ตอนที่ 115 ศึกสู้ดอกบัวขาว

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

— ปัง! —

ทันใดนั้น พลังอันทรงพลังตบโอวหยางเหว่ยลอยกระเด็นออกไป

“พรวด!” โอวหยางเหว่ยที่อ่อนแอแต่เดิมอยู่แล้ว กระอักเลือดออกมาอย่างต่อเนื่อง

หากมิใช่เพราะมู่เฉียนซีต้องการข้อมูลบางอย่างจากปากของโอวหยางเหว่ย เกรงว่าป่านนี้จิ่วเยี่ยคงได้ทำให้นางกลายเป็นโครงกระดูกขาว ๆ ไปแล้ว

“เยี่ยอ๋อง! เจ้ากับเยี่ยอ๋องนั้นรักชอบกัน  เยี่ยอ๋องคือผู้ล้างพิษให้เจ้าใช่หรือไม่ ? ที่แท้เจ้าก็มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเยี่ยอ๋องแต่แรกอยู่แล้ว มิน่าละ ข้าก็สงสัยอยู่ว่าเหตุใดเยี่ยอ๋องถึงได้ปกป้องเจ้า ปกป้องตระกูลมู่นัก   ตระกูลโอวหยางของข้า…   ตระกูลโอวหยางของข้า…” ก้นบึ้งหัวใจโอวหยางเหว่ยเย็นยะเยือก

ถ้าหากรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมู่เฉียนซีกับซวนหยวนจิ่วเยี่ยแต่แรก ต่อให้นางมีความกล้ามากเป็นหมื่นเล่มเกวียน นางคงไม่กล้าที่จะกลั่นแกล้งให้มู่เฉียนซีถึงแก่ความตาย  กระนั้นตระกูลโอวหยางก็คงจะไม่เป็นปฏิปักษ์กับตระกูลมู่

แต่ว่า… ทองคำพันชั่งนั้นก็ยากที่จะซื้อคำว่า ‘ถ้ารู้แต่แรก’

ทุกอย่างสายเกินแก้ไปแล้ว

มู่เฉียนซีกล่าวถามน้ำเสียงเย็นชา “บอกข้าสิว่าเขาคนนั้นเป็นใคร ขอแค่เจ้าบอกข้า นอกจากคนตระกูลโอวหยาง แม้แต่คนที่เคยมีความคิดที่จะฆ่าข้า ข้าก็จะไม่ไปยุ่ง”

— ฉวก! —

เสียงแหวกอากาศดังขึ้น มีบางอย่างพุ่งตรงเข้าใส่ลำคอโอวหยางเหว่ย

— ฉึก! —

ทว่าลูกธนูสีดำสนิทที่มีเป้าหมายสังหารปิดปาก ถูกกันไว้ได้โดยเยี่ยอ๋อง

“อ๊า!” ฉับพลันทันใดโอวหยางเหว่ยร้องโหยหวนออกมา

น่ากลัวนัก!

เวลานี้มีแมลงสีดําตัวหนึ่งทะลุผ่านหัวใจของนาง มันกระโดดออกมา  นางเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง “เจ้า… เป็นเจ้าที่กลับจะเอาชีวิตข้า”

“เหอะ! มันช่างเป็นแมลงที่น่าขยะแขยงจริง ๆ” มู่เฉียนซีกล่าวเย็นชา

“จุ๊ ๆ” นางหยิบยาพ่นออกมา ไม่รอช้าพ่นยาใส่แมลงสีดำน่าเกลียดตัวนั้น ไม่นานนักร่างของแมลงนั่นก็สลายหายไป

— ปัง! —

เจ้ามือลอบสังหารนั่น หนีไม่พ้นการตามล่าของซวนหยวนจิ่วเยี่ย จิ่วเยี่ยจับเขาได้ เขาสิ้นหวังจึงกินยาพิษปลิดชีพตนเอง

“ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะระวังตัวเป็นพิเศษ พวกมันไม่ทิ้งร่องรอยไว้แม้แต่น้อย เฮ้อ!” มู่เฉียนซีถอนหายใจยาว

โอวหยางเหว่ยแมลงทะลุอกตายไปแล้ว เบาะแสขาดหายไปชั่วคราว ช่างน่าหน่ายใจแท้ ๆ

มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าขอกลับจวนก่อนแล้วกัน”

