บทที่ 175 ผู้มารบกวน[รีไรท์]

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 175 ผู้มารบกวน[รีไรท์]

ในขณะนี้ บรรดาจอมยุทธ์ผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงเปิดตัวคฤหาสน์แทบทุกคนได้ดื่มน้ำยาเทวะกันอย่างถ้วนหน้า หลงเหลือแต่เพียงผู้อาวุโสเท่านั้นที่ยังไม่ได้ดื่ม

เหล่าผู้อาวุโสก็อยากจะขอดื่มเหมือนกัน แต่ติดอยู่ตรงที่ว่าต้องรักษาภาพลักษณ์ไว้ก่อน

“ท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย ตัวอักษรคฤหาสน์ตระกูลฉู่เหล่านี้ ได้ซ่อนเคล็ดวิชากระบี่ของนายท่านเอาไว้ ทุกคนสามารถเรียนรู้วิชากระบี่นี้ได้ด้วยตัวเอง แต่การที่คุณจะสามารถเรียนรู้ได้มากแค่ไหน ก็อยู่ที่ว่าคุณมีความเข้าใจในวิชากระบี่มากแค่ไหนนั่นเอง” ชายหนุ่มร่างยักษ์อธิบายวิชากระบี่อย่างนั้นหรือ?

ผู้อาวุโสทุกคนที่ได้ยินถึงกับตกตะลึง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเห็นฝีมือการใช้กระบี่ของฉู่ชวิ๋นมาก่อน แต่ทุกคนก็ล้วนแล้วแต่เคยได้ยิน ว่ากันว่าฉู่ชวิ๋นมีวิชากระบี่ที่น่าหวาดกลัวมาก เหมือนกับว่าเป็นวิชาที่มีแต่เทพเจ้าเท่านั้นถึงจะใช้ได้

กล่าวได้ว่าชาวยุทธ์แทบทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่เคยมีใครพบเห็นวิชากระบี่ที่ร้ายกาจขนาดนี้มาก่อน อย่าว่าแต่จะให้ศึกษาเลียนแบบ แค่ทำความเข้าใจพวกเขายังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ

แม้แต่ผู้อาวุโสซึ่งเป็นผู้ติดตามของยัยตัวร้ายทั้งสองคน ก็แสดงความตื่นเต้นออกมาแล้ว หนึ่งในนั้นเคยเห็นผู้อาวุโสเหลียงและขั้นปรมาจารย์ระดับ 6 ของสำนักสวรรค์ฟ้าถูกฉู่ชวิ๋นสังหารมาต่อหน้าต่อตา เขาจึงไม่มีทางประเมินวิชาเพลงกระบี่ของฉู่ชวิ๋นต่ำเกินไปเด็ดขาด

ชายชราทั้งสองคนพากันนั่งลงและเริ่มต้นวิเคราะห์ลวดลายตัวอักษรบนก้อนหิน

“เรื่องนี้น่าจะใช้เวลาไม่น้อยครับ ขอเชิญทุกท่านมารับประทานอาหารก่อนดีกว่า ระหว่างทานก็ทำความเข้าใจไปด้วยก็ได้ครับ” ชายหนุ่มร่างยักษ์กล่าว

ผู้คนตอบสนองเป็นอย่างดี มีใครบ้างอยากปฏิเสธของอร่อย?

โต๊ะและเก้าอี้ถูกจัดเตรียมไว้แล้วทั้งสองฝั่งของลานจัตุรัส หลังจากที่ทุกคนนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว เด็กเสิร์ฟหลายร้อยคนก็นำอาหารและไวน์ออกมาบริการ เด็กเสิร์ฟสาวทุกคนล้วนแต่มีหน้าตางดงามชวนมอง ช่วยเพิ่มความสวยงามให้กับบรรยากาศได้เป็นอย่างดี

