เรื่องเข้าไปช่วยในห้องหอมันน่าอายนะ พี่สะใภ้รู้บ้างไหมเนี่ยว่านี่มันเรื่องของตัวเอง?
เห็นได้ชัดว่าไม่รู้ ถ้ารู้ประธานเชี่ยนจะตอบแบบนั้นเหรอ
หวางย่าเฟยได้ยินแล้วก็หน้าแดง เกือบทำผิดพลาดขั้นตอนไปแล้ว
จะว่าไปความสามารถในการพูดให้คนจุกของหมอเฉินนี่สุดยอดเลยจริงๆ สมกับเป็นผู้หญิงที่หัวหน้ากลางถูกใจ!
“เหม่ยเหวย คุณไม่รู้สถานการณ์ของพวกเรา พี่ผมเป็นทหาร ผมขอถามทัศนคติของคุณที่มีต่อทหารได้ไหมครับ?”
เสี่ยวเชี่ยนเหลือบมองเวลา เกินสามนาทีแล้ว ตามหลักการต้องตัดสายทิ้งแล้ว
แต่พอได้ยินคำว่าทหารอยู่ๆเธอก็รู้สึกดี เธอหันไปมองผู้กำกับ ซึ่งผู้กำกับส่งสัญญาณมือมาว่าไม่มี
ไม่เคยเกิดขึ้นเลยจริงๆ รายการนี้เรทติ้งตกถึงขั้นนี้แล้วเหรอ?
ถึงขนาดที่ไม่มีคนโทรเข้ามาแล้ว!
สถานการณ์แบบนี้พิธีกรจะตัดสายทิ้งแล้วเริ่มอ่านบทความจรรโลงใจ หรือจะเปิดเพลง หรือไม่ก็คุยต่อ
เสี่ยวเชี่ยนจัดรายการมาตั้งนานนี่เป็นครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ โชคดีที่ผู้ฟังคนนี้เกี่ยวข้องกับทหาร เธอจึงไม่ตัดสาย คุยกับเขาต่อ
“ในสายตาของฉันทหารคือการมีตัวตนที่แสนวิเศษ”
“แต่แฟนทหารลำบากนะครับ แต่งกับทหารมีแต่เหนื่อยใจ หลายครั้งที่ต้องเหมือนอยู่ตัวคนเดียว บางครั้งพี่สะใภ้ส่งจดหมายมาว่า ตอนเหงาๆแทบอยากจะบ่นกับกำแพง ตอนที่อ่านจดหมายฉบับนี้พวกเรารู้สึกแย่มากเลยครับ”
ฟังๆดูคนๆนี้ก็เป็นทหารด้วยเหรอ? เนื่องจากมีความรู้สึกดีๆกับทหาร เสี่ยวเชี่ยนจึงเลือกที่จะเคารพผู้ฟังคนนี้ด้วยการฟังอย่างเงียบๆ เธอเก็บคำพูดจุกๆเอาไว้ เธอฟังออกว่าผู้ฟังคนนี้กำลังอิน เขาได้พูดถึงสิ่งที่อยู่ในใจของทหาร
คนที่เธอต้องการจะแต่งงานด้วยก็เป็นทหาร ผู้ฟังคนนี้โทรเข้ามาได้จังหวะตรงใจกับเธอพอดี
“หลายคนอาจจะไม่เข้าใจ พูดกันว่าต้องเคารพความเป็นส่วนตัวแล้วทำไมยังจะไปอ่านจดหมายของเหล่าพี่สะใภ้? นี่ถือเป็นธรรมเนียมของพวกเราเลยก็ว่าได้ การฝึกในค่ายทหารนั้นมันชวนให้ห่อเ**่ยวกว่าที่คิด ถ้ามีจดหมายของพี่สะใภ้มาในค่ายของพวกเรา ทุกคนก็จะแบ่งปันกันอ่าน ท่ามกลางสภาพแวดล้อมแบบปิดที่เหน็ดเหนื่อยในแต่ละวัน ความเป็นห่วงที่ส่งผ่านในแต่ละอักษรนั้นได้ขจัดความเหนื่อยล้าของพวกเรา ซึ่งมันก็กลายเป็นธรรมเนียมไปแล้ว คู่หมั้นของลูกพี่เราวาจาคมคาย เรียนเก่งเป็นที่หนึ่ง จดหมายที่เขาส่งมาแต่ละทีแทบจะต้องนั่งคิดกันทุกตัวอักษร บางครั้งเพื่อให้เข้าใจในสิ่งที่พี่สะใภ้เขียนมาพวกเราถึงกับต้องเข้าไปค้นคว้าในห้องสมุด ตอนนี้ระดับภาษาของทุกคนพัฒนาขึ้นมาก…”
เอ๊ะ ทำไมเรื่องราวฟังๆดูมันคุ้นๆ? เสี่ยวเชี่ยนสงสัย
ส่วนอวี๋หมิงหลางที่ยืนอยู่ที่อื่นยังคงกดโทรไม่หยุด ตกลงมันเรื่องอะไรกันวะเนี่ย?