“ข้าจะไปส่งเจ้า” จิ่วเยี่ยเดินตามเงาของมู่เฉียนซีไป มู่เฉียนซีมิได้ขัดใจเขา ถึงอย่างไรนางก็ไม่เคยเถียงชนะเขาแม้สักครา

……

วันต่อมา เหล่าผู้คนในเมืองจื่อตูมาพบศพโอวหยางเหว่ยเข้าในมุมนี้ ภายในชั่วพริบตาข่าวลือต่าง ๆ นานาเกี่ยวกับโอวหยางเหว่ยแพร่กระจายออกไป ทำให้คนในตระกูลโอวหยางเอาถังน้ำคลุมศีรษะแทบไม่ทัน พวกเขาไม่มีหน้าไปพบใคร

โอวหยางจูกล่าว เขาบันดาลโทสะอย่างหนัก “โอวหยางเหว่ยนางหญิงบาป ต่อให้เจ้าต้องไปตายบนหลุมศพกองพะเนิน ก็อย่าได้มาตายอยู่กลางถนนกระนั้นเลย มันทำให้ตระกูลโอวหยางของเรามีแต่ความมืดดำ”

โอวหยางจื่อกล่าว โกรธเกรี้ยวไม่แพ้บิดา “ท่านพ่อ ต้องเป็นฝีมือมู่เฉียนซีแน่ ๆ! พวกเราตั้งหลายคนคอยเฝ้าเหว่ยเหว่ยอยู่ ไม่เช่นนั้นนางจะหนีออกไปได้อย่างไร ? มู่เฉียนซีสมควรตาย”

โอวหยางจู “ตอนนี้นางเป็นคู่หมั้นเยี่ยอ๋อง ใครกล้าแตะต้องนาง ? มีข่าวอะไรจากสำนักนิกายเพลิงไฟบ้างหรือไม่ ?”

ดวงตาโอวหยางจื่อฉายแววเศร้าหมอง “เห็นได้ชัดว่าสำนักนิกายเพลิงไฟไม่อยากที่จะต่อสู้กับซวนหยวนจิ่วเยี่ย บุรุษอย่างเยี่ยอ๋อง เห็นทีเวลานี้ไม่อาจหาผู้ใดมาประมือได้”

“บัดซบ!”

……

วันรุ่งขึ้น การแข่งขันคัดเลือกอัจฉริยะยังคงดำเนินต่อไป และอัจฉริยะห้าคนก็มาถึงแล้ว  แต่ละคนจะสู้กับคนสี่คนทีละคน ผู้ชนะในแต่ละรอบจะได้คะแนนหนึ่งคะแนน แน่อนว่าผู้ที่คะแนนสูงสุดจะเป็นผู้ชนะเลิศ  หากคะแนนเท่ากันให้ต่อสู้กันจนเห็นผลแพ้ชนะ

ผู้ที่ลงสนามคนแรกคือมู่เฉียนซี การแข่งคู่แรก มู่เฉียนซีต้องประลองกับเยวี่ยเจ๋อ

เห็นได้ชัดว่าเมื่อพวกเขาได้รู้ประกาศรายชื่อ ผลการแข่งขันเป็นอันรับรู้แล้วเรียบร้อย และที่จินอู๋ถางก็คงจะไม่มีการพนันเกิดขึ้น  เพราะผู้ชนะคือมู่เฉียนซีอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อเดินขึ้นไปบนเวทีประลองยุทธ์ เยวี่ยเจ๋อกล่าวออกมาตามที่คาดไว้ “ข้ายอมแพ้”

มู่เฉียนซีกล่าวตอบ เจ้าไม่อยากวัดพลังกับพี่ใหญ่ของเจ้าหน่อยรึ ?” เยวี่ยเจ๋อกล่าวพลางหัวเราะ “ข้าไม่อยากลงมือกับพี่ใหญ่ และไม่อยากโดนพี่ใหญ่จัดหนัก ยอมแพ้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด”

