บทที่ 201
ไมตรีจิตของบ้านสกุลอวี้
“ฮูหยินใหญ่เจ้าคะ ไม่ต้องกังวลหรอกเจ้าค่ะ หากว่าพวกเราระวังตัวดีพอ นายท่านก็ไม่มีทางรู้หรอกเจ้าค่ะ”
ปี้อวิ๋นก็ได้บีบนวดไหล่ของฮูหยินอวี้อย่างชำนิชำนาญ แต่ปากของนางนั้นเต็มไปด้วยคำพูดล่อใจ แต่ฮูหยินอวี้นั้นกำลังครุ่นคิดอยู่จึงไม่เห็นแววตาที่คลุมเครือในดวงตาของนาง
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ฮูหยินอวี้ก็ได้ถอนหายใจออกมา “หากฮูหยินอินรักษาทารกในท้องของตัวเองไว้ไม่ได้ ต่อให้เป็นหลินซีเหยียนก็ช่วยอะไรไม่ได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ปี้อวิ๋นก็ได้หลับตาลงเพื่อซ่อนแววตาที่เจ้าเล่ห์และเยาะเย้ยในดวงตาของนาง
แต่ก่อนที่แผนการของฮูหยินอวี้จะถูกดำเนินการ ตระกูลอวี้ก็ได้ส่งคนมาหา ซึ่งคนคนนี้คือพี่รองของฮูหยินอวี้และเกรงว่าเขาคนนี้อาจจะเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในตระกูลอวี้อีกด้วย
ทันทีที่หลินซีเหยียนมองเห็นดวงตาของฝ่ายตรงข้ามแล้ว นางก็รับรู้ได้ถึงความคมในฝักของเขา ซึ่งเกรงว่าอีกไม่นานคงจะมีอะไรสนุกๆให้ดูอีกเป็นแน่
และบางทีอีกฝ่ายอาจจะรับรู้ได้ถึงการมาของ หลินซีเหยียน ในชั่วขณะที่กำลังเดินสวนกันที่ระเบียงนั้นเอง นางก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายนั้นมองมาที่นางด้วยสายตาที่ไม่ดีนัก
มองไปตามระเบียงทางเดินแล้ว หลินซีเหยียนก็มองดูด้วยสายตาที่ตกใจและตื่นตระหนก แต่ก็เพียงชั่วขณะเดียวก่อนที่นางจะกลับมาเป็นน้ำในบ่อน้ำที่นิ่งเงียบปราศจากคลื่น
“ท่านคือพี่ชายคนที่สองของฮูหยินอวี้อย่างนั้นเหรอ?”
อวี้เหิงก็ได้หยุดเดิน แล้วเผยรอยยิ้มที่ดูน่านับถือบนใบหน้าของเขา “ส่วนท่านก็คือคุณหนูรองของจวนมหาเสนาบดีสินะ”
“ไม่ทราบว่าท่านมีธุระอะไรถึงได้มาที่จวนมหาเสนาบดีอย่างนั้นเหรอ?” หลินซีเหยียนนั้นไม่ได้สงสัยอะไรที่ฝ่ายตรงข้ามนั้นจะรู้จักนาง แต่ก็ได้ถามอย่างใจเย็น “ท่านมาหาฮูหยินอวี้อย่างนั้นเหรอ?”
เมื่อพูดถึงฮูหยินอวี้ สีหน้าของอวี้เหิงก็ได้แย่ลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งหลินซีเหยียนก็ไม่ได้คิดอะไรกลับกันนางก็ได้พูดกับเขาต่อ “ในเมื่อท่านมาที่จวนมหาเสนาบดี ข้าแนะนำให้ท่านไปพบกับมหาเสนาบดีทีหลังจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นท่านอาจจะได้มาแล้วกลับไปทันทีก็ได้ แล้วเดี๋ยวคนอื่นจะเอาไปหาว่าท่านมหาเสนาบดีนั้นจะไม่รับรองแขกไม่ได้นะ”
รอยยิ้มของอวี้เหิงนั้นก็ดูแข็งๆขึ้นมา แต่เขาก็ได้พยายามฝืนยิ้มเอาไว้แล้วกล่าว “ขอบคุณคุณหนูรองที่เป็นห่วง แต่ในเมื่อข้ามาที่จวนมหาเสนาบดีแล้ว ข้าจะต้องไปพบกับท่านมหาเสนาบดีอย่างแน่นอน”
“ถ้าเช่นนั้น ซีเหยียนขอตัวก่อน” เมื่อพูดในสิ่งที่อยากจะพูดออกไปแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้จากไปพร้อมกับรอยยิ้มอย่างมีนัยแอบแฝงบนใบหน้าของนาง
