ตอนที่ 287 ฉันรู้สึกถูกชะตากับเธอ / ตอนที่ 288 เป็นศิลปินในการดูแลของฉัน

ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย

ตอนที่ 287 ฉันรู้สึกถูกชะตากับเธอ

 

 

และในขณะที่เธอกำลังก้มหน้าสาละวนอยู่กับโทรศัพท์ของตัวเองนั้น เสียงคำรามอย่างเหลืออดก็ได้ดังขึ้นจากที่ที่ไม่ไกลกันนัก…

 

 

“นี่ตกลงว่าเธอจะจบไม่จบ”

 

 

เฉินฝานซิงเลิกคิ้วขึ้น ก่อนเสียงของหญิงสาวที่คุ้นหูจะตามมาติดๆ

 

 

“ฉันไม่จบ? กู้เจ๋อเหยียน นายไม่รู้สึกว่าตัวเองทำเกินไปหน่อยเหรอ นายปิดเรื่องระหว่างเรากับเฉินเชียนโหรวคู่ชิปของนายแทบตาย เพราะนายบอกว่ามันเป็นการเรียกกระแส ฉันก็เชื่อนายครั้งแล้วครั้งเล่า แต่อย่าคิดว่าฉันจะเชื่อนายไปตลอดนะ! วันนี้เธอถูกรังแก นายก็เลยแอบไปแก้แค้นแทนเธอ? แถมยังลากคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เข้ามาเกี่ยวด้วย…”

 

 

“ฉันพูดเรื่องนี้กับเธอไปกี่ครั้งแล้ว เราเป็นแค่เพื่อนกัน!” เขาข่มเสียงต่ำลงกะทันหัน ทว่าเสียงคำรามอย่างเดือดดาลนั้นก็ทำเอาเฉินฝานซิงแอบผวา

 

 

“นายเห็นฉันเป็นไอ้โง่รึไง!” เสียงของเผยเหยาฉือหวีดแหลมขึ้นทันที “นายนึกว่าฉันไม่รู้เหรอว่านอกจากนายจะยอมเป็นตัวประกอบในหนังพีเรียดฟอร์มยักษ์เรื่องตู้เซียนอย่างไร้เงื่อนไขแล้ว ยังควักเงินสิบล้านเพื่อดึงเฉินเชียนโหรวเข้าร่วมกองด้วย!”

 

 

“เธอสืบเรื่องฉัน!”

 

 

“เหอะ นายไม่รู้เหรอว่านายยังมีหนังที่ต้องเตรียมจะถ่ายทำ อย่าว่าแต่สิบล้านเลย ล้านหนึ่งหรือแสนหนึ่งก็นับเป็นเงินไม่ใช่น้อยๆ สำหรับพวกเรา เราเตรียมตัวกันมาสองปีเต็มๆ เลยนะ แต่อยู่ๆ นายดันมาควักสิบล้านเพื่อซื้อบทให้เฉินเชียนโหรว!”

 

 

“กู้เจ๋อเหยียน ต่อให้นายทำอีกสักแค่ไหนแล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไร เธอก็แค่กำลังหลอกใช้นาย! คู่หมั้นเธอไม่มีเงินรึไง สกุลซูผู้เป็นที่นับหน้าถือตา แค่เศษเงินสิบล้านจะไม่มีปัญญาควักออกมาเลยเชียวเหรอ ก็เพราะมันมีกระบือตัวใหญ่อย่างนายนี่ไงที่…”

 

 

“หุบปากเดี๋ยวนี้นะ! เผยเหยาฉือ เธอน่ะให้มันน้อยๆ หน่อย! คิดจะอยู่กับฉันก็หัดซื่อสัตย์กับฉันซะบ้าง เอะอะโวยวายไร้สาระ ถ้ารับไม่ได้ก็เลิกๆ กันไปเลย ฉันไม่เคยขอให้เธอมายุ่มย่ามกับฉันตลอดเวลานะ พูดตามตรงฉันเองก็รำคาญเธอเต็มทนแล้ว!”

