บทที่ 321 องค์หญิงใหญ่เซียวเฉิงหย่า
เฉียวเทียนช่างหรี่ตามองท่าทีกระวนกระวายใจของเซียวชวี่เฟิง
“ท่านรู้เรื่องนี้มาจากที่ใด”
“เทียนช่าง ตอบข้ามาก่อนว่ามันจริงหรือไม่” เซียวชวี่เฟิงไม่มีเวลามาพูดคุยกับเฉียวเทียนช่างมากมาย เขาต้องการจะยืนยันข้อมูลบางอย่าง
หนิงเมิ่งเหยามองเซียวชวี่เฟิง “ทำไมท่านถึงอยากจะรู้นัก”
เซียวชวี่เฟิงมองหญิงสาวอย่างทำอะไรไม่ถูก และทำได้เพียงอธิบายให้พวกเขาฟัง
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับท่านป้าของพวกเรา”
“หา” หนิงเมิ่งเหยามองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจในคำพูดของเขา
เซียวชวี่เฟิงมองหญิงสาวด้วยความรู้สึกซับซ้อน หากให้พูดตรงๆ แล้วเขามิได้มองหน้านาง แต่มองปานตรงหลังใบหูของนางต่างหาก
“สิ่งสำคัญที่สุดคือเพื่อตัวเจ้าเองนั่นแหละ” เซียวชวี่เฟิงมองท่าทีหญิงสาวที่ทำเหมือนไม่อยากจะบอกพวกเขา
หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้ว และรู้สึกสับสนกว่าเดิม ‘เขาพยายามจะพูดอะไรกันแน่’
“ท่านหมายความว่าอย่างไร”
เฉียวเทียนช่างมองเซียวชวี่เฟิง พลางรู้สึกว่าสมองของตนกำลังสับสนไปหมด
เซียวชวี่เฟิงมองคู่สามีภรรยา ก่อนให้กลุ่มคนรอบข้างออกไป ในห้องนี้จึงเหลือพวกเขาเพียงสี่คน
เมื่อในห้องนั้นเหลือเพียงพวกเขาสี่คน เซียวชวี่เฟิงจึงเอ่ยขึ้น “ข้าว่าเมิ่งเหยาคงอยากจะรู้เรื่องของปานนี้ใช่ไหม”
หนิงเมิ่งเหยามองอีกฝ่ายโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
“หากเจ้าเป็นผู้ชายและมีปานนี้อยู่บนตัว พวกเราคงจะไม่ประหลาดใจนัก” เซียวชวี่เฟิงค่อยๆ เอ่ยขึ้นขณะมองสายตาอันสุขุมของหญิงสาว
นางขมวดคิ้วพลางรู้สึกว่าไม่อยากให้เขาพูดต่อ ราวกับว่าสิ่งต่างๆ จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงหากเขาพูดจบ
“ท่านไม่จำเป็นต้องพูดต่อแล้ว” ทันใดนั้น หนิงเมิ่งเหยาจึงพูดขัดจังหวะจนเขาไม่อาจพูดเรื่องที่คิดอยู่ในใจออกมา
เซียวชวี่เฟิงตัวแข็งเกร็งเล็กน้อยขณะมองหญิงสาวอย่างขื่นขม แต่ในเมื่อนางไม่อยากจะได้ยิน เขาจึงมิได้พูดอะไรต่อ
“หากเจ้าอยากรู้เรื่องนี้ ก็สามารถถามข้าได้ทุกเมื่อ แต่ตอนนี้ข้าอยากถามว่าหนานกงเยี่ยนคือท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ” เซียวชวี่เฟิงยอมประนีประนอม ก่อนจะถามคำถามของตนเองขึ้นมา
หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะมองเขา
“มีโอกาสเป็นไปได้เจ็ดสิบถึงแปดสิบส่วน”
หลังจากเซียวชวี่เฟิงได้ฟังคำตอบ ก็เงียบไปทันใด “ถ้าเช่นนั้นก็จริงน่ะสิ”