เยวี่ยเจ๋อยอมแพ้ มู่เฉียนซียังไม่ทันได้ทำอะไรก็ได้คะแนนมาง่าย ๆ แล้ว

ต่อไปเป็นมู่เฉียนซีประลองกับซวนหยวนชิงอวิ๋น

เมื่อเสียงฝีเท้าที่ฟังดูหล่อเหลานั้นเดินไปที่เวที มู่เฉียนซีมองไปที่ชายผู้อยู่ตรงหน้าในฉับพลัน  นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้มองดูซวนหยวนชิงอวิ๋นอย่างละเอียดจริงจัง เขาร่างสูง สวมชุดคลุมยาวผ้าไหมขาวนวลผ่องใสราวสีพระจันทร์ ช่างเข้ากับรูปลักษณ์อันสง่างามของร่างกายเขายิ่งนัก มีผ้าไหมสีเขียวสามพันเส้นถูกปิ่นหยกขาวปักไว้ตรงเอว คิ้วหนาโค้งราวกับพระจันทร์เสี้ยว ดวงตาคู่นั้นกระจ่างใสดั่งสายน้ำ แต่กลับเหมือนบ่อน้ำโบราณนิ่งสงบไร้คลื่นใด ๆ

ทั้งงดงามทั้งสง่า แต่ดวงตาของเขานั้นว่างเปล่าไม่มีอะไรอยู่ภายใน ราวกับกล้วยไม้ที่แตกตัวแยกจากกัน

“ข้าสละสิทธิ์ไม่ประลอง จะเรียกว่ายอมแพ้ก็ได้” ประโยคแรกที่ซวนหยวนชิงอวิ๋นกล่าวกับมู่เฉียนซีถูกกล่าวออกมาง่าย ๆ

มู่เฉียนซีอึ้งงัน เยวี่ยเจ๋อนั้นเป็นน้องของนาง ที่ยอมแพ้ไปก็มีเหตุมีผล แต่ว่าอวิ๋นอ๋องผู้นี้ไม่สู้กลับยอมแพ้ จะไร้เหตุผลเกินไปแล้ว  นางตัดสินใจกล่าวถามเขา “ไม่สู้แล้วสละสิทธิ์ อวิ๋นอ๋องท่านแน่ใจแล้วหรือ ?”

“ข้าแน่ใจ เจ้าเป็นว่าที่พระชายาของน้องจิ่วเยี่ย ข้าไม่สู้กับเจ้า” เขากล่าว ใบหน้าเรียบเฉย จากนั้นฉับพลันทันใดเงาร่างสีขาวพระจันทร์หายไปจากเวทีประลอง

มู่เฉียนซีตะลึงตาค้าง นางรู้สึกราวกับเหมือนตนได้บารมีของจิ่วเยี่ยทำให้เป็นเช่นนี้  ในสองรอบแรกสามารถชนะการประลองได้อย่างเรียบง่ายผิดปกติ ท้ายที่สุดแล้วที่ต้องมาประลองกับนางคือมู่หรูเหยียน

มู่หรูเหยียนกล่าวกับมู่เฉียนซี ปั้นหน้าอ่อนโยน  “ซีเอ๋อร์ ไม่ได้เจอกันเสียนาน เจ้าสบายดีไหม ?”

“มู่หรูเยียน อย่าพูดเรื่องไร้สาระมากความนัก รีบมาตัดสินให้รู้แพ้ชนะกันเถอะ” มู่เฉียนซีกล่าวเข้าเรื่องทันที

มีคนต้องการใช้การประลองคัดเลือกอัจฉริยะนี้เพื่อที่จะสังหารนาง  อีกห้าคนสุดท้าย เมื่อไม่นับเยวี่ยเจ๋อกับซวนหยวนชิงอวิ๋น จะเหลือมู่หรูเหยียนและผู้ที่ผู้คนต่างเรียกร้องอยากจะเห็นฝีไม้ลายมือ—อวิ๋นซินหราน

หลังจากแข่งขันไปแล้วเท่านั้นถึงจะดูกันออก “ถ้าหากซีเอ๋อร์ต้องการเช่นนั้น ข้าก็จะทำให้สมหวัง” มู่หรูเหยียนกล่าวเสียงนุ่มนวล ทว่าแววตามุ่นมั่นจะเอาชนะไม่ปกปิด

