรูหัวใจตัวน้อยให้กับป๋อจิ่งชวนไปเสียแล้ว ในตอนนั้นเธอได้พึมพำออกมาสามคำด้วยท่าทางครุ่นคิด…

 

 

 

 

 

ตอนที่ 286 หะ…หัก?!

 

 

เฉียนหมี่ไม่รู้ว่าเฉินฝานซิงกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ ลังเลอยู่เพียงครู่เธอก็เอ่ยถามออกไปอย่างอดไม่อยู่

 

 

“ประธานเฉิน เงินนี่…”

 

 

ในมือของเธอยังคงกำเช็คที่กู้เจ๋อเหยียนเพิ่งยื่นให้เธอเอาไว้

 

 

จู่ๆ ก็มีเงินก้อนโตขนาดนี้มาหล่นทับเธอ เธอไม่รู้เลยจริงๆ ว่าควรจะทำยังไงกับมัน

 

 

“อืม เธอเก็บไว้เถอะ”

 

 

เฉียนหมี่เลียริมฝีปากด้วยความประหม่า “…ประธานเฉิน เรื่องประธานกู้น่ะ จะไม่เป็นอะไรแน่หรอคะ ไหนจะประธานฉินอีก เขา…”

 

 

เมื่อนึกไปถึงสภาพล่าสุดของฉินปิน เธอก็พลันนึกกลัวขึ้นว่าการที่ประธานเฉินเข้ามาช่วยเธอไว้ จะเป็นการหาเหามาใส่หัวให้เธอโดยใช่เหตุ

 

 

“ไม่เป็นไรหรอก เรื่องนี้แค่จ่ายเงินให้เธออย่างเดียวก็ดูจะหยามเกียรติเธอเกินไปด้วยซ้ำ แต่หากเรื่องนี้เกิดแพร่สะพัดออกไป มันก็จะเสื่อมเสียถึงชื่อเสียงของเธอเปล่าๆ ต่อจากนี้ก็ปล่อยให้สุนัขสองตัวมันกัดกันเองไปก็แล้วกัน กล่องดวงใจของฉินปินหักยับเยินขนาดนั้น เขาคงไม่ปล่อยกู้เจ๋อเหยียนไปง่ายๆ แน่”  

 

 

เฉียนหมี่อ้าปากหวอ จ้องเฉินฝานซิงตาค้างเติ่ง “หะ…หัก?!”

 

 

นั่นน่าจะเป็นสิ่งที่ผู้ชาย…คะ…โคตรจะ…

 

 

เฉินฝานซิงเอ่ยขึ้นอย่างไร้อารมณ์ “ถ้าหากมันใหญ่พออะนะ”

 

 

ครั้งหนึ่งที่เธอต้องเจรจาการลงทุนให้กับสกุลซู เธอเองก็เกือบถูกฉินปินลากเข้าโรงแรมแล้วเหมือนกัน หากไม่ใช่เพราะซูเหิงมาตามเธอล่ะก็ กลัวว่าวันนี้ก็คงไม่มีโอกาสได้กลับมาเป็นผู้เป็นคน

 

 

ทั้งหนี้เก่าหนี้ใหม่ ถือซะว่าได้ชำระสะสางกันไปแล้วในวันนี้

 

 

น้ำเสียงที่เปล่งออกมาอย่างไม่ทุกข์ร้อนทำเอาอินรุ่ยเจวี๋ยเผลอรวบสองขาเข้าหากันอย่างลืมตัว

 

 

เขาลอบกลืนน้ำลายหนืดลงคอ อีกทั้งยังอดยื่นมือออกไปลูบๆ คลำๆ ตรงส่วนหน้าของตัวเองไม่ได้

 

 

หะ…หัก?!

 

 

ขอบคุณสวรรค์ที่เขายังฟิตปั๋งอยู่!

 

 

คิ้วของป๋อจิ่งชวนตีขมวดกันแน่น แม้ว่าเขาจะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ทว่าก็ยังฟังออกอยู่ดีว่าพวกเธอกำลังคุยกันเรื่องอะไร!