“ท่าน…หมายความว่าเช่นไร”
เซียวชวี่เฟิงมองใบหน้าของหนิงเมิ่งเหยา ก่อนคิดขึ้นได้ว่านางดูละม้ายคล้ายกับท่านป้าของตน
“ในปีที่ท่านป้าของพวกเราหายตัวไปนั้น นางและผู้สำเร็จราชการแห่งเมืองหลิงนามว่าหนานกงเยี่ยนต่างมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน และหลังจากนางหายตัวไป ก็เกือบทำให้หนานกงเยี่ยนก่อสงครามทีเดียว” เขาเล่าเรื่องเหตุการณ์ในอดีตให้หญิงสาวฟัง
หนิงเมิ่งเหยารู้สึกสับสน “เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นได้อย่างไรกัน”
“ในตอนนั้น ท่านป้าของเราตั้งครรภ์ แต่นางไม่ยอมบอกว่าใครคือพ่อของเด็ก จนสุดท้ายเสด็จพ่อก็บังคับให้นางแต่งงานกับคนอื่น ท่านป้าจึงคิดจะฆ่าตัวตายจนเกือบเสียชีวิต และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครรู้อีกเลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง” เขารู้สึกว่าท่านป้าอาจจะยังมีชีวิตอยู่ มิเช่นนั้นหนิงเมิ่งเหยาคงจะไม่อยู่รอดเช่นนี้
หนิงเมิ่งเหยารู้สึกสับสนยิ่งกว่าเก่า หากนางยังมีชีวิตอยู่ แล้วจะอยู่ที่ใดกัน
“คำพูดของท่านทำให้ข้ารู้สึกสับสน” หนิงเมิ่งเหยาปวดหัวขณะมองเซียวชวี่เฟิง
เขาส่ายศีรษะอย่างอดไม่ได้ “ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก เกรงว่าจะมีเพียงเสด็จพ่อและท่านป้าเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” พวกเขารู้เรื่องนี้จากความทรงจำและการตรวจสอบบางอย่าง แต่พวกเขาก็ไม่รู้เลยว่ามีเรื่องอื่นๆ เกิดขึ้นอีกหรือไม่
หนิงเมิ่งเหยามองผู้เป็นฮ่องเต้ “วันนี้ ท่านมีจุดประสงค์ใดจึงมาที่นี่”
“หนานกงเยี่ยนนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าที่เขาเล่าลือกันนัก เมื่อสิบปีก่อนนั้น เขามีชื่อเสียงโด่งดังอย่างมาก” เซียวชวี่เฟิงดูกังวลอย่างมาก
หนิงเมิ่งเหยารู้สึกได้ทันทีว่าเซียวชวี่เฟิงเป็นฮ่องเต้ที่ดีมาก“อย่ากังวลเลย เขาไม่ทำอะไรหรอก”
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หนานกงเยี่ยนแทบจะหายตัวออกจากศูนย์กลางแห่งอำนาจ เขาเฝ้าตามหาเซียวเฉิงหย่าอยู่ตลอด
“ข้าหวังให้เป็นเช่นนั้น” เซียวชวี่เฟิงถอนหายใจและเอ่ยอย่างหมดหนทาง
“ชวี่เฟิง สิ่งที่เจ้าต้องคิดตอนนี้ คือหลังจากนี้จะมีผู้คนจากเมืองหลิงตามมาอีก ส่วนหนานกงเยี่ยนนั้น เขาจะไม่ทำอะไรเมืองเซียวหรอก” เฉียวเทียนช่างไม่รู้ว่าทำไมเซียวชวี่เฟิงจึงยังจดจ่อกับหนานกงเยี่ยนเช่นนี้
บทที่ 322 หนานกงเยี่ยนมาถึงแล้ว
