บทที่ 200 ข้าจะไปกับเจ้า

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 200

ข้าจะไปกับเจ้า

หลินซีเหยียนก็ได้ยักคิ้วขึ้นมาแล้วมองไปที่ศัตรูที่อยู่รอบๆนาง และที่มุมปากของนางก็ได้ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะพูดเรื่องนี้!”

เมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาของนางแล้ว ใบหน้าที่แข็งทื่อของหลินหนานเฟิงก็ได้อ่อนโยนลงมา

“ต่อให้พวกเราไม่มีเบี้ยต่อรองในมือแล้ว ก็อย่าคิดว่าพวกเจ้าจะรอดไปได้”

พวกคนในชุดดำที่ถูกเมินนั้นก็ได้ทำสีหน้าไม่ดีอย่างมาก และพูดเตือนให้พวกหลินซีเหยียนรู้ว่าอย่าได้ดูถูกพวกเขา

แต่ถ้าพวกเขาหนีไปเสียแต่ตอนนี้ หลินซีเหยียนกับ หลินหนานเฟิงก็ไม่คิดที่จะไล่ตามพวกเขา แต่พวกเขากลับโชคร้ายที่พวกเขาประมาทฝ่ายตรงข้ามและประเมินตัวเองผิดไป

และแล้วก็ได้จัดการปราบศัตรูทั้งหมดจนเหี้ยนโดยที่ไม่มีข้อผิดพลาดอะไร

ในห้องสีอิฐสีฟ้าห้องหนึ่ง หลินซีเหยียนก็ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะที่มีอยู่เพียงโต๊ะเดียวในบ้าน และเพราะไม่มีแก้ว ป้าเฉินจึงได้ใช้ชามลายครามที่บิ่นๆแทน

“คุณหนูรองเจ้าคะ ที่นี่มีแต่ของธรรมดาๆ ต้องขออภัยคุณหนูด้วย”

ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลานานมากตั้งแต่นางยังเด็กแล้ว และหลายสิ่งหลายอย่างก็ได้เปลี่ยนไปมาก แต่ป้าเฉินก็ยังคงอ่อนโยนและใจดีเหมือนกับที่นางยังจำได้

หลินซีเหยียนก็ได้ส่ายหัว และกล่าวด้วยรอยยิ้มที่มุมปากของนาง “ป้าเฉินคิดมากไปแล้ว ข้าไม่ใช่คนที่เอาแต่ใจตัวเองแบบนั้น”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ป้าเฉินก็ได้ตกอยู่ในห้วงความทรงจำ หลินหนานเฟิงที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกับหลินซีเหยียนนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ดวงตาก็ได้ฉายแสงดื้อรั้นและแฝงด้วยความเป็นกังวลออกมา

หลินหนานเฟิงเคยพบหลินซีเหยียนมาก่อนหน้าแล้ว และเขารับรู้ได้อย่างชัดเจนด้วยว่าหลินซีเหยียนนั้นเปลี่ยนไปมาก นางนั้นไม่ใช่คนโง่ที่ถูกคนอื่นรังแกและต้องการให้เขาช่วยอีกแล้ว

และจะต้องมีเรื่องที่สำคัญมากแน่ถึงได้มาหาเขาในวันนี้ เขานั้นมีชีวิตอยู่มานานพอแล้ว และไม่มีสิ่งที่อาลัยอาวรณ์อะไรในโลกนี้ จะมีก็แค่คนสองคนที่เขาไม่อาจปล่อยวางได้

หนึ่งคือป้าเฉิน และอีกหนึ่งคือหลินซีเหยียน

เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาของหลินหนานเฟิงแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้หรี่สายตาลงเล็กน้อย “พี่ใหญ่หลินไม่ต้องมองข้าอย่างสงสัยเช่นนั้นหรอก ข้ามาที่นี่ก็เพราะต้องการความช่วยเหลือจากท่านจริงๆ”

หลินหนานเฟิงก็ยังคงไม่แสดงสีหน้าใดๆ แม้แต่ปากของเขาก็ยังไม่เปิด แต่ก็ผงกหัวอย่างเรียบๆ

“พี่ใหญ่ไม่อยากรู้เหรอว่า ข้าอยากจะให้ท่านทำอะไรน่ะ?”

คำพูดที่ดูไม่ใส่ใจนี้แต่แฝงความหมายยั่วยวนเอาไว้เช่นนี้ทำให้หลินหนานเฟิงนั้นปรากฏแววตาชอบใจในดวงตาของเขา แล้วเขาก็ได้ลูบหัวของหลินซีเหยียนแต่สีหน้าก็ยังคงไม่เปลี่ยน แต่สิ่งที่เขาทำนั้นหลินซีเหยียนก็เข้าใจดีว่าหมายความว่าอย่างไร

“ไม่ว่าจะเป็นอะไร พี่ใหญ่ก็ยินดีจะทำให้งั้นเหรอ?”

