บทที่ 172 คฤหาสน์ตระกูลฉู่[รีไรท์]

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 172 คฤหาสน์ตระกูลฉู่[รีไรท์]

หินวิญญาณเป็นของปลอม มันเป็นแค่ของปลอมเท่านั้นเอง! ถ้าเป็นของจริงจะต้องบรรจุพลังวิญญาณไว้มากกว่านี้ ช่วยทำให้ผู้ที่ดูดซับพลังทลายจุดตันเถียนได้มากกว่านี้

แต่นอกจากก้อนหินก้อนแรกแล้ว ทุกก้อนหลังจากนั้นก็มีพลังวิญญาณอันน้อยนิดหรือแทบไม่มีเลยด้วยซ้ำ เมื่อลองหยิบขึ้นมาคำนวณดูแล้ว ฉู่ชวิ๋นก็พบว่าศิลาวิญญาณเหล่านี้ไร้ประโยชน์สำหรับเขาโดยสิ้นเชิง

แต่ถึงมันจะไร้ประโยชน์สำหรับเขา แต่ก็มีประโยชน์สำหรับผู้ฝึกวิทยายุทธ์ขั้นแรก ยิ่งไปกว่านั้น หินวิญญาณของปลอมพวกนี้ก็ยังมีพลังมากกว่าหยกโบราณ ถ้านำมาใช้เป็นตัวขึงม่านพลัง ม่านพลังก็ต้องมีความแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน

ฉู่ชวิ๋นขับไล่ความผิดหวังในจิตใจออกไป คัดเลือกหินวิญญาณของปลอมแต่มีคุณภาพดีมาจำนวนหนึ่ง ก่อนจะนำที่เหลือวางกลับคืนลงสู่ที่เดิม

เขาไม่ต้องใช้งานมันเยอะนัก ไม่จำเป็นต้องใช้หลายร้อยก้อน เพียงแค่ไม่กี่สิบก้อนก็พอแล้ว หินวิญญาณพวกนี้ถึงแม้ได้ชื่อว่าเป็นของปลอม แต่ถ้าปล่อยให้ผ่านกาลเวลานานไป มันก็จะกลายเป็นของจริงขึ้นมาได้เช่นกัน

ฉู่ชวิ๋นจัดตั้งม่านพลังที่ปากทางเข้าถ้ำ หลังจากนั้นเขาก็ตั้งม่านพลังครอบคลุมทั้งภูเขาเฉียนหลง

ชายหนุ่มเดินกลับเข้าไปในภูเขาและเริ่มต้นวางศิลาวิญญาณไว้ตามจุดต่าง ๆ

ครั้งนี้ม่านพลังมีขนาดใหญ่ ฉู่ชวิ๋นใช้ศิลาวิญญาณทั้งสิ้นสี่สิบเก้าก้อนในการขึงม่านพลัง และใช้เวลาในการทำทั้งสิ้นสามวัน

หลังจากติดตั้งม่านพลังเรียบร้อยแล้ว คลื่นกำลังภายในก็ส่งผ่านไปทั่วบริเวณ ส่งผลให้ภูเขาเฉียนหลงมีหน้าตาสวยงามเป็นอย่างยิ่ง

ถึงแม้ว่ามันจะเป็นฤดูหนาวอันแสนเยือกเย็น ต้นไม้ใบหญ้าเหี่ยวเฉาไม่ผลิดอกออกผล แต่เมื่อครอบคลุมม่านพลังเรียบร้อยแล้ว ดอกไม้ใบหญ้าก็กลับมางอกงามเขียวขจีอีกครั้ง

ทุ่งหญ้าเขียวขจี ดอกไม้เบ่งบาน ไหวเอนไปมาตามสายลม เมื่อมองจากด้านนอกภูเขาเฉียนหลง ก็จะพบว่าภูเขาลูกนี้เหมือนกับตั้งอยู่กลางทะเลหมอก ที่มีสีสันตระการตาบนท้องฟ้า ส่องแสงเป็นประกายเหมือนสายรุ้ง ในขณะนี้ ภูเขาเฉียนหลงเปรียบเสมือนดินแดนในเทพนิยายแล้วจริง ๆ

เมื่อติดตั้งม่านพลังเสร็จสิ้น ฉู่ชวิ๋นก็ไม่รอช้า จัดการเรื่องปรุงยาต่อทันที

ในห้องลับที่อยู่บนยอดเขา ฉู่ชวิ๋นอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้กับสภาพที่แท้จริงของกระถางปรุงยาอมตะที่ตั้งอยู่ตรงหน้า