เซียวชวี่เฟิงรู้ว่าเฉียวเทียนช่างพูดถูก “แต่ทว่าข้ายังไม่สนใจคนพวกนั้นหรอก ตอนนี้ ข้าให้ความสำคัญกับการมาที่นี่ของหนานกงเยี่ยนมากกว่าอยู่ดี”
ตราบใดที่หนานกงเยี่ยนไม่ช่วยคนเหล่านั้น เขาก็มั่นใจว่าจะถลกผิวหนังของพวกนั้นออกมาเป็นสองชั้นได้ แต่หากหนานกงเยี่ยนเข้าร่วมด้วย สิ่งต่างๆ ก็จะไม่ง่ายดายนัก
“ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่มันจะเป็นเถิด อย่ากังวลเลย” เฉียวเทียนช่างเข้าใจความกังวลของเซียวชวี่เฟิง เมื่อหลิงฮ่องเต้พยายามให้หนานกงเยี่ยนมาที่นี่ให้ได้ ก็พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถของหนานกงเยี่ยนแล้ว
หนิงเมิ่งเหยารู้สึกว่าความกระวนกระวายใจของเซียวชวี่เฟิงนั้นช่างเปล่าประโยชน์ นางมองเขาก่อนเอ่ยขึ้น “จากความคิดเห็นของท่านแล้ว หนานกงเยี่ยนเป็นคนเช่นไรหรือ”
“บ้าบิ่น”
“และเขาก็ไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย”
“ถ้าเช่นนั้น แล้วท่านยังกังวลเรื่องอะไรอีกหรือ” หนิงเมิ่งเหยามองพวกเขา
คนที่มองไม่เห็นความสำคัญของผู้ใด จะยอมให้ความความช่วยเหลือเพียงเพราะหลิงฮ่องเต้ขอร้องหรือเช่นไร มันเป็นไปไม่ได้เลย
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“หลิงฮ่องเต้คงจะหลอกล่อหนานกงเยี่ยนว่าข้าอาจจะเป็นลูกสาวของเขา หนานกงเยี่ยนเองก็ใช้เวลาตามหามาหลายสิบปี ข้าคิดว่าเขาคงตรวจสอบเรื่องบางอย่างได้บ้าง” นางรู้สึกว่าบุคคลลึกลับที่อวี้เฟิงและคนอื่นๆ เคยพูดถึงอาจจะเป็นหนานกงเยี่ยน
หากเป็นเขาจริงๆ ดังนั้นการที่เขาตกลงเห็นด้วยกับหลิงฮ่องเต้ในครั้งนี้ ก็เพื่อหาโอกาสเข้าเมืองมาอย่างเปิดเผย ส่วนคำสั่งจากหลิงฮ่องเต้นั้น… เกี่ยวอะไรกับเขาด้วยเล่า
“เหยาเหยาพูดถูก เหตุผลที่หนานกงเยี่ยนตอบตกลงนั้น เพียงเพื่อจะได้เข้ามาในเมืองเซียวอย่างเปิดเผยเท่านั้น”
เมื่อเซียวชวี่เฟิงได้ยินคำพูดอันมีเหตุมีผลจากพวกเขา ดวงตาคู่นั้นก็เปล่งประกายวับวาว
“ถ้าเป็นตามที่เจ้าพูด ก็หมายความว่าหนานกงเยี่ยนไม่สนใจเรื่องตำแหน่ง ‘ทูต’ แห่งเมืองหลิงสินะ” เซียวฉีเทียนที่อยู่ข้างๆ มองพวกเขาอย่างอ่อนแรง พลางพูดความคิดของตนออกมาอย่างระมักระวัง
เฉียวเทียนช่างผงกศีรษะ “ถูกต้อง ใครจะรู้ เขาอาจจะชอบใจกับวิธีที่เราจัดการเมืองหลิงด้วยซ้ำไป”
ดวงตาของหนิงเมิ่งเหยาทอเป็นประกายขณะนึกถึงข้อมูลที่ตนสืบมาได้ ในช่วงเวลานั้น ดูเหมือนว่าหลิงฮ่องเต้จะเป็นสาเหตุที่ทำให้องค์หญิงเฉิงหย่าและหนานกงเยี่ยนต้องแยกทางกัน หากหนานกงเยี่ยนช่วยเหลือเขา นั่นคงจะเป็นเรื่องแปลกจริงๆ