“พวกเจ้าว่ามู่หรูเหยียนมีโอกาสชนะกี่ส่วน ?” เสียงผู้ชมสนทนากัน

ข้าได้ยินมาว่าคุณหนูหรูเหยียนได้ติดตามอาจารย์ลึกลับ นางมิได้อยู่ในเมืองจื่อตูมาแรมปีแล้ว บางที… นางอาจจะพัฒนาเป็นอย่างมากแล้วก็ได้”

“ข้าก็ว่าอย่างนั้น กระนั้นพวกเราก็รอดูกันเถอะ”

มู่หรูเหยียนแปลงกลายเป็นควันสีขาวพุ่งตรงไปที่มู่เฉียนซี พลังวิญญาณของนางฉีกกระชากอากาศออกจากกัน ทําให้อากาศโดยรอบส่งเสียงดัง

— ฟืดดดด! —

ผู้ชมตกตะลึง “พลังวิญญาณเช่นนี้ คุณหนูหรูเหยียนเองก็พัฒนาขึ้นมาเป็นระดับจอมภูตแล้ว”

ซวนหยวนหลี่ซางมองควันสีขาวนั่น ความรู้สึกภาคภูมิใจก่อเกิดในอก  ความสามารถของมู่หรูเหยียนนั้นแทบไม่ต้องพูดถึง เรื่องอะไรที่ว่านางได้ใช้สมุนไพรวิญญาณช่วยจึงฝึกมาได้ถึงขั้นนี้ คงจะเป็นเพียงแค่ข้ออ้างที่มู่เฉียนซีนำมาทำให้นางแปดเปื้อนเพียงเท่านั้น

มู่เฉียนซีหลบการโจมตีไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว ขณะนั้นพลังของภูตธาตุวารีได้มารวมกันอยู่ที่มือนาง แล้วปล่อยมันโจมตีไปทางมู่หรูเหยียนอย่างไร้ความปราณี

“ผนึกมังกรวารี!”

ในตอนนี้เอง ผ้าไหมสีขาวนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นเพื่อป้องกันการโจมตีจากผนึกมังกรวารีของมู่เฉียนซี

— ตูม! —

เสียงสั่นสะเทือนดังมา พลังทั้งสองปะทะเข้าด้วยกัน  เงาร่างสีม่วงและสีขาวก้าวถอยหลังไปหลายก้าวพร้อมกัน “ดูนั่น มู่หรูเหยียนใช้อาวุธวิญญาณอะไรกันถึงได้สามารถต้านทานการโจมตีธาตุวารีของท่านผู้นำตระกูลมู่ได้”

“ต้องเป็นอาวุธวิญญาณระดับสามขึ้นไปเป็นแน่ อาวุธเช่นนี้ทั้งแคว้นจื่อเยี่ยมีเพียงไม่กี่ชิ้น คุณหนูหรูเหยียนมีอาวุธวิเศษเช่นนี้ได้ ช่างโชคดีเหลือเกิน”

“การแข่งขันครั้งนี้น่าจับตามองเสียจริง แม้ท่านผู้นําตระกูลมู่จะเป็นจอมภูตธาตุวารีที่สามารถข้ามระดับได้ แต่มู่หรูเหยียนก็อยู่ในระดับเดียวกันกับนาง แล้วยังมีอาวุธวิญญาณระดับห้าเสียด้วย โอ้! นางจัดว่ามีพลังไม่เบา”

ทุกคนต่างตื่นเต้นขึ้นมา จับตามองการต่อสู้ต่อไปแทบไม่ละสายตาจากเวทีประลอง

— ฟึ่บ! —

ร่างของมู่หรูเหยียนเวลานี้ราวเต้นระบํา ร่างกายงดงามนั้นขยับส่ายไปมาราวกับพระชายาเทพกําลังเต้นรํา ดึงดูดสายตาเสียจนเหล่าผู้คนนิ่งอึ้งตะลึงมอง

ช่างงดงาม!

ร่างของมู่หรูเหยียนค่อย ๆ พร่ามัวลงเรื่อย ๆ ภายในผ้าแพรสีขาวนั้นมีจิตสังหารพุ่งมาจากทุกสารทิศ

มู่เฉียนซียืนอยู่ตรงจุดกึ่งกลางของวังวนที่หมุนไปมาพอดี นางหลับตาลง คิดกับตนเอง ‘วิชาภาพมายา!’

.