ชายหนุ่มร่างยักษ์แอบปาดเหงื่อบนหน้าผากโดยไม่รู้ตัว ตัวเขาเองไม่เหมาะกับการต้อนรับแขกเลยแม้แต่น้อย เดิมทีชายหนุ่มเป็นคนพูดน้อยรักสงบ ไม่ค่อยกล้าพูดอะไรมากความอยู่แล้ว แต่ที่มาทำหน้าที่นี้ ก็เพราะว่ากลัวจะเสียคำพูดต่อฉู่ชวิ๋น โชคดีที่ถึงตอนนี้ ทุกอย่างยังผ่านพ้นไปด้วยดี

ในขณะนี้ ผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงกำลังรินไวน์และรับประทานอาหารอย่างยิ้มแย้มมีความสุข เมื่อชำเลืองมองไปทางผู้อาวุโส ทุกคนก็มีสีหน้าพึงพอใจ เมื่อชายหนุ่มร่างยักษ์เห็นผู้อาวุโสมองมา เขาก็ยกมือขึ้นทำความเคารพ ผู้อาวุโสเหล่านั้นก็รีบลุกขึ้นยืนรับการเคารพจากเขา ไม่กล้านั่ง

ทำเมินเฉยอีกต่อไป บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุข ไม่มีลางบอกเหตุว่าจะเกิดเรื่องแทรกแซงขึ้นเลย

“น้องชาย พวกเราจะได้พบกับนายท่านฉู่ชวิ๋นเมื่อไหร่?” ใครคนหนึ่งเอ่ยปากถามขึ้นมา

“เราอยากจะพบนายท่านฉู่ชวิ๋นมานานแล้ว จุดประสงค์หลักที่พวกเรามาในวันนี้ ก็เพื่อจะได้พบกับจอมมารฉู่ชวิ๋นในตำนาน”

“ช่วยบอกให้นายท่านฉู่ชวิ๋นออกมาเร็วๆ ด้วยนะ ฉันจะดื่มฉลองให้เขา และจะได้ขอบคุณที่เขามอบน้ำยาเทวะให้ฉันด้วย”

บรรดาจอมยุทธ์ผู้เข้าร่วมงานเลี้ยง เริ่มส่งเสียงขึ้นมาแล้วภายใต้บรรยากาศอันอบอุ่น

ชายหนุ่มร่างยักษ์ริมฝีปากแห้งผาก พูดอะไรไม่ออก เขาควรจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไรดี?

ขวับ!

ในวินาทีนั้นเอง พลังลมปราณจากดาบเล่มหนึ่งก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ทำให้ก้อนเมฆปลิวกระจายไปทันที

เมื่อทุกคนหันไปมอง ก็เห็นว่าเป็นฝีมือของผู้อาวุโสที่นั่งวิเคราะห์ก้อนหินอยู่นั่นเอง ขั้นปรมาจารย์ระดับ 6 มีสีหน้าตื่นเต้น ในมือของเขาถือดาบเล่มหนึ่ง

“ขอแสดงความยินดีด้วยครับ ท่านผู้อาวุโส” จอมยุทธ์วัยรุ่นหลายคนเดินเข้ามาแสดงความยินดีต่อผู้สูงวัย

ผู้อาวุโสพูดด้วยความเสียใจเล็กน้อยว่า “น่าเสียดายที่ฉันมีความสามารถต่ำต้อยเกินไป ฉันเพิ่งเข้าใจได้เพียงแค่กระบวนท่าเดียวเท่านั้น”

ทุกคนไม่อยากเชื่อ นี่เป็นเพียงแค่กระบวนท่าเดียว แต่กลับมีความน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง

ในเวลาเดียวกันนี้เอง ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งก็ลืมตาขึ้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยประกายสดใส เขาคือจอมยุทธ์ฝีมือไม่ต่ำไม่สูง ชายชราลุกขึ้นยืนและตะโกนว่า “เอาดาบมา!”ลูกศิษย์ของเขารีบวิ่งเอาดาบมาส่งให้ทันที