“ในปีนั้น หลิงฮ่องเต้อาจจะใช้กลยุทธ์บางอย่างทำให้หนานกงเยี่ยนไม่อาจอยู่ร่วมกันกับองค์หญิงเฉิงหย่าได้” หนิงเมิ่งเหยามองพวกเขา และรู้สึกได้ว่าเหตุการณ์ในปีนั้นช่างซับซ้อนเหลือเกิน อาจมีเพียงหนานกงเยี่ยนและคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เท่านั้นที่รู้
“พวกเราไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าไรนัก” เซียวชวี่เฟิงไม่มีความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้
“ถ้าเช่นนั้น ท่านพี่ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร ตอนนี้ เราเพียงสนใจบรรดาทูตเหล่านั้นก็พอ” เซียวฉีเทียนไม่คิดว่าหลิงฮ่องเต้จะปล่อยให้พวกเขาทำตามความต้องการได้
เซียวชวี่เฟิงผงกศีรษะ “ข้ารู้”
พวกเขาทั้งสี่คนยังคงอยู่ห้องนั้นอีกเป็นเวลานาน จนถึงยามค่ำ เซียวชวี่เฟิงและคนอื่นๆ จึงจากไป โดยเรื่องที่พูดคุยกันนั้น มีเพียงพวกเขาสี่คนเท่านั้นที่รู้
หลังจากวันนั้น เซียวชวี่เฟิงและเซียวฉีเทียนก็ยุ่งอย่างมาก
สามวันต่อมา เฉียวเทียนช่างและคนอื่นๆ ก็ได้รับข่าวว่าหนานกงเยี่ยนมาถึงเมืองหลวงแล้ว
หลังจากรู้ข่าว หนิงเมิ่งเหยาที่กำลังช่วยดูแลเรื่องเสื้อผ้าให้กับชายหนุ่มอยู่นั้นก็หยุดชะงัก ก่อนจะขมวดคิ้ว
“อย่ากังวลไปเลย” เฉียวเทียนช่างสังเกตเห็นความผิดปกติของนางจึงเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยนเพื่อปลอบใจ
หญิงสาวฝืนยิ้มและผงกศีรษะ
หลังจากหนานกงเยี่ยนมาถึงเมืองหลวง เขาก็มุ่งหน้าไปยังวังหลวงทันที แม้ว่าจริงๆ แล้วเขาอยากจะตรงไปยังจวนแม่ทัพใหญ่มากกว่าก็ตาม
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ เซียวฮ่องเต้”
“ผู้สำเร็จราชการ ไม่ต้องมากพิธี” เซียวชวี่เฟิงยิ้มอย่างแผ่วเบา มุมปากของเขายกขึ้นราวกับกำลังคิดบางอย่างอยู่
“กระหม่อมมาที่นี่เพื่อแจ้งให้ฝ่าบาททรงทราบถึงจุดประสงค์แท้จริงที่กระหม่อมมายังเมืองเซียวแห่งนี้พ่ะย่ะค่ะ” หนานกงเยี่ยนเห็นว่าผู้เป็นฮ่องเต้กำลังคิดอะไรบางอย่าง จึงพูดเข้าประเด็นทันที
เซียวชวี่เฟิงเลิกคิ้วขึ้น “ข้าต้องการฟังรายละเอียดยิ่งนัก”
“กระหม่อมไม่ปิดบังเซียวฮ่องเต้ จุดประสงค์ที่กระหม่อมมาเมืองเซียวก็เพราะภรรยาของแม่ทัพใหญ่พ่ะย่ะค่ะ” หนานกงเยี่ยนพูดอย่างตรงไปตรงมาและไม่คิดจะปิดบังอะไร
เซียวชวี่เฟิงตกตะลึงไปชั่วขณะ เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดจาโผงผางเช่นนี้
“อ้อ เข้าใจแล้ว แล้วเหล่าทูตแห่งเมืองหลิง…”
“เหล่าทูตจากเมืองหลิงไม่เกี่ยวอะไรกับกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”