กระถางปรุงยาอมตะเป็นตัวแบ่งแยกระหว่างสวรรค์กับมนุษย์ ถึงแม้จะมีหน้าตาโบราณดูมีมนต์ขลัง บนกระถางแกะสลักด้วยลวดลายของสัตว์ร้ายชนิดต่าง ๆ แต่มันก็ไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรเลย ลวดลายเหล่านี้เป็นเพียงแค่รสนิยมส่วนตัวของเจ้าของกระถางคนเก่าเท่านั้น

ฉู่ชวิ๋นมัวแต่แย่งชิงกระถางมาโดยไม่ได้มีเวลาศึกษาอย่างจริงจัง ตอนนี้ เมื่อได้มีเวลาศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว เขาก็อดรู้สึกผิดหวังไม่ได้จริง ๆ นี่คือกระถางปรุงยาอมตะเกรดต่ำ คุณภาพแย่ แถมยังมีรอยแตกร้าวอยู่บนตัวกระถางอีกด้วย

ฉู่ชวิ๋นยิ้มด้วยความขมขื่น ไม่รู้เหมือนกันว่ากระถางปรุงยาใบนี้จะรับการปรุงยาได้จริง ๆ หรือเปล่า ถ้าเกิดมันละลายและระเบิดขึ้นกลางคัน ความพยายามตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาของเขาก็จะสูญเปล่าไปทันที เนื่องจากการปรุงยาครั้งนี้ จะทำได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

กริ๊ง ๆ ๆ

มีเสียงกดกริ่งหน้าประตูดังขึ้น

นี่คือการออกแบบของเฉินฮั่นหลง เนื่องจากว่าประตูหินของห้องลับมีความหนาถึงสามฟุต ต่อให้ข้างนอกเกิดเหตุการณ์ฟ้าถล่มดินทลาย คนที่อยู่ในห้องก็คงไม่ได้ยิน เฉินฮั่นหลงจึงติดตั้งกริ่งเอาไว้ภายในห้อง เวลาแขกไปใครมาจะได้แจ้งเตือนกันได้สะดวก

การออกแบบนี้กลายเป็นที่หัวเราะเยาะของหลงอ๋าวและคนอื่น ๆ ทำไมไม่ติดตั้งไมโครโฟนหรือโทรศัพท์? หรืออะไรก็ได้ที่มันทันสมัยกว่านี้หน่อยล่ะ?

เฉินฮั่นหลงไม่ชอบแบบนั้น เขาพูดว่าเมื่อจะขี่ม้าก็ต้องใช้อานม้า ทุกสิ่งต้องใช้งานอุปกรณ์ให้ถูกประเภท กริ่งหน้าประตูเป็นอุปกรณ์ที่เหมาะสมสำหรับประตูหิน ไม่มีอะไรเหมาะสมมากไปกว่านี้อีกแล้วซึ่ง…..ฉู่ชวิ๋นเองก็ชอบแบบนี้

ฉู่ชวิ๋นเดินไปเปิดประตูห้องลับ เฉินฮั่นหลงยืนอยู่หน้าประตูด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“นายท่าน การออกแบบของผมใช้งานง่ายดีไหมครับ?”

ฉู่ชวิ๋นไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือว่าหัวเราะดี “มาหาฉันมีเรื่องอะไร?”

เฉินฮั่นหลงยกมือตบศีรษะตัวเองและพูดว่า “ผมเกือบลืมไปเลย ตามผมมาเถอะครับนายท่าน ผมมีอะไรบางอย่างให้นายท่านดู” ฉู่ชวิ๋นเดินตามเฉินฮั่นหลงไปที่ลานจัตุรัสด้วยความสงสัย เฉินฮั่นหลงทุ่มเทเวลาไปมากมายเพื่อสร้างคฤหาสน์บนภูเขาเฉียนหลงขึ้นมาใหม่

ที่นี่มีทั้งศาลานั่งเล่น ทางเดินหิน น้ำพุ ทะเลสาบ และลานจัตุรัสขนาดใหญ่ สายตาของฉู่ชวิ๋นสะดุดเข้ากับก้อนหินสีขาวขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่สุดขอบลานจัตุรัส