 

 

สิ้นเสียงคำรามของกู้เจ๋อเหยียน ก็ตามมาด้วยเสียงกระแทกของประตูรถเข้าอย่างจัง ก่อนที่เก๋งเปิดประทุนคันสีดำจะทะยานออกไปทางประตูใหญ่

 

 

เฉินฝานซิงก้าวเดินลงขั้นบันไดไปพร้อมสีหน้าเย็นชา ก่อนจะพบว่าเผยเหยาฉือนั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิม ผู้หญิงตัวคนเดียวกลับถูกกู้เจ๋อเหยียนทิ้งเอาไว้ที่นี่เสียอย่างนั้น

 

 

เฉินฝานซิงเองก็ไม่ได้มีอารมณ์จะไปห่วงหาอาทรคนอื่นเท่าไหร่นัก ทว่ายามที่ได้เห็นหญิงสาวที่ยังคงยืนอยู่ด้วยแผ่นหลังตั้งตรงและสีหน้าดื้อรั้น ความรู้สึกนึกคิดของเธอจึงค่อยๆ ปริออกทีละน้อย

 

 

ราวกับเธอได้เห็นตัวเองก่อนหน้านี้อยู่ลางๆ ต่อให้เจ็บปวดรวดร้าวหรือทุกข์ตรมแค่ไหน ก็มักจะหลบอยู่ที่มุมๆ หนึ่งคนเดียวและดึงดันที่จะไม่ยอมปล่อยให้หยดน้ำตาหลั่งรินออกมา

 

 

อาจจะเป็นเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าของเธอเข้า เผยเหยาฉือจึงได้หันมองกลับหลังมา เมื่อเห็นว่าเป็นเฉินฝานซิง ดวงตาของเธอก็มีประกายขึ้น

 

 

เพราะดื้อรั้นมาตั้งแต่เริ่ม ยิ่งทำให้เธอไม่อาจพาตัวเองไปตกอยู่ในสภาพที่น่าเวทนาไปมากกว่านี้

 

 

“จะมาเห็นใจกันรึไง”

 

 

เฉินฝานซิงยกยิ้มขำ “เธอคิดมากไปแล้ว เธอไม่มีอะไรให้น่าเห็นใจเลยสักนิด ฉันเองก็ไม่ได้ว่างมาก แล้วก็ไม่มีเรี่ยวแรงพอจะไปเห็นอกเห็นใจคนที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉันหรอกนะ”

 

 

เผยเหยาฉือเค้นหัวเราะเย็นออกมา “ที่แท้เธอก็ไม่น่าเข้าหาแบบนี้นี่เอง มิน่าใครต่อใครเขาถึงได้พากันชอบน้องสาวเธอกันหมด”

 

 

“ฉันทำเหมือนเธอขนาดนั้นไม่ได้ ฉันไม่ได้ต้องการให้ใครต่อใครต้องมาชอบฉัน บนโลกใบนี้สิ่งที่ยากจะได้มามากที่สุดนั่นคือหัวใจของใครสักคน! แค่หัวใจของใครสักคนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างกันไปจนแก่เฒ่า มันเป็นสิ่งเดียวที่ฉันกำลังตามหาในตอนนี้ และเป็นสิ่งเดียวที่ฉันตามหามาตลอดชีวิต”

 

 

 “แค่หัวใจของใครสักคนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างกันไปจนแก่เฒ่า…”

 

 

เผยเหยาฉือเค้นขำ เสียงเย็นเปี่ยมไปด้วยความเย้ยหยัน

 

 

ราวกับเฉินฝานซิงรับรู้ได้ว่าเธอกำลังคิดอะไร จึงเอ่ยต่อไปว่า “และต้องเป็นคนที่เธอรัก”

 

 

เผยเหยาฉือนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน จู่ๆ เธอก็พ่นลมหายใจออกมา ก่อนจะมองไปยังเฉินฝานซิงอย่างพะว้าพะวังแล้วเอ่ยถาม