ไม่นานนักนางก็ได้เดินมาถึงที่ประตูจวนมหาเสนาบดี และรอยยิ้มบนใบหน้าของนางเมื่อสักครู่นั้นก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“คุณหนูเจ้าคะ รถม้าพร้อมแล้วเจ้าค่ะ”
หลังจากที่จิ่งชุนพบคุณหนูของนาง นางก็ได้รีบรายงาน ซึ่งมีรถม้าที่ดูไม่หรูหราและไม่สะดุดตาจอดอยู่ที่หน้าประตูจวนมหาเสนาบดี ซึ่งเป็นรถม้าอย่างดีที่เจียงหวายเย่ได้เลือกให้นาง
ในเวลานี้เองที่บนรถม้าก็ได้มีหัวเล็กๆโผล่ออกมาและมองไปรอบๆ หลังจากที่พบหลินซีเหยียนเขาก็ได้รีบโบกไม้โบกมือ “ท่านแม่”
ริมฝีปากของหลินซีเหยียนก็ได้กระตุกเล็กน้อย แล้วเดินไปที่รถม้าแล้วขยี้หัวของเทียนเอ๋อจนกระทั่งอีกฝ่ายต้องโวยวายออกมา
“ท่านแม่หยุดเถอะ! ข้าเองก็อยากไปหาท่านอาจารย์เหมือนกัน ท่านแม่ทำผมข้ายุ่งหมดแล้ว”
มองไปที่ดวงตาเศร้าๆของเทียนเอ๋อแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้หยุดมือแล้วก็ขึ้นไปบนรถม้า
ในเวลานี้ที่นางเดินทางไปที่พระราชวังรัตติกาลนั้น เพราะนางนั้นเป็นห่วงเจียงหวายเย่ ทุกครั้งที่นางนึกถึงใบหน้าและอาการของเขาเมื่อวานนี้แล้ว ทำเอานางนั้นรู้สึกอึดอัดขึ้นมาในใจของนาง
ณ พระราชวังรัตติกาล เจียงหวายเย่ที่สวมเพียงเสื้อผ้าบางๆก็ได้นอนเอนอย่างขี้เกียจอยู่บนต้นไม้ในตำหนักของเขา ซึ่งถือขวดเหล้าเอาไว้ในมือของเขา
แล้วเขาก็ได้หลับตาลงราวกับเขากำลังหลับและทำสมาธิ
“องค์ชายขอรับ พระชายามาที่นี่ขอรับ” เสียงของอันอี้ดังขึ้นมา แล้วจากนั้นอันอี้ก็ได้ปรากฏตัวมาจากเงาของต้นไม้ต้นนั้น
“เสี่ยวเหยียนเอ๋อ!”
เมื่อได้ยินดังนั้นแล้วเขาก็ได้ลุกขึ้นมานั่ง เสื้อผ้าบางๆของเขาก็ได้ค่อยๆคลายตัวออกและหน้าอกของเขาก็ได้เผยให้เห็นผิวสีทองแดงของเขา ซึ่งเป็นความน่าหลงใหลที่ไม่รู้จบของผู้ชาย
เจียงหวายเย่โยนขวดเหล้าแล้วรีบกระโดดลงมาจากต้นไม้
อันอี้ก็ได้รีบโผล่มารับขวดแล้วจากนั้นก็ได้มองดูการเคลื่อนไหวของนายท่านของเขา และรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา เพราะสภาพในปัจจุบันของนายท่านของเขานั้นไร้ซึ่งกำลังภายในเพราะผลข้างเคียงของยา
“ท่านอาจารย์”
เจียงหวายเย่ที่เพิ่งลงมาจากต้นไม้นั้น ก็พบเทียนเอ๋อที่ได้พุ่งเข้าใส่อ้อมแขนของเจียงหวายเย่ราวกับลูกบอลที่พุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็ว
เจียงหวายเย่ก็ได้รับเทียนเอ๋อ แต่สายตาของเขาก็ได้จับจ้องไปที่หลินซีเหยียนอย่างเร่าร้อน “อย่างที่เขาว่ากันเอาไว้ยิ่งห่างไกล ก็ยิ่งทำให้รักกันจริงๆ ที่เสี่ยวเหยียนเอ๋อมาหาเปิ่นหวางในเวลานี้เป็นเพราะคิดถึงเปิ่นหวางใช่หรือไม่?”
ท่าทีเช่นนี้ทำให้หลินซีเหยียนนั้นรู้สึกทำอะไรไม่ถูก และในขณะเดียวกันนางก็เองก็รับรู้ว่าเจียงหวายเย่นั้นไม่มีปัญหาใดๆกับร่างกายของเขา
หลินซีเหยียนก็หันหน้าหลบแล้วเดินไปที่โต๊ะหินอ่อนที่วางอยู่ในสวนและลงไปนั่งอย่างช้าๆ “วันนี้ข้าพบอวี้เหิงที่ จวนมหาเสนาบดีด้วย”
“คุณชายรองของตระกูลอวี้งั้นเหรอ?”
หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัวแล้วจากนั้นที่มุมปากของนางก็ได้ยิ้มขึ้นมาอย่างช้าๆ ซึ่งดูน่าหลงใหลและน่ากลัว “ตระกูลอวี้นั้นร่ำรวยก็จริง แต่ก็ไม่มีใครเลยที่รับราชการ ในเวลานี้ข้าเกรงว่าที่เขามาก็เพื่อจะหาจุดอ่อนของมหาเสนาบดีหลินเป็นแน่”
“ถึงแม้ว่ามหาเสนาบดีหลินนั้นจะเป็นคนไร้ความสามารถ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่สามารถจัดการกับตระกูลอวี้ไม่ได้ พวกเขานั้นได้หลอกใช้มหาเสนาบดีหลินให้รวบรวมเอาเงินของผู้คนมาตั้งมากมายแล้ว ในเวลานี้ก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องคายเอาที่พวกเขากินเข้าไปออกมาได้แล้ว
เจียงหวายเย่ก็ได้วางเทียนเอ๋อที่ม้านั่งหินอ่อนแล้วจากนั้นก็ได้เดินไปนั่งข้างๆหลินซีเหยียน “จะว่าไปวันก่อน เสี่ยวเหยียนเอ๋อบอกว่าจะไปพบใครสักคน คนคนนั้นคือใครอย่างนั้นเหรอ?”
ในขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น เขาไม่ได้มองไปที่ หลินซีเหยียนเลย ราวกับว่าเขาพูดออกมาอย่างไม่สนใจมากนัก
หลินซีเหยียนก็ได้ประหลาดใจที่เจียงหวายเย่ดูรู้สึกไม่ค่อยพอใจ นางจึงได้บิดริมฝีปากแล้วกล่าว “องค์ชายคงจะยังไม่ทราบนอกจากหลินเฉิงอวี้แล้ว ยังมีคุณชายอีกคนในบ้านมหาเสนาบดี หลินหนานเฟิงคือบุตรชายคนโตของมหาเสนาบดีหลิน”
เจียงหวายเย่ก็ได้หรี่สายตาลง “เปิ่นหวางพอจะได้ยินเรื่องของหลินหนานเฟิงมาบ้าง เปิ่นหวางทราบมาว่าเขาเป็นลูกของสาวใช้”
หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัว นางนั้นไม่คิดที่จะปิดบังอะไรเจียงหวายเย่ “เพราะมหาเสนาบดีหลินนั้นได้มุ่งมั่นที่จะแต่งงานกับท่านแม่ของข้าให้ได้ เขาจึงได้ปิดเรื่องนี้เอาไว้”
พูดออกมาอย่างธรรมดาๆ แต่ใบหน้าของหลินซีเหยียนนั้นกลับมีสีแดง เจียงหวายเย่ก็ตกใจที่เห็นเช่นนั้น หรือว่าเสี่ยวเหยียนเอ๋อจะมีไข้? เขาจึงได้ยื่นมือออกไปจับที่หน้าผากของหลินซีเหยียน
หลินซีเหยียนก็ได้โยกหัวหลบ “ในเวลานี้อากาศเย็นลงเรื่อยๆ ข้าว่าองค์ชายควรจะสวมเสื้อผ้ามากชิ้นกว่านี้ก็ดีนะ”
ราวกับเป็นการตอบรับกับคำพูดของหลินซีเหยียน จู่ๆก็มีลมเย็นพัดมาทำให้องค์ชายเย่นั้นจามออกมาสองหนซ้อน แล้วจากนั้นเขาก็ได้กลับไปที่ห้องเพื่อสวมเสื้อผ้า
เมื่อเขากลับออกมาอีกครั้ง ก็ได้กลายเป็นคุณชายผู้งดงามที่ทำให้คนต้องรู้สึกตกใจ
หลินซีเหยียนก็ได้ลุกขึ้นยืนซึ่งเขานั้นไม่รู้ว่าชิงอวี่นั้นมาอยู่ที่ด้านหลังของนางตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ หลินซีเหยียนก็ได้มองมาที่เจียงหวายเย่และกล่าว “เทียนเอ๋อจะอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นที่จวนมหาเสนาบดี”
เจียงหวายเย่ก็ได้ผงกหัว “แล้วเปิ่นหวางกับเทียนเอ๋อจะตามไปทีหลัง”
ในเวลานี้ยังไม่เหมาะสมที่เขาจะไปในฐานะองค์ชายรัตติกาล จะไปในฐานะประมุขหอพันกลก็ได้อยู่ แต่คงเป็นเรื่องยุ่งแน่หากว่าเขาถูกพบโดยคนที่ไม่หวังดีเข้า
ดังนั้นเจียงหวายเย่จึงได้คิดที่จะปลอมตัว
เทียนเอ๋อก็ได้มองไปที่ขวดและกระปุกแต่งหน้าที่วางอยู่ที่โต๊ะ ของเหล่านี้ล้วนเป็นของหายาก และแน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็ได้คือหน้ากากหนังมนุษย์ที่บางราวกับปีกจักจั่น