“ใช่” ถึงแม้ว่าหลินหนานเฟิงนั้นจะดูเย็นชาและไม่ชอบพูดมากอะไร แต่น้ำเสียงของเขาก็ยังดีมาก

เมื่อหลินซีเหยียนได้ยินเขาตอบเช่นนี้ ดวงตาของนางก็ได้แดงขึ้นมา และรอยยิ้มของที่ปากของนางนั้นก็ได้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ

จริงๆแล้วนางเองก็ไม่รู้สึกประหลาดใจมากนักกับคำตอบนี้ เพราะตั้งแต่แรกแล้วนางก็เดาได้อยู่แล้วว่าจะลงเอยเช่นไร แต่การที่เขานั้นเชื่อและช่วยนางโดยไม่มีเหตุผลเช่นนี้ทำให้นางนั้นรู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาอย่างมาก

ป้าเฉินนั้นได้คิดที่จะเปิดปากพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่พอนางเห็นบรรยากาศระหว่างพี่ชายกับน้องสาวเช่นนี้แล้ว ทำให้นางมองดูด้วยรอยยิ้ม

ถึงแม้ว่าคุณหนูรองนั้นจะเปลี่ยนไปมาก แต่นางก็เชื่อว่าคุณหนูรองนั้นจะไม่ทำร้ายนายน้อยของนางแน่

“ในเมื่อท่านตกลงที่จะช่วยข้าแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะพูดตรงๆล่ะ” หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่หลินหนานเฟิงและไม่คิดที่จะปล่อยให้อีกฝ่ายนั้นได้ไหวตัวทัน “ข้าจะมารับพวกท่านไปที่ จวนมหาเสนาบดีในอีกสองวันให้หลังจากนี้อย่างเปิดเผย”

ซึ่งหลินซีเหยียนได้เน้นย้ำคำสุดท้าย “อย่างเปิดเผย” ด้วย

หลินหนานเฟิงยังไม่ทันจะได้พูด แต่ป้าเฉินก็ได้พูดออกมาด้วยความกังวล “คุณหนูรองเจ้าคะ ท่านไม่รู้เหรอว่าท่านมหาเสนาบดีนั้นได้ไม่นับนายน้อยเป็นลูกชายบ้านนั้นแล้ว”

“ข้ารู้แล้ว แต่เกรงว่าปัญหานี้ต้องให้พี่ใหญ่เป็นคนตอบนะ” หลินซีเหยียนผงกหัว แล้วจากนั้นก็ได้เล่าเรื่องที่มหาเสนาบดีหลินนั้นได้เป็นหนี้นางและได้ให้สัญญากับนางไว้เรื่องหนึ่ง

แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้พูดอะไรออกมานั้น หลินซีเหยียนก็ได้กล่าวด้วยริมฝีปากสีแดง “ท่านวางใจได้พี่ใหญ่เองก็เป็นคนสำคัญของข้าเช่นกัน ดังนั้นข้าไม่ปล่อยให้เขาต้องเป็นอะไรไปหรอก”

ด้วยการรับประกันของหลินซีเหยียน ป้าเฉินยังคงไม่ค่อยเชื่ออยู่ดี อย่างไรเสียหลินหนานเฟิงนั้นก็สำคัญกับป้าเฉินมากอยู่ดี

“คุณหนูรอง ข้าคิดว่าเรื่องนี้สมควรที่จะคิดถึงในระยะยาว…” แต่ก่อนที่ป้าเฉินจะได้พูดจบ นางก็ถูกขัดโดยหลินหนานเฟิงเสียก่อน

หลินหนานเฟิงที่มีสีหน้าเช่นเดิม ก็ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่แหบต่ำ “ข้าเชื่อเจ้า”

ป้าเฉินก็ได้มีสีหน้าประหลาดใจ นางมองไปที่ หลินซีเหยียนและหลินหนานเฟิง จนผ่านไปสักพักใหญ่นางก็ดูเหมือนจะเข้าใจได้ก็ได้ถอนหายใจออกมา

“ลูกหลานก็มีทางรอดของพวกเขาเองจริงๆ จะออกมาดีหรือร้ายก็ยังไม่รู้ แต่อย่างไรเสียคนหนุ่มสาวสองคนนั้นยังไม่กลัวอะไร จะมีก็แต่คนแก่อย่างข้าที่กลัวไปเอง”

หลินซีเหยียนก็ได้หัวเราะ เสียงหัวเราะของนางนั้นใสราวกับเสียงกระดิ่งลมที่ช่างไพเราะเสนาะหู หลังจากนั้นนางก็ได้กล่าว “ไม่ต้องกังวลไปหรอกป้าเฉิน พวกเราจะดูแลท่านเอง”