ขั้นปรมาจารย์ระดับ 3 คนนี้รับดาบมาตวัดเล็กน้อย ก่อนที่จะโคจรพลังลมปราณออกมาห่อหุ้มตัวดาบไว้ หลังจากนั้น เขาก็วาดดาบเป็นแนวขวางตัดขอบฟ้า บังเกิดเป็นลำแสงขนาดใหญ่พุ่งออกไปตัดก้อนหินที่อยู่บนหน้าผาฝั่งตรงข้าม มีเสียงดังสนั่นโครมคราม ก้อนหินบริเวณนั้นแตกกระจายออกเป็นผุยผงทันที

ทุกคนที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์ได้แต่ยืนมองด้วยความตะลึงงัน

นี่คือฝีมือดาบที่น่าหวาดกลัวมาก ทุกคนยอมรับจากใจจริง แต่แล้วก็ได้แต่พากันถอนหายใจเมื่อตระหนักว่า ตนเองมีความสามารถต่ำต้อยเกินไปที่จะทำความเข้าใจได้

ตัวของขั้นปรมาจารย์ระดับ 3 ผู้นั้นเองก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน หลังจากที่ดีใจอยู่ได้พักใหญ่ เขาก็กลับมาเศร้าซึมอีกครั้ง ด้วยรู้ตัวว่าตนเองสามารถเข้าใจได้เพียงแค่สองกระบวนท่าเท่านั้น

หลังจากนั้น บรรดาผู้อาวุโสที่เหลืออยู่ก็รู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมาบ้างแล้ว ก้อนหินบนหน้าผาฝั่งตรงข้ามกลายเป็นสถานที่ทดลองวิชาดาบ ซึ่งถูกพลังลมปราณจากดาบฟาดฟันใส่จนกลายเป็นรูกลวงจำนวนนับไม่ถ้วน

แม้แต่จอมยุทธ์ที่เพิ่งเริ่มจะฝึกวิชาก็ลุกขึ้นมาอยากจะลองของด้วยเช่นกัน

นี่คือการสร้างสรรค์ที่พึ่งพาทักษะอย่างแท้จริง ยิ่งมีพรสวรรค์ในด้านการฝึกวรยุทธ์มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสามารถทำความเข้าใจได้มากเท่านั้น จนถึงตอนนี้ มีคนสามารถทำความเข้าใจได้สามกระบวนท่าแล้ว

“เพลงดาบเพลงนี้มีอยู่กี่กระบวนท่ากันล่ะ น้องชาย?” ผู้อาวุโสคนหนึ่งถามขึ้น

“มีอยู่ทั้งหมดสิบแปดกระบวนท่าครับ” ชายหนุ่มร่างยักษ์กล่าว ทุกคนเบิกตาโต พวกเขาเพิ่งจะเข้าใจเพียงแค่สามกระบวน

ท่าแรกเท่านั้น และเพียงแค่นี้ก็มีความน่ากลัวมากพอแล้ว กระบวนท่าที่อยู่ต่อจากนี้ไป คงมีความน่ากลัวพอที่จะถล่มผืนฟ้าได้เลยทีเดียว

ดังนั้น ผู้อาวุโสที่รู้ตัวว่าตนเองมีฝีมือไม่ถึงขั้น จึงกลับไปนั่งรับประทานอาหารและดื่มไวน์ต่อ พลางรับชมการทดลองวิชาดาบจากผู้อาวุโส ที่มีฝีมือเก่งกล้ามากกว่าตัวเอง

พั่บ ๆ ๆ!

