บทที่ 166 หักเหลี่ยมเฉือนคม[รีไรท์]
คำพูดของฮวาเซิ่งคมดั่งใบมีด ไม่ว่าใครได้ยินก็ถึงกับต้องสะท้านไปถึงทรวง โดยเฉพาะชายหนุ่มที่อยู่ในห้องหมายเลขห้าสิบ
การพูดคือศิลปะแขนงหนึ่ง ดังนั้น คำพูดจึงสามารถฆ่าคนได้จริง ๆ เด็กสาวในห้องสี่สิบสอง เองก็พูดผ่านไมโครโฟนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
“ดูเหมือนกฎของที่นี่จะไม่มีความหมายเลยสักนิด ถ้าพวกคุณทำแบบนี้กับเรา เราเองก็จะไม่มาร่วมประมูลกับคุณอีกแล้ว” ก่อนหน้านี้ ราคาการประมูลของแต่ละชิ้นพุ่งสูงเกินเรื่องไปมาก แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าหวั่นเกรง สำหรับคนจากยุทธภพ สำหรับพวกเขาแล้ว เสียเงินไม่ว่า แต่จะให้เสียหน้านั้นไม่ได้เด็ดขาด
“ผู้จัดงานประมูลต้องออกมาให้คำอธิบายแล้วล่ะ ทำไมถึงปล่อยให้ไอ้หมอนั่นวางท่าใหญ่โตแบบนี้อยู่ได้?”
“พี่ชายจากห้องหมายเลขเจ็ดสิบเจ็ดพูดถูกต้อง เจ้าหนุ่มจากห้องหมายเลขห้าสิบ มันสามหาวเกินไปแล้ว ฉันไม่อยากจะพูดเลยนะว่านายอยากตายหรือไง? เก่งกล้ามาจากไหน? โลกเรามีคนตายอยู่ทุกวัน แต่นายเคยฆ่าคนจริง ๆ หรือเปล่าล่ะ?” เกิดเสียงคนตะโกนออกมาด้วยความฉุนเฉียว
“ผู้จัดการประมูลหายหัวไปไหนแล้ว? วันนี้ถ้าคุณไม่ออกมาให้คำอธิบาย พวกเราจะกลับบ้านกันเดี๋ยวนี้แหละ คุณปล่อยให้เด็กไม่รู้จักโตเข้าร่วมงานได้ยังไง เอาแต่ใจตัวเองแบบนี้ เขาไม่เรียกว่าการประมูลแล้ว”
บรรดาคนจากโลกยุทธภพส่งเสียงตะโกนด้วยความไม่พอใจ พวกเขาทั้งเดือดดาลและไม่กลัวเกรง
ชายหนุ่มในห้องหมายเลขห้าสิบ พูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว ก็จะให้เขาพูดอะไรได้อีก? ทุกคนเล่นรุมถล่มเขาแบบนี้ ชายหนุ่มรู้สึกไม่พอใจและอยากจะโต้แย้งกลับไป แต่ก่อนอื่น เขาต้องรอฟังความเห็นจากผู้จัดงานประมูลเสียก่อน
“คุณหมายเลขห้องห้าสิบ ช่วยระวังคำพูดด้วยนะครับ ถ้าเกิดเหตุแบบนี้อีก ผมต้องขอเชิญคุณออกจากงานประมูลครั้งนี้” นี่คือคำพูดด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น แต่เมื่อเทียบกับสถานะของแขกผู้เข้าร่วมงานประมูลแล้ว น้ำเสียงแบบนี้หมายถึงไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย ชายหนุ่มใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความฉุนโกรธ และพูดว่า “แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?”
“นายน้อย ระวังคำพูดด้วยครับ!” ผู้อาวุโสดุเขาเล็กน้อย
เนื่องจากได้ทราบมาแล้วว่า บริษัทจัดการประมูลครั้งนี้มีเบื้องหลังไม่ธรรมดา อย่างน้อย เจ้าของบริษัทก็ไม่ได้กลัวเกรงสำนักสวรรค์ฟ้าเลย
เมื่อถูกผู้อาวุโสดุเข้าไป ชายหนุ่มก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะใหญ่
เขาหันมองไปที่ชายชราด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนพูดว่า “รู้ตัวไหมว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่?”