หวางย่าเฟยยังคงระบายต่อ
“เป็นแฟนทหารลำบากมาก หลังจากที่ผมเข้ามาอยู่หน่วยในตอนนี้ก็ได้เริ่มต้นทำความรู้จักกับความเหงาอีกครั้ง สำนวนมีเงาเป็นเพื่อน แฟนทหารทุกคนต่างเข้าใจดี ขอบคุณแฟนทหารทุกคนที่ได้อุทิศตนเพื่อครอบครัวครับ”
คำพูดนี้หลังจากที่ออกอากาศไปแล้วทำให้ครอบครัวทหารที่นั่งฟังอยู่ถึงกับน้ำตาไหล ความทุกข์ที่คนนอกไม่มีทางเข้าใจ ความรู้สึกที่ยากจะจินตนาการได้
ลูกป่วย พ่อแม่ป่วย เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นในครอบครัวล้วนต้องแบกรับไว้คนเดียว
เดินอยู่บนท้องถนนเห็นความสนุกครึกครื้นอยู่ๆอยากจะจูงมือเขาคนนั้น แต่เขากลับไม่อยู่เคียงข้าง
“อันที่จริงสิ่งที่ฉันอยากบอกก็คือ การรอคอยอย่างเงียบๆก็เพราะเขาเลือกหน้าที่ ส่วนฉันเลือกเขา ทหารละทิ้งความอบอุ่นของครอบครัว เลือกค่ายทหารที่แสนมีเกียรติแต่ไร้สีสัน แฟนทหารเลือกความยากลำบากและความกล้าที่จะแบกครอบครัวไว้คนเดียว ฉันเข้าใจความรู้สึกตอนที่ทหารอย่างพวกคุณอ่านจดหมายนะคะ เพราะแฟนทหารที่แสนอบอุ่นของทหารธรรมดาๆก็คือความภูมิใจอันสูงสุดของพวกเราเหมือนกันค่ะ”
เป็นครั้งแรกที่เหม่ยเหวยแทนตัวเองว่าฉันในรายการเพื่อหมายถึงตัวเอง
น้อยครั้งที่ผู้ฟังจะได้ยินเธอพูดอะไรยาวๆแบบนี้ เต็มไปด้วยความรู้สึก เหม่ยเหวยที่พูดจาฉะฉานก็มีมุมที่อ่อนโยนเหมือนกัน
“ผมอยากขอเล่าเรื่องพี่ชายของผมคนนี้จะได้ไหมครับ?”
ผู้กำกับแบมือสิบนิ้วเพื่อสื่อว่านานไปแล้ว ถึงตอนนี้จะไม่มีคนโทรเข้ามา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ปล่อยให้ผู้ฟังคุยได้ยาวแบบนี้ ไม่ต้องตัดสายทิ้งจริงๆเหรอ?
เสี่ยวเชี่ยนแทบไม่ได้หันไปมองเลยด้วยซ้ำ เธอตัดสินใจเอาเอง
“เชิญพูดค่ะ”
“พี่ชายของผมคนนี้เป็นทหารสมัยใหม่ ไม่เหมือนกับทหารสมัยก่อนที่ทุกคนติดภาพกัน เขาเป็นผู้ชายที่ความรู้สูงเรียนจบปริญญาโทสองใบ เก่งทั้งบุ๋นและบู๊ มีความสามารถในการเป็นผู้นำทหาร มีผลงานมากมายนับไม่ถ้วน แต่ดูเหมือนเขาจะจีบสาวไม่ค่อยเก่ง ชอบทำให้ว่าที่พี่สะใภ้โมโหอยู่เรื่อย…”
ยิ่งฟังยิ่งคุ้น ปริญญาโทสองใบ ผลงานนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังชอบทำให้แฟนโมโห ทำไมฟังๆดูคล้ายหมาฮัสกี้ของเธอจัง?