ทันใดนั้นเอง เกิดเสียงอะไรบางอย่างตัดอากาศดังขึ้นกลางท้องฟ้า เหมือนกับเสียงของพายุใหญ่

เกิดอะไรขึ้น? ทุกคนเงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยความประหลาดใจ พลันเฮลิคอปเตอร์สามลำปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ และเสียงที่ดังเหมือนพายุใหญ่นั้น ก็คือเสียงใบพัดตัดอากาศนั่นเอง

“ไอ้บัดซบ ฉู่ชวิ๋นอยู่ที่ไหน?” เสียงที่หยาบคายเสียงหนึ่งดังออกมาจากลำโพงบนเฮลิคอปเตอร์

“พวกแกเป็นใคร?” ชายหนุ่มร่างยักษ์ถามกลับไปด้วยความเกรี้ยวกราด เฮลิคอปเตอร์ทั้งสามลำบินอยู่เหนือแขกผู้เข้ามาร่วมงานและร้องเรียกหาฉู่ชวิ๋น แสดงให้เห็นว่าไม่ได้มาด้วยเจตนาดีแน่นอน

แต่โชคไม่ดีที่ชายหนุ่มร่างยักษ์เป็นแค่เพียงคนธรรมดาเท่านั้น เสียงตะโกนของเขาฟังแทบไม่ได้ยิน เพราะถูกเสียงลมจากใบพัดเฮลิคอปเตอร์ดังกลบหมด

ในขณะนี้ ขั้นปรมาจารย์ระดับ 2 คนหนึ่งลุกขึ้นยืน ข้างกายเขาเป็นเด็กสาวคนหนึ่งที่ถือดาบโบราณอยู่ในมือ ซึ่งมันก็คือดาบปราบมารนั่นเอง

“พวกแกเป็นใคร?” ผู้อาวุโสถามด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว เสียงของเขาแผดดังเหมือนกับฟ้าคําราม

“ไม่สำคัญหรอกว่าเราเป็นใคร เราแค่ทนความร้ายกาจของฉู่ชวิ๋นไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เขามันใจคออำมหิต ฆ่าคนเหมือนผักปลา แต่ยังกล้าจัดงานเลี้ยงเปิดตัวคฤหาสน์ เพื่อหาพวกพ้องได้อย่างหน้าไม่อาย” เสียงที่เหยียดหยามดังออกมาจากเฮลิคอปเตอร์

ขั้นปรมาจารย์ระดับ 2 โกรธแค้นขึ้นมาแล้ว ฉู่ชวิ๋นช่วยเหลือเขาเอาไว้ตอนอยู่นอกเมืองหยุนหยาน ไม่อย่างนั้น ดาบปราบมารคงถูกคนของสำนักสวรรค์ฟ้าปล้นไปแล้ว

“ตัวร้ายกาจอย่างพวกแกมีสิทธิ์อะไรมากล่าวหาคนอื่น ทุกคนที่มาที่นี่ ต่างก็อยากมาแสดงความยินดีต่อนายท่านฉู่ชวิ๋นด้วยความจริงใจทั้งนั้น” ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน

“นายท่านฉู่ชวิ๋นอย่างนั้นหรือ? คนแบบมันกล้าเรียกตัวเองว่านายท่านได้ยังไง” อีกฝ่ายหนึ่งส่งเสียงหัวเราะเยาะตอบกลับมา

“กำแหงนัก…” ขั้นปรมาจารย์ระดับ 2 กัดฟันกรอด ชักดาบปราบมารออกมา ตัวดาบเป็นประกายเย็นเยียบเหมือนกับแสงจันทร์

ขวับ!

ตวัดดาบหนึ่งครั้ง พลังลมปราณจากตัวดาบพุ่งตัดอากาศ

วูบ!

ประกายไฟกระจายไปทุกหนทุกแห่ง พลังลมปราณจากตัวดาบตัดเข้าตัวถังเฮลิคอปเตอร์ เกิดเป็นรอยแยกยาวประมาณหนึ่งเมตร ได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังมาจากในเฮลิคอปเตอร์ลำนั้น น่าจะมีคนได้รับบาดเจ็บจากพลังลมปราณของตัวดาบอยู่ไม่น้อย

ทุกคนได้แต่อ้าปากค้าง นี่คือกระบวนท่าเพลงดาบ ที่ชายชราเพิ่งจะทำความเข้าใจได้ไม่ใช่หรือ?