 

 

ในตอนนั้นรถคันหนึ่งก็แล่นมาจอดลงตรงหน้าประตู

 

 

เฉียนหมี่รีบเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรนว่า “ประธานเฉินคะ รถมาแล้ว ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ!”

 

 

“อื้ม เดินทางปลอดภัยนะ”

 

 

 

 

หลังจากที่เฉียนหมี่นั่งรถออกไป เฉินฝานซิงก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น เธอทอดมองไปยังลานกว้างที่ถูกสร้างขึ้นอย่างดูดีมีระดับ เธอยืนอยู่เงียบๆ สักพักก่อนที่ลมหนาวยามค่ำคืนจะพัดผ่านเข้ามา พาให้เสื้อตัวโคร่งสะบัดไปอีกทาง ร่างบางชวนมองปรากฏออกมาให้เห็นวับๆ แวมๆ

 

 

ร่างเพรียวที่เยือกเย็นและสูงส่ง อีกทั้งความสวยที่เพียบพร้อมไปด้วยความเฉลียวฉลาดทำเอาอินรุ่ยเจวี๋ยต้องกระซิบออกมา

 

 

“สมัยเรียนผมไม่ยักกะสังเกต มาตอนนี้พอดูๆ ไปแล้ว พี่สะใภ้ก็ดูเสน่ห์แรงใช่ย่อย”

 

 

ป๋อจิ่งชวนก้มต่ำลงปลายตามองเขาวูบหนึ่ง อินรุ่ยเจวี๋ยหัวเราะ แหะๆ ออกมาสองครั้ง “พี่ป๋อตาถึงจริงๆ”

 

 

ในตอนนั้นเฉินฝานซิงหมุนตัวเตรียมจะกลับไปที่ห้อง ทว่าเมื่อหันกลับไปก็เจอเข้ากับป๋อจิ่งชวนและอินรุ่ยเจวี๋ยที่กำลังก้าวเข้ามาหาเธอ

 

 

“พวกคุณออกมาทำไม”

 

 

“คุณเข้าห้องน้ำนานเกินไป”

 

 

“…”

 

 

เฉินฝานซิงอึดอัดอยู่นานก่อนจะพูดออกไปว่า “พอดีเจอปัญหานิดหน่อยน่ะ เลยช้าไปนิดหนึ่ง”

 

 

“ไม่เป็นไรใช่ไหม” ป๋อจิ่งชวนเอ่ยเสียงเรียบ สายตาเงียบงันกวาดมองไปทั่วร่างของเธอ

 

 

“ไม่เป็นอะไรค่ะ”

 

 

ป๋อจิ่งชวนยกนาฬิกาขึ้นมองแล้วเอ่ยถามว่า “สี่ทุ่มกว่าแล้ว คุณจะอยู่ต่อไหม”

 

 

“พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า ควรจะกลับได้แล้ว” เธอตอบกลับ

 

 

“อื้ม ผมจะไปเอารถ คุณรอผมที่ประตูนะ”

 

 

“ค่ะ”

 

 

อินรุ่ยเจวี๋ยเบ้ปากถาม “นี่จะกลับกันแล้วเหรอ”

 

 

“อืม พรุ่งนี้ยังมีธุระน่ะค่ะ เชิญพวกคุณสนุกกันต่อเลย อ้อ…จริงด้วยสิ ฉันต้องไปเอากระเป๋าที่ห้อง…”

 

 

 

 

หลังจากที่บอกลากับคนในห้องนั้นเสร็จสรรพ เธอก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะรอนานจึงรีบเดินดุ่มๆ ออกมา

 

 

ปรากฏว่ารถของป๋อจิ่งชวนยังมาไม่ถึง

 

 

เธอจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเครื่อง เพราะกลัวว่าเขาจะโทรเข้ามา ข้อความจากซูเหิงหลายต่อหลายข้อความโชว์หราขึ้นมาบนโทรศัพท์ แต่เธอก็ไม่ได้สนใจมันแม้แต่น้อย

 

 

และในขณะที่เธอกำลังก้มหน้าสาละวนอยู่กับโทรศัพท์ของตัวเองอยู่นั้น เสียงคำรามอย่างเหลืออดก็ดังขึ้นจากที่ที่ไม่ไกลกันนัก…