“นายน้อย ครั้งนี้ท่านผู้เฒ่าสั่งให้ผมพาคุณมาเปิดหูเปิดตา ความปลอดภัยของคุณคือสิ่งสำคัญสูงสุดสำหรับผม ถ้าคุณไม่พอใจอะไร ค่อยกลับไปรายงานท่านผู้เฒ่าดีกว่านะครับ” ผู้อาวุโสพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
ชายชราคนนี้มีสถานะไม่ธรรมดา ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะมีสถานะสูงกว่าเขา แต่ก็ไม่กล้าทำเมินเฉยต่อคำสั่งสอนของชายชรา
ชายหนุ่มตะโกนผ่านไมโครโฟนด้วยความโกรธแค้นว่า “ผมขอประมูลที่ หกร้อยล้านหยวน”
“เราจะเริ่มประมูลกันต่อนะครับ” เสียงของพิธีกรชายกล่าวต่อ
“แปดร้อยล้านครับ” ฮวาเซิ่งสู้ราคาทันที ชายหนุ่มโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง อยากจะสบถออกไมค์แต่ก็ไม่กล้า เขาทำได้เพียงแค่ยกโต๊ะน้ำชาขึ้นทุ่มใส่ผนังห้องระบายอารมณ์ ก่อนจะคำรามว่า
“หนึ่งพันล้าน” ทุกคนไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
ชายหนุ่มคนนี้บ้าคลั่งเกินไปแล้ว ราคาสูงเท่านี้ นับว่าไม่คุ้มค่าเลยจริง ๆ
“นายน้อย…” ผู้อาวุโสพูดอะไรไม่ออก เป้าหมายที่พวกเขามา
ในวันนี้ก็เพื่อใช้เงิน จะขัดขวางก็คงทำไม่ได้เสียด้วย ชายหนุ่มหันไปมองชายชรา สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
“ไม่ต้องห่วงหรอก ผู้อาวุโสเหลียง ถ้าอีกฝ่ายเพิ่มราคา ผมก็จะไม่สู้แล้ว ผมแค่อยากให้พวกมันจ่ายมากกว่าพันล้าน แค่นี้ผมก็หายโมโหแล้ว” ผู้อาวุโสจ้องมองนายน้อยด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่จะยิ้มออกมาด้วยความชื่นชม ไม่คิดเหมือนกันว่านายน้อยไม่เอาไหนคนนี้ ก็มีสมองเหมือนกันแฮะ แต่ได้ชื่อว่าเป็นลูกเสือลูกมังกร ทั้งทีก็คงต้องมีเขี้ยวเล็บติดตัวบ้างอยู่แล้ว
ถึงตรงนี้ ฮวาเซิ่งตกตะลึงไม่น้อยกับราคาที่อีกฝ่ายสู้มา เพิ่มขึ้นมาทีเดียวถึง สองร้อยล้านหยวน ไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ๆ แต่ฮวาเซิ่งก็ไม่ได้หวาดกลัว เขาเป็นเจ้าของที่ดินมากมายในเมืองหยุนหยานจะมายอมแพ้คนต่างถิ่นได้อย่างไร แต่ในขณะที่ฮวาเซิ่งกำลังจะสู้ราคา ฉู่ชวิ๋นกลับโบกมือห้ามเอาไว้
“ทำไมล่ะ? นายท่านไม่ต้องห่วงเรื่องเงินหรอกนะ” ฮวาชิงหวู่คิดว่าฉู่ชวิ๋น กังวลว่าพวกเขาจะมีเงินไม่มากพอ
ฉู่ชวิ๋นส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมายิ้ม ๆ ว่า “ถ้ามีคนยอมทุ่มเงินขนาดนี้เพื่อซื้อมัน เราจะไปขัดขวางความปรารถนาของเขาทำไมกัน? ตอนนี้ถือว่าเราฝากหญ้าทองคำไว้กับพวกเขาชั่วคราวก่อนดีกว่า” นี่คือคำพูดเดียวกับที่ชายหนุ่มในห้องห้าสิบ เคยพูดเอาไว้
ฮวาชิงหวู่จ้องมองเขาตาไม่กะพริบ พูดด้วยความประหลาดใจว่า “หรือ…หรือว่านายท่านจะไปปล้นพวกเขามางั้นเหรอ?”
ฮวาเซิ่งกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ เขายอมรับแล้วว่าฉู่ชวิ๋นไม่ธรรมดาจริง ๆ ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าและตอบรับอย่างอารมณ์ดี “การปล้นของจากสำนักสวรรค์ฟ้า ไม่ถือว่าเป็นการปล้นหรอกน่า”
สำนักสวรรค์ฟ้า?
ฮวาชิงหวู่และฮวาเซิ่งได้ยินคำนั้นก็ตกตะลึง ฉู่ชวิ๋นและสำนักสวรรค์ฟ้าไม่ได้เป็นศัตรูกันแค่เพียงในโลกยุทธภพเสียแล้ว แต่พวกเขายังเป็นศัตรูกันในโลกมนุษย์อีกด้วย
ภายในห้องหมายเลขห้าสิบ ชายหนุ่มจากสำนักสวรรค์ฟ้าลุกขึ้นยืน กางหูรับฟังด้วยความตื่นเต้น รอคอยให้ฝ่ายของฉู่ชวิ๋นประกาศสู้ราคา
โป้ก!
ค้อนเคาะครั้งที่หนึ่ง
สีหน้าของนายน้อยเปลี่ยนแปลงไป ปรากฏเม็ดเหงื่อไหลซึมเต็มหน้าผาก “ไม่เป็นไร เดี๋ยวมันต้องสู้ราคาแน่ ๆ แค่รอจังหวะให้เคาะค้อนอีกครั้งเท่านั้น” ชายหนุ่มพยายามปลอบใจตัวเอง
โป้ก!