เฮลิคอปเตอร์ลอยตัวอยู่ในอากาศ อยู่สูงเหนือพวกเขาไปประมาณร้อยเมตร แต่เมื่อโดนลมปราณดาบเล่นงานเข้าไป มันก็ลอยต่ำลงมาใกล้มากขึ้น ประเมินจากสายตาแล้ว เฮลิคอปเตอร์ลำนี้สามารถถูกดาบตัดขาดเป็นสองท่อนได้ไม่ยากเลย

ทุกผู้คนต่างก็เลื่อมใสในวิชากระบี่ของฉู่ชวิ๋น แม้แต่คนที่ไม่มีความสามารถมากพอในการทำความเข้าใจก็ตาม รวมถึงคนที่ไม่ได้สนใจในตัววิชากระบี่ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าเป็นฝ่ายไหน ทุกคนต่างก็ลงความเห็นเป็นอย่างเดียวกันว่า ฉู่ชวิ๋นมีฝีมือและทักษะที่น่าเกรงขามมาก

ชายชราเพิ่งจะได้รู้แจ้งในตอนนั้นเอง ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยเข้าใจมาก่อน แต่เมื่อได้ลองใช้วิชากระบี่ออกไปแล้ว ความทรงพลังของมันก็ทำให้เขารู้สึกแจ่มใสขึ้นมาอีกครั้ง เฮลิคอปเตอร์ไม่กล้าลอยต่ำอีกต่อไป มันยกตัวสูงขึ้นไปมากขึ้น

ขวับ!

ชายชราตวัดดาบอีกครั้ง พลังลมปราณพุ่งออกจากดาบด้วยความดุดัน

วูบ!

พลังลมปราณจากดาบตัดเข้าไปในตัวเฮลิคอปเตอร์ ประกายไฟสาดกระจายไปทั่ว คราวนี้เฮลิคอปเตอร์เร่งความเร็วขึ้นมากกว่าเดิม บนตัวถังเฮลิคอปเตอร์มีแต่รอยดาบให้เห็นชัดเจน แต่สุดท้าย มันก็บินไกลออกไป เกินกว่าที่ระดับฝีมือของผู้อาวุโสจะฟันถึง

“พวกแกอยากรนหาที่ตายใช่ไหม? ฉู่ชวิ๋นกำลังจะเดินทางไปภูเขาเซวียนฉีในอนาคตอันใกล้ ถึงตอนนั้น มันจะต้องตายแน่นอน ถ้าตอนนี้ใครอยู่ร่วมงานเปิดตัวคฤหาสน์ของมัน ก็จะถือว่าเป็นศัตรูกับสำนักสวรรค์ฟ้าโดยทันที ในอีกไม่ช้าก็เร็ว พวกเราจะกลับมาคิดบัญชีกับพวกแก จะไม่มีใครหนีรอดได้สักคน” เสียงข่มขวัญดังออกมาจากลำโพงของเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่ง

“พวกแกเป็นคนของสำนักสวรรค์ฟ้านี่เอง ไม่คิดเลยนะว่าจะใจกล้าหน้าด้านมารบกวนงานเลี้ยงของคนอื่นแบบนี้ แต่เมื่อลองคิดดูดี ๆ แล้ว เรื่องระยำตำบอนแบบนี้ ก็คงมีแต่สำนักสวรรค์ฟ้านั่นแหละที่ทำได้”

ยัยตัวร้ายยังคงนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะอาหารด้วยท่วงท่าสวยงาม เธอเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสายตาดูแคลน แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ทุกคนเหงื่อตกหมดแล้ว พวกเขาไม่ได้อยู่สำนักใหญ่เหมือนกับยัยตัวร้ายคนนั้น ย่อมไม่มีใครกล้าขึ้นเสียงใส่คนจากสำนักสวรรค์ฟ้าแน่นอน และขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ ทุกคนย่อมหวาดกลัวผู้มีอำนาจอยู่แล้ว