เสี่ยวเชี่ยนหรี่ตา “ฉันรู้มาว่าพวกคุณวิ่งห้ากิโลเมตรบ่อยๆ ฟังจากที่คุณเล่าพี่ชายคุณเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก ถ้าอย่างนั้นความเร็วในการวิ่งห้ากิโลเมตรของเขาเป็นเท่าไรคะ?”
“ตามมาตรฐานของค่ายทหาร วิ่งห้ากิโลเมตรถ้าระดับยอดเยี่ยมคือภายใน19นาที ดีคือภายใน22นาที ผ่านคือภายใน23นาที แต่พวกเราต่างจากที่อื่นตรงที่ต้องแบกของวิ่งด้วย พี่ชายผมแบกของวิ่งใช้เวลาประมาณ15นาทีครับ”
พอออกอากาศไปแบบนี้ก็มีคนที่ไม่เชื่อแล้วไปค้นข้อมูลดูคิดว่าคุยโม้ เพราะนักกีฬาสถิติโลกทำได้13นาที ในความเป็นจริงอวี๋หมิงหลางวิ่งได้เร็วขนาดนั้นจริงๆ
เสี่ยวเชี่ยนหลอกให้พูดได้สำเร็จ เขียนคำว่า หึหึ ในใจตัวโตๆ
กำลังพูดถึงอวี๋หมิงหลางชัดๆ!!!
เขาเคยอวดกับเธอเรื่องผลงานวิ่งห้ากิโล มีคนที่ได้ปริญญาโทสองใบสักกี่คนที่วิ่งได้เร็วแบบนี้? อีกทั้งดูจากทางผู้กำกับที่ไม่มีสายโทรเข้ามา…
เสี่ยวเชี่ยนพอจะเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
ทหารของอวี๋หมิงหลางเป็นกองหนุนให้กับเขา!
ทันใดนั้นก็รู้สึกทั้งขำทั้งประทับใจ
เรียนแล้วใช้งานได้จริงเล่นตัดสายโทรศัพท์ของสถานีแบบนี้ วิชาที่อวี๋หมิงหลางสอนให้พวกเขาได้ถูกนำมาใช้แล้ว เสี่ยวเชี่ยนไม่รู้ว่านี่เป็นวิธีขอแต่งงานที่อวี๋หมิงหลางวางแผนไว้หรือเปล่า ถ้าใช่ก็แอบเซอร์ไพร้ส์อยู่
มิน่าเธอถึงได้คุ้นเสียงคนที่โทรเข้ามา ขอลองเดาดูหน่อยว่าเป็นใคร?
พอจำกัดขอบเขตให้แคบลงเธอก็นึกออก หวางย่าเฟยหรือเปล่า?
ทำไมเมื่อกี้นึกไม่ถึงนะ เธอเคยรักษาให้หวางย่าเฟยเป็นการส่วนตัวด้วยซ้ำ ควรจะคุ้นเสียงนี้ดี กลับมองเขาเป็นแค่ผู้ฟังธรรมดาคนหนึ่ง
พอเดาเรื่องทุกอย่างออกเสี่ยวเชี่ยนก็ดีใจ ในเมื่อเหล่าผองเพื่อนที่แสนน่ารักใช้วิธีพิเศษแบบนี้สร้างเซอร์ไพร้ส์ให้เธอ งั้นเธอก็ควรจะไหลตามน้ำไป
“ลองเล่าเรื่องพี่ชายของคุณให้มากกว่านี้หน่อยสิคะ เอาแค่ในขอบเขตที่เล่าได้ อย่างเช่นนิสัยความเคยชินของเขา” กำลังหลอกให้พูด~
“พี่ชายของผมคนนี้เป็นคนเข้มงวด บางครั้งพวกเรายังเคยคิดจะรวมหัวกันไปอัดเขา เพราะเขาโหดร้ายกับพวกเรามาก มีครั้งหนึ่งผมถามหัวหน้าเขาว่าอัดเขาได้ไหม? หัวหน้าบอกว่าถ้าคิดว่าไหวก็เอาเลย แต่ก็ไม่มีใครสู้เขาได้…”