 

 

“ที่มาหาฉันมีอะไรรึเปล่า”

 

 

เฉินฝานซิงสีหน้าเรียบเฉย สายตาทอดตรงไปยังเธอ จากบรรยากาศคุยเล่นเมื่อครู่ได้แปรเปลี่ยนเป็นความเงียบงันลงในชั่วพริบตา…

 

 

“ฉันรู้สึกถูกชะตากับเธอ”

 

 

 

 

 

ตอนที่ 288 เป็นศิลปินในการดูแลของฉัน

 

 

“ฉันรู้สึกถูกชะตากับเธอ”

 

 

เผยเหยาฉืออึ้งไปเล็กน้อย “ว่าไงนะ”

 

 

เฉินฝานซิงเดินเข้าไปใกล้เธอ ความแข็งกร้าวของเฉินฝานซิงทำเอาเธอไหวหวั่น!

 

 

ยิ่งเข้ามาใกล้ก็ยิ่งทำให้เห็นอำนาจที่แผ่ขยายออกมาจากดวงตาเยือกเย็นนั้นได้ชัดเจนขึ้น จนเธอเผลอก้าวถอยกลับไปสองก้าว

 

 

จากนั้นเฉินฝานซิงจึงชะงักเท้าลง จ้องมองไปยังอีกฝ่ายผ่านแสงไฟสลัว ก่อนที่น้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำค่อยๆ ถูกเปล่งออกมา…

 

 

“เป็นศิลปินในการดูแลของฉัน เธอจะว่ายังไง”

 

 

“ว่าไงนะ”

 

 

ครั้งนี้เธอได้ยินอย่างแจ่มแจ้ง

 

 

แต่เพียงแค่เผยเหยาฉือยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอต้องการ

 

 

เฉินฝานซิงทำเพียงแค่ยกมุมปากขึ้นน้อยๆ ก่อนจะล้วงนามบัตรออกมาจากกระเป๋าใบหนึ่งแล้วส่งให้อีกฝ่าย

 

 

เผยเหยาฉือรับมันมาถือไว้ตามสัญชาตญาณ

 

 

“ถ้าอยู่กับฉัน ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอเป็นแค่ดาราปลายแถว”

 

 

เผยเหยาฉือจิกนามบัตรในมือคู่นั้นเอาไว้แน่น ชื่อบนนามบัตรปรากฏให้เห็นท่ามกลางแสงไฟสลัว

 

 

“ฉันไม่มีเงินจ้างคุณ”

 

 

เฉินฝานซิงกรีดยิ้มมุมปาก เธอเอ่ยขึ้นเรียบๆ “เปล่า ฉันจ้างเธอ”

 

 

เผยเหยาฉือชะงักไป ราวกับเธอเข้าใจบางสิ่งขึ้นมา ทำให้เธอมองไปยังเฉินฝานซิงอย่างเหลือเชื่อ

 

 

“คุณ…”

 

 

เฉินฝานซิงพยักหน้ารับอย่างเรียบเฉย แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบไม่ต่างจากเดิม “คิดได้แล้วค่อยมาหาฉัน”

 

 

เผยเหยาฉือก้มหน้าลงพินิจนามบัตรในมือของตนอีกครั้ง ทว่าพริบตาเดียวนั้น เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น ร่างของเฉินฝานซิงก็ก้าวจากไปยังเบนท์ลีย์เสียงเงียบคันหนึ่งที่มาจอดอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

 

 

หน้าต่างที่เปิดอยู่ ทำให้เธอเห็นเงาของชายที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งคนขับรถแค่เพียงลางๆ ก่อนที่เฉินฝานซิงจะเปิดประตูรถและขึ้นไปนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับจนบดบังเงาของอีกฝ่ายไปโดยสมบูรณ์

 

 

จากนั้นหน้าต่างก็ถูกปิดลง ก่อนที่รถจะค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป หากไม่ใช่เพราะตอนนี้เธอกำลังถือนามบัตรของเฉินฝานซิงเอาไว้ในมือ และหากไม่ใช่เพราะตอนนี้เธอยืนอยู่ที่นี่คนเดียว เธอก็คงคิดไปว่า การถูกกู้เจ๋อเหยียนทิ้งเธอไว้ที่นี่เป็นเพียงแค่ความฝัน และการที่เฉินฝานซิงพยายามดึงเธอไปเป็นพวกเดียวกันก็เป็นความฝันเช่นกัน

 

 

 

 

บนรถ

 

 

ป๋อจิ่งชวนเอ่ยถาม “คุณจะรับศิลปิน?”