ด้วยเหตุนั้นหลินซีเหยียนก็ได้พาทั้งคู่กลับไปที่เมืองหลวง และมองหาโรงเตี๊ยมที่ดูดีแห่งหนึ่งเข้าพัก โดยที่ไม่รอให้ หลินหนานเฟิงได้พูดอะไร หลินซีเหยียนก็ได้จ่ายเงินค่าที่พักและอาหารให้เรียบร้อยแล้ว

จากนั้นนางก็ได้กะพริบตาให้หลินหนานเฟิง

เป็นชั่วขณะหนึ่งที่ดวงตาของหลินหนานเฟิงนั้นเต็มไปด้วยความยุ่งยากใจ ความรู้สึกที่เขาต้องมาอาศัยเงินของน้องสาวตัวเองนั้นทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยดีนัก

ถ้ามันเป็นเรื่องจริงอย่างที่น้องซีเหยียนกล่าวแล้ว วันหนึ่งเมื่อเขาได้ฐานะของตัวเองกลับคืนมาและเดินไปมาได้อย่างเปิดเผยบนท้องถนนแล้ว เขาก็จะหาทางหาเงินให้ได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาน้องสาวตัวเองเช่นนี้อีก

หลินซีเหยียนก็ได้ทานมื้อค่ำกับหลินหนานเฟิงและป้าเฉิน จากนั้นก็กลับไปที่จวนมหาเสนาบดี

จนกระทั่งวันต่อมาหลินซีเหยียนก็ยังไม่พบองค์ชายเย่ โดยที่ไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นที่บ้านสกุลอวี้บ้าง จะรู้ก็เพียงแค่ว่ามหาเสนาบดีหลินนั้นดูเหมือนจะเย็นชากับบ้านสกุลอวี้และแม้แต่ ฮูหยินอวี้ก็ยังสูญเสียความชื่นชอบไปด้วย

ซึ่งเรื่องนี้ได้ทำให้ฮูหยินน้อยอย่างอินเอ๋อที่เป็นที่รักของมหาเสนาบดีในช่วงนี้อยู่แล้วก็ได้เปรียบมากขึ้นไปอีก เมื่อรวมกับเด็กที่อยู่ในท้องของฮูหยินอินแล้ว ผู้คนในจวนจึงต่างก็พากันเข้าสวามิภักดิ์ให้เพื่อให้ได้รับความชื่นชอบจากนาง

ซึ่งเรื่องทั้งหมดนี้ฮูหยินอวี้นั้นไม่สามารถเอาไปบอกคนอื่นได้ จึงได้แต่ต้องมาทำโกรธเคืองอยู่ในใจอย่างเดียว

“ทั้งหมดเป็นความผิดของหลินซีเหยียนเลยทีเดียว ถ้านางไม่มัวแต่อ้อยอิ่งให้เงินกับท่านพี่แล้ว ท่านพี่จะรู้ว่าข้านั้นโกหกเขาได้อย่างไร? ในเวลานี้ข้าถูกท่านพี่ทิ้งเสียแล้ว ต่อจากนี้ไปก็คงจะเป็นเรื่องยาก”

แล้วข้ารับใช้ที่อยู่ข้างๆฮูหยินอวี้ที่ใกล้ชิดกับนางมากที่สุดนั้น ก็ได้บีบไหล่ของฮูหยินอวี้แล้วกล่าวปลอบนาง “ฮูหยินท่านจะกังวลไปทำไมเจ้าคะ ท่านยังมีนายน้อยอยู่นะเจ้าคะ เขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของท่านมหาเสนาบดีด้วย”

“คนเดียวงั้นเหรอ?” ริมฝีปากของฮูหยินอวี้ก็ได้กระตุกขึ้นมาอย่างประชดประชัน “เจ้าลืมไปแล้วเหรอว่าฮูหยินอินเองก็มีเด็กอยู่ในท้องของนาง ซึ่งบางทีอาจจะเป็นนายน้อยอีกคนก็ได้

“ดังนั้นแล้วฮูหยิน ฐานะของคุณชายสี่นั้นจะมั่นคงหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับท่านแล้ว และที่อยู่ในท้องของฮูหยินอินนั้นจะต้องถูกกำจัด” ปี้อวิ๋นก็ได้กล่าวด้วยเสียงที่นุ่มนวลมากราวกับสายลมใบไม้ผลิ

ฮูหยินอวี้ก็ได้เริ่มมีไฟขึ้นมา แม้ว่าตัวนางนั้นจะถูกมหาเสนาบดีหลินจับไต๋ได้ก็ตาม นางก็จะต้องสู้เพื่อหลินเฉิงอวี้ลูกชายของนางเอง แต่ทว่า “ถ้าเกิดว่าท่านพี่รู้เรื่องนี้เข้าล่ะก็…..”