เฟเรสที่กลับมาเป็นเหมือนปกติจึงเป็นฝ่ายถามคำถามเธอแทน

 

“ที่วันนี้อารมณ์ไม่ดี หรือจะเป็นเพราะเรื่องนี้”

 

“อื้อ พอดีมีเรื่องนิดหน่อยน่ะ”

 

“ผู้ชาย?”

 

เวสตินก็เป็นผู้ชายนี่เนอะ

 

เธอพยักหน้า

 

แต่เฟเรสก็ยังถามย้ำเป็นครั้งที่สอง

 

“…ผู้ชาย?”

 

โอ๊ย ก็บอกว่าใช่ไง ทำไมอีกล่ะ

 

เธอพยักหน้าอีกครั้ง

 

แต่บรรยากาศรอบตัวเฟเรสกลับแปลกไปมันให้ความรู้สึกเย็นยะเยือก แต่ก็ให้ความรู้สึกร้อนเป็นไฟชอบกล กระทั่งสายลมที่พัดผ่านเข้ามาให้รู้สึกสดชื่นยังหยุดพัด บรรยากาศรอบด้านพลันหนักอึ้งขึ้นมา

 

“เทีย”

 

“หืม”

 

“มีคนรัก…เหรอ”

 

เด็กนี่พูดบ้าอะไรเนี่ย

 

“มีอะไรนะ”

 

“คนรัก”

 

“เปล่า ยังไม่มีสักหน่อย”

 

เธอเพิ่งจะอายุสิบเอ็ดเองนะ!

 

“งั้นที่พูดเมื่อกี้หมายความว่ายังไง”

 

“อ้อ ไม่ใช่ข้าหรอก คนรู้จักน่ะ”

 

ฟีเรนเทียหาข้ออ้างบอกไปคร่าวๆ เพราะเรื่องในตระกูลลอมบาร์เดียจะเอามาเล่าให้คนนอกฟังมันก็ยังไงๆ อยู่

 

“อา”

 

เฟเรสยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบหน้าลูบตา ก่อนที่จะยกนมขึ้นดื่มพรวดๆ

 

เธอมองเฟเรสที่ทำเช่นนั้นพลางถาม

 

“จะเห็นว่าตัวเองหล่อ เลยทำให้ผู้หญิงเจ็บปวดไม่ได้นะ เข้าใจใช่มั้ย เฟเรส”

 

สุดท้ายเฟเรสก็ดื่มนมจนหมดแก้ว เขาใช้หลังมือเช็ดปากลวกๆ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงบูดบึ้งเล็กน้อย

 

“ไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องแบบนั้นก็ได้”

 

“รู้แล้วๆ ข้ารู้น่ะว่าเจ้าไม่ใช่คนเลวแบบนั้น”

 

ใช่ๆ

 

เอาไปเปรียบเทียบกับไอ้เวสตินนั่นไม่ได้หรอก

 

เธอรีบร้อนอธิบายก่อนที่เฟเรสจะเข้าใจผิด

 

“แต่…”

 

“แต่?”

 

“ข้าแค่แนะนำในฐานะเพื่อนเผื่อไว้น่ะ ก็ช่วงนี้เจ้าเล่นโตพรวดพราดเลย”

 

หากนึกถึงตอนที่พวกเราได้พบกันครั้งแรก เฟเรสเปลี่ยนไปมากเสียจนเชื่อได้ยากทีเดียวว่าเป็นเด็กคนเดียวกัน

 

จะบอกว่าตอนนี้เขาดูเป็นเจ้าชายเต็มตัวแล้วก็ได้

 

ไม่ได้เปลี่ยนไปแค่ส่วนสูงหรือรูปร่างหน้าตาเฉยๆ

 

“ที่งานเลี้ยงของร้านค้าเพลเลสครั้งนี้น่ะ ได้ยินคนพูดเกี่ยวกับเจ้าเยอะเลย”

 

เป็นเด็กแบบนี้ก็สะดวกดีเหมือนกัน

 

เทียบกับพวกผู้ใหญ่ในตระกูลลอมบาร์เดียที่ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็มีแต่คนมอง เธอที่ยังเป็นเด็กอยู่ถือว่ามีอิสระกว่าเยอะ

 

เพราะอย่างนั้นถึงได้แอบฟังเวลาผู้คนจับกลุ่มคุยกันได้อย่างชัดเจน

 

สำหรับพวกชนชั้นสูง หัวข้อที่พวกเขามักจะสนทนากันอยู่บ่อยๆ ก็มีแต่เรื่องที่เกี่ยวกับอาสทาน่า หรือไม่ก็เฟเรส

 

“เพราะอาสทาน่าเองก็ยังไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาท คนส่วนใหญ่ก็เลยชื่นชอบเจ้ากันเยอะเหมือนกัน”

 

“…ข้า?”

 

เฟเรสดูจะแปลกใจเล็กน้อย

 

ก็เฟเรสน่ะ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้ตระหนักเสียเท่าไหร่ว่าตัวเองก็เป็นเจ้าชายเช่นเดียวกัน

 

“ทั้งเรื่องที่คราวก่อนที่เจ้าสร้างออร่าขึ้นมาได้ แล้วก็พวกเรื่องความสำเร็จในการเรียนของเจ้า ดูเหมือนจะแพร่ออกไปเป็นวงกว้างแล้วละ”

 

ไม่รู้ว่ามันแพร่ออกไปเอง หรือมีใครจงใจปล่อยข่าวกันแน่

 

นอกจากท่านปู่ที่คอยให้การสนับสนุนเฟเรสแล้ว มีแค่ไม่กี่คนที่จะได้ประโยชน์จากข่าวลือพวกนั้น