ค้อนเคาะครั้งที่สอง
นายน้อยแห่งสำนักสวรรค์ฟ้าหน้าซีดเซียว หัวใจกระตุกเหมือนโดนค้อนทุบเข้าเต็ม ๆ “รีบสู้ราคามาสักทีสิวะ…” เขาพึมพำ
เมื่อเห็นว่าค้อนกำลังจะเคาะครั้งที่สามแล้ว ชายหนุ่มก็รู้สึกหมดหวัง อีกฝ่ายคงไม่สู้ราคาแล้วแน่ ๆ
“อะแฮ่ม…”
ทันใดนั้น เกิดเสียงดังออกมาจากลำโพงบนหน้าจอ ก่อนที่ค้อนจะเคาะครั้งที่สาม
ชายหนุ่มรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที กลับมามั่นใจอีกครั้งว่า อีกฝ่ายหนึ่งจะต้องสู้ราคาแน่นอน
“อะแฮ่ม จ่ายเงินพันล้านเพื่อซื้อหญ้าทองคำ ถือว่าร่ำรวยเสียจริง ๆ ต้องขอชื่นชมจากใจ ผมขอยอมแพ้คุณแล้ว” ฮวาเซิ่งพูดด้วยน้ำเสียงติดตลกที่ได้ยินไปทั่วทั้งชั้นยี่สิบสอง
หลังจากที่เขาพูดจบ ทุกคนก็ส่งเสียงอื้ออึงทันที เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มห้องหมายเลขห้าสิบ ถูกหลอกปั่นราคาหนึ่งพันล้าน เป็นราคาที่สูงไม่ใช่เล่นเลยจริง ๆ
เด็กสาวในห้องหมายเลขสี่สิบสอง กระโดดขึ้นด้วยความสะใจ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“หึ ปั่นราคาฉันนักเป็นไงล่ะ โดนเข้ากับตัวเองสมน้ำหน้า” เด็กสาวย่นจมูก พูดด้วยท่าทางน่ารักน่าชัง
ผู้อาวุโสและชายหนุ่มที่นั่งอยู่ร่วมห้อง หันมองหน้ากันและหัวเราะออกมาแล้ว บรรยากาศผ่อนคลายขึ้นมาก
แม่งเอ๊ย!
นายน้อยแห่งสำนักสวรรค์ฟ้าจ้องมองหน้าจอด้วยความโกรธแค้น ถ้าสายตาของเขาฆ่าคนได้ อีกฝ่ายคงตกนรกหมกไหม้ ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้ว หนึ่งพันล้าน แค่นี้เขาจ่ายไหว แต่เขาทนเสียหน้าไม่ได้!!!
ชายหนุ่มเคยแต่เป็นฝ่ายปั่นหัวคนอื่นมาตลอด เขาจะไม่ยอมตกเป็นฝ่ายถูกคนอื่นปั่นหัวแน่
“เชี่ยแม่งโว้ย…” นายน้อยคำรามออกมาและกัดริมฝีปากด้วยความโกรธแค้น
“ผู้อาวุโสเหลียง ฆ่ามันให้ผมหน่อย” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความขมขื่นและเย็นชา
สีหน้าของชายชราเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข นายน้อยถูกเลี้ยงดูจนกลายเป็นคนนุ่มนิ่มมาหลายปี แผนการเปิดหูเปิดตาครั้งนี้เป็นไปได้ด้วยดี
มันช่วยกระตุ้นให้นายน้อยกลายเป็นคนที่สำนักสวรรค์ฟ้าต้องการ เขาจำเป็นต้องมีบุคลิกบ้าเลือด ถึงจะเหมาะสมต่อการเป็นเจ้าสำนักคนต่อไป
“ผมอยากได้ยินคำนี้จากนายน้อยมานานแล้ว” ผู้อาวุโสพูดกระซิบกระซาบ ก่อนที่จะหันหน้าไปออกคำสั่งกับบริวารทั้งสี่คน
“พวกแกไปคอยจับตาดูห้องสี่สิบสอง กับห้องเจ็ดสิบเจ็ดเอาไว้”
“รับทราบครับ ผู้อาวุโส!” บริวารทั้งสี่คนรับคำอย่างพร้อมเพรียง
เหตุการณ์ทุกอย่างนี้อยู่ในสายตาของฉู่ชวิ๋น ริมฝีปากของเขาบิดตัวเป็นรอยยิ้มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว จะมีอะไรน่าตลกไปกว่านี้อีก ตอนแรกเขาวางแผนจะไปหาคนพวกนี้เมื่อจบการประมูล แต่พวกมันกลับเป็นฝ่ายที่จะมาหาเขาแทน ถือว่าช่วยประหยัดเวลาให้กับฉู่ชวิ๋นไปได้เยอะเลยทีเดียว
“ฉันรอต้อนรับอยู่นะ นายน้อยจากสำนักสวรรค์ฟ้า!” ฉู่ชวิ๋นพูดเบา ๆ