 

 

“อื้ม”

 

 

“ตัดสินใจเมื่อไหร่”

 

 

“วันนี้”

 

 

ป๋อจิ่งชวนนิ่งเงียบสองวินาที “ไม่ดูวู่วามไปหน่อยเหรอ”

 

 

“ก็โอเคอยู่”

 

 

เขาหัวเราะเสียงต่ำออกมา “คุณมีความสุขก็ดีแล้ว ถ้าต้องการความช่วยเหลือยังไงก็อย่าลืมบอกผมด้วย”

 

 

“ได้เลย เพราะฉันมีคุณคอยเป็นที่พึ่งที่มั่นคงให้อยู่นี่ไง ฉันถึงได้ไม่กลัวอะไรแบบนี้”

 

 

การเอาใจของเฉินฝานซิงกลับเรียกสายตาเย็นเยียบให้มองสบมายังเธอ “อย่ามาเอาอกเอาใจกันหน่อยเลย มีเรื่องไหนบ้างที่คุณเคยมองผมเป็นที่พึ่ง”

 

 

“ก็เรื่องพวกนั้นไม่คู่ควรที่จะต้องถึงมือคุณนี่ ไม้ใหญ่เอามาใช้ประโยชน์เพียงน้อยนิดจะเสียของเอาเปล่าๆ”

 

 

“…”

 

 

ป๋อจิ่งชวนไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่กำลังครุ่นคิดถึงหนทางแก้ปัญหาสำคัญอยู่อย่างเงียบๆ

 

 

ผู้หญิงเด็ดเดี่ยวเกินไปควรทำยังไง

 

 

เรื่องนี้คิดมาตลอดทางแล้วก็ยังคิดไม่ออกแม้แต่วิธีเดียว

 

 

 

 

ที่โถงรอลิฟต์ เฉินฝานซิงเอื้อมมือขึ้นกดลิฟต์ และในขณะที่ทั้งคู่เพิ่งจะเดินเข้าไป ก็มีเสียงหนึ่งตะโกนขึ้น “ช่วยรอด้วยค่ะ” เฉินฝานซิงยื่นมือบังเซนเซอร์ตรงประตูลิฟต์ไว้

 

 

ไม่นานหญิงสาวคนหนึ่งก็ได้วิ่งเข้ามาในตัวลิฟต์ เธอแต่งตัวในเสื้อผ้าที่เรียบหรูพร้อมกับอุ้มเด็กผู้หญิงตัวน้อยผิวขาวราวกับหยกสีชมพูไว้ในอ้อมแขน

 

 

“ชั้นไหนคะ” เฉินฝานซิงมองยังเด็กน้อยในอ้อมกอดของเธอ ทั้งยังถามออกไปเสียงเรียบ

 

 

“ชั้นสิบสี่ค่ะ ขอบคุณค่ะ”

 

 

“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอว่าพลางยกมือขึ้นกดลิฟต์ไปยังชั้นที่สิบสี่

 

 

“หวันหว่าน รีบขอบคุณคุณน้าเขาสิลูก” เสียงอ่อนหวานของหญิงสาวเอ่ยขึ้นกับเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขน

 

 

ทว่ายามที่เฉินฝานซิงมองไปกลับเห็นเพียงเจ้าของใบหน้างัวเงีย กำลังใช้ดวงตากลมโตสุกใสจ้องมองมายังเธอตาเป็นประกาย