 

ยกตัวอย่างเช่น คนอย่างองค์จักรพรรดิที่ได้รับของกำนัลมากมายจากพวกอังเกนัส ในขณะที่ลอบถ่วงดุลน้ำหนักระหว่างอาสทาน่ากับเฟเรสไปพลาง

 

“มันก็ช่วยไม่ได้ตั้งแต่เรื่องชาติกำเนิดแล้วไม่ใช่เหรอ ถึงยังไงนอกจากอาสทาน่าแล้ว จนถึงตอนนี้เจ้าชายที่รอดชีวิตแล้วมีอายุมากหน่อยก็มีแค่เจ้าคนเดียว”

 

จักรพรรดิเพียงแค่ยังไม่ได้แต่งตั้งใครขึ้นเป็นนางสนม แต่พระองค์ก็มีคนรักที่แอบคบหาอยู่มากมายก่ายกอง

 

ดังนั้นย่อมไม่มีทางที่จะมีบุตรแค่อาสทาน่ากับเฟเรส

 

แต่คนที่ ‘รอดชีวิต’ มาได้จนถึงตอนนี้ มีเหลือเพียงแค่เฟเรสคนเดียว

 

จักรพรรดินีเป็นคนเลือดเย็นถึงเพียงนั้น

 

เพื่อที่จะผลักดันโอรสของตัวเองให้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิองค์ถัดไป ไม่ว่าจะเรื่องอะไร นางก็สามารถลงมือทำได้ทั้งสิ้น

 

สำหรับจักรพรรดินีคนนั้น เฟเรสเองก็เป็นเหมือนเสี้ยนหนามที่นางไม่อาจกำจัดได้นั่นแหละ

 

“นางไม่ได้มากดดันให้ไปอะคาเดมีอีกเหรอ”

 

“…ไม่กี่วันก่อนจักรพรรดินีเรียกข้าไปพบ สั่งให้ไปอะคาเดมี”

 

เสียงของเฟเรสยามพูดถึงจักรพรรดินีกดต่ำเป็นพิเศษ

 

“มีเรื่องแบบนั้นด้วย”

 

เธอเหลือบมองแคทเธอรีนกับคาอิลรัส

 

ดูจากสีหน้าของทั้งสองคนที่กระตุกเกร็งไปอย่างเห็นได้ชัด แสดงว่าต้องมีเรื่องเกิดขึ้นมากกว่านั้นแน่นอน

 

เฟเรสไม่ได้พูดอะไรอีก

 

ราวกับไม่อยากจะพูดถึงมัน

 

ถ้างั้นก็ช่วยไม่ได้สินะ

 

เธอถอนหายใจพร้อมกับพยักหน้ายอมรับอย่างว่าง่าย ก่อนจะพูดกับเฟเรส

 

“บางทีต่อไปก็คงจะเกิดเรื่องแบบนั้นบ่อยกว่าเดิม จนกว่าเจ้าจะยอมเดินทางไปยังอะคาเดมีด้วยตัวเองนั่นแหละ”

 

“แต่ข้าไม่อยากไปอะคาเดมี”

 

“อืม นั่นก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าอยู่แล้ว ต่อให้เป็นจักรพรรดินีก็ไม่สามารถบังคับลากเจ้าไปอะคาเดมีได้หรอก”

 

มันเป็นกฎที่ตั้งขึ้นเพื่อขวางไม่ให้คนที่ถูกขับไสจากโครงสร้างของผู้สืบทอดตระกูล ต้องฝืนใจถูกบีบบังคับให้เข้าศึกษาที่อะคาเดมี

 

การเข้าศึกษาที่อะคาเดมีจะต้องขึ้นอยู่กับ ‘ความสมัครใจ’ ของเจ้าตัวเท่านั้น

 

หากไม่ใช่เพราะกฎที่ว่านั่น จักรพรรดินีก็คงจะโยนเฟเรสไปที่อะคาเดมีตั้งนานแล้ว

 

“เพราะฉะนั้นถึงได้พยายามเกลี้ยกล่อมเจ้าอย่างเต็มที่ยังไงล่ะ”

 

“….ถ้างั้นก็ช่างเถอะ”

 

เฟเรสตอบเสียงเรียบ

 

“เพราะตราบใดที่ไม่บังคับลากตัวข้าไป ข้าก็จะไม่มีวันเข้าศึกษาที่อะคาเดมีเด็ดขาด”

 

ท่าทางแข็งกร้าวไม่เหมือนเฟเรสเลยสักนิด

 

บทสนทนาของพวกเธอหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง

 

เฟเรสกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด ไม่รู้ว่าเขากำลังครุ่นคิดเรื่องอะไรอยู่

 

ฟีเรนเทียเองก็กำลังครุ่นคิดอยู่เหมือนกันว่าไม่มีวิธีอะไรดีๆ ที่จะช่วยให้เฟเรสมีกำลังใจมากขึ้นหน่อยเลยเหรอ แต่แล้วจู่ๆ ก็พลันนึกถึงของขวัญที่เธอเก็บไว้ในกระเป๋าขึ้นมาได้

 

มันเป็นของขวัญที่เธอตั้งใจเอามาให้เฟเรสโดยเฉพาะ

 

เธอหยิบกล่องสีดำใบเล็กขนาดเท่าฝ่ามือออกมาวางลงตรงหน้าเด็กหนุ่ม ก่อนจะยกนมขึ้นดื่มอย่างสงบ

 

“นี่…อะไรเหรอ”

 

เฟเรสถามด้วยความงุนงง

 

เธอตอบเหมือนมันไม่ได้สลักสำคัญอะไรนัก

 

“เอามาให้”