นี่คือหินโอปอลสีขาวขนาดใหญ่ มีความสูงประมาณหกถึงแปดฟุต มองจากที่ไกลตาเหมือนเป็นเนินเขาสีขาวขนาดยักษ์

หลงอ๋าวและคนอื่น ๆ กำลังยืนมองก้อนหินก้อนนี้อยู่พอดี

“นี่มันอะไรกัน…” ฉู่ชวิ๋นถามด้วยความสงสัย ก้อนหินก้อนนี้มาจากไหน? เมื่อวานนี้เขายังไม่เห็นมันด้วยซ้ำ

“นายท่านครับ ผมซื้อมาเอง ราคาตั้งหลายล้านเลยนะ” เฉินฮั่นหลงพูดด้วยความภูมิใจ

 “แกไปซื้อเศษหินพวกนี้มาทำไม เงินเหลือเยอะเกินไปจนต้องเอามาเผาเล่นเรอะ” หลงอ๋าวหยอกเย้าเฉินฮั่นหลงอย่างชอบใจ

“เศษหิน?” เฉินฮั่นหลงตอบกลับด้วยดวงตาเป็นประกาย

“เก่งจริงคุณลุงไปหาเศษหินแบบนี้มาให้ผมอีกสักก้อนสิ รู้ไหมว่ากว่าผมจะได้มันมา เลือดตาแทบกระเด็นแค่ไหน?”

“เอาเถอะ ยังไงก็ซื้อมาแล้ว สรุปว่านายอยากทำอะไรกับมันล่ะ? มันมีความสามารถพิเศษอะไรบ้าง?” โม่ซิงเหอเข้าร่วมวงเล่นสนุกด้วย

“แน่นอนครับว่านายท่านของเราเป็นผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ก็จะต้องมีชื่อคฤหาสน์ส่วนตัวด้วยเช่นกัน…”

“อ๋อ…ที่แท้นายก็ตั้งใจเอามาเป็นป้ายสลักชื่อคฤหาสน์ใช่ไหม?” เฉินฮั่นหลงพยักหน้า

“นายคิดชื่ออะไรไว้บ้างยัง?” โม่ซิงเหอถาม

“คิดไว้เรียบร้อย” เฉินฮั่นหลงตอบ

ฉู่ชวิ๋นหัวเราะในลำคอ เฉินฮั่นหลงมีความกระตือรือร้นเหลือเกิน ทั้ง ๆ แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่ได้คิดชื่อคฤหาสน์ด้วยซ้ำ

“ผมคิดว่าเราควรตั้งชื่อเป็นตำหนักวิมานทิพย์ดีไหมครับ ดูจากความสวยงามของวิวโดยรอบและสภาพอากาศที่บริสุทธิ์แล้ว พวกเราเหมือนกับได้ขึ้นสวรรค์ชัด ๆ” ซุนหยิงเดินออกมาพูดต่อหน้าทุกคน ไม่มีใครพูดอะไรออกมา บางคนถึงขั้นถอนหายใจ แม้แต่เฉินฮั่นหลงก็รับไม่ได้ เตะซุนหยิงกระเด็นไปอีกทางจากนั้นเฉินฮั่นหลงก็พูดออกมา

“ตั้งชื่อเป็นลิเกไปได้ อย่าทำตัวเป็นคนไม่มีการศึกษาสิ สวรรค์งั้นเหรอ นายนี่แหละที่จะตายขึ้นสวรรค์เป็นคนแรก”

ซุนหยิงยกมือเกาหัวแกรก ๆ ยิ้มอย่างขมขื่น “งั้นเราจะตั้งชื่ออะไรดีล่ะ?”

เฉินฮั่นหลงนิ่งคิดไปเล็กน้อย ดวงตาก็เป็นประกายสดใส ตอบว่า “ที่นี่คือภูเขาเฉียนหลง นายท่านฉู่ชวิ๋นเป็นเทพเจ้าจากสวรรค์ เราจะเรียกที่นี่ว่า ตำหนักเซียน!”

ทุกคนถึงกับพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว ฉู่ชวิ๋นทำหน้าเบ้ให้กับชื่อนั้น

“ภูเขาเฉียนหลง นายท่านฉู่ชวิ๋น มีที่พักเป็นตำหนักเซียน ผมว่าเป็นชื่อที่เหมาะสมมากเลยครับ” ซุนหยิงพูดออกมาอีกครั้งเสียงดังฟังชัด

หลายคนยกมือกุมขมับ เฉินฮั่นหลงและซุนหยิงเป็นพวกโง่ที่หาตัวจับยากจริงๆ น่ามหัศจรรย์เหลือเกินที่พวกเขารอดชีวิตมาได้จนถึงตอนนี้

“พวกแกสองคนยังไม่ไสหัวไปอีก” หลงอ๋าวกลอกตามองบน

“หรือจะใช้ชื่อว่าสำนักฉู่ดีล่ะ?” เสียงของฮวาชิงหวู่ดังขึ้นดึงความสนใจของทุกคน

สำนักฉู่ เป็นชื่อที่ถูกใช้ตอนเธอหลอกบรรดาผู้เฒ่าของพวกสำนักความหวังใหม่ที่ตีนเขาหูเตี๋ย

“เป็นชื่อที่ฟังดูดีมากเลยครับ!” โม่ซิงเหอพยักหน้า

“แล้วตำหนักเซียนของผมไม่ดีตรงไหนอะ?” เฉินฮั่นหลงพูดอย่างไม่เข้าใจ

“เราจะใช้ชื่ออะไร ให้นายท่านเป็นคนตัดสินใจดีกว่า” โม่ซิงเหอพูดตัดบทด้วยความรำคาญ

“นายท่านว่าใช้ชื่อไหนดีครับ?” เฉินฮั่นหลงหวังว่าฉู่ชวิ๋นจะใช้ชื่อที่เขาตั้งขึ้นมา

“เอ่อ…ตำหนักเซียนก็ดูเป็นชื่อที่ยิ่งใหญ่ดีนะ แต่ฉันว่าพวกเราควรทำตัวให้สงบเรียบร้อยกันก่อนดีกว่า ชื่อนั้นเอาไว้นายตั้งสำนักของตัวเองทีหลัง….จะเอาไปใช้ฉันก็ไม่ว่าอะไร” ฉู่ชวิ๋นพูดแล้วก็ยิ้มกว้าง

เฉินฮั่นหลงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็อดรู้สึกดีใจไม่ได้เมื่อนึกภาพว่า สักวันหนึ่งเขาจะเปิดสำนักเป็นของตัวเอง เนื่องจากฉู่ชวิ๋นเคยบอกเอาไว้หลายครั้งแล้วว่าจะถ่ายทอดวิทยายุทธ์ให้เขาดังนั้น การที่เขาจะมีสำนักเป็นของตัวเอง จึงไม่ใช่เรื่องที่ฝันเฟื่องอีกต่อไป

“คุณจะใช้ชื่ออะไรคะ?” ฮวาชิงหวู่ถาม

“ไม่เห็นต้องเสียเวลาคิดเลย” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะในลำคอ

ขวับ!

กระบี่ไม้ปรากฏขึ้นในมือของเขา รัศมีสีทองเปล่งประกายออกมาจากตัวกระบี่ไม้ ชายหนุ่มตวัดกระบี่ไปมา พลังลมปราณพุ่งออกไปจากตัวกระบี่ส่งคลื่นพลังรุนแรงเหมือนกับฝนฟ้าคะนองอย่างไรอย่างนั้น

พลังลมปราณจากตัวกระบี่พุ่งตัดอากาศ เข้าไปฟาดฟันใส่ก้อนหินสีขาวขนาดยักษ์ก้อนนั้น

บัดนี้ เศษหินปลิวกระจายในอากาศเหมือนสายฝน ร่องรอยกระบี่ปรากฏบนตัวหินขาวทันที

หลังจากนั้น ฉู่ชวิ๋นก็ลดกระบี่ลงและยืนตัวตรง ตัวอักษรที่ฉู่ชวิ๋นสลักไว้ปรากฏบนก้อนหินให้ทุกคนเห็นกระจ่างตา

บนก้อนหินสีขาวขนาดใหญ่ ปรากฏตัวอักษรที่หวัดเหมือนกับหางมังกรเรียงรายเป็นคำว่า “คฤหาสน์ตระกูลฉู่” ตัวอักษรเหล่านี้มีความแข็งแกร่งทรงพลัง แถมยังเป็นประกายสว่างไสวและส่งพลังลมปราณอันแปลกประหลาดพิสดารออกมา ถ้าผู้ใดมีพลังฝีมือไม่เก่งกล้ามากพอ มองดูมันก็อาจจะถูกพลังเหล่านี้เล่นงานจนบาดเจ็บหรือตายได้เลย!!!