ตอนที่ 199 ฟักเขียวกลายพันธุ์

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

เดิมทีพวกนางคิดว่าหากจะให้อิ้งหลุนถ่ายทอดวิชาการฝึกฝนให้อีเจิงคงจะมีความลำบากเล็กน้อย เพราะถึงแม้ว่าเขาจะเพิ่งพาไม่ค่อยได้ แต่อย่างไรก็ตามเขาก็เป็นราชายมโลก หากให้เขาถ่ายทอดวิชาการฝึกฝนให้วิญญาณธรรมดาด้วยตนเอง คงจะเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรไปเล็กน้อย

แต่ไม่คิดว่า พวกนางเพียงแค่บอกเล่าความคิดแบบอ้อมค้อม อิ้งหลุนก็รับปากแบบไม่ลังเลแม้แต่น้อย อีกทั้งยังตบอกอย่างมั่นใจ “วางใจ ข้าจะจัดการเอง ศิษย์ตัวน้อย! แค่สอบวิญญาณฝึกฝน ข้าทำได้! ใช้เวลาไม่นาน ข้าจะทำให้เขาเกิดใหม่ให้ได้ พวกเราเป็นสหายกัน เจ้าให้เมล็ดพันธุ์กับข้ามากมายเช่นนี้ เรื่องแค่นี้ข้าช่วยได้ จริงสิ ข้าวโพดครั้งก่อนเป็นอย่างไรบ้าง เสียดายที่ออกมาไม่กี่ต้น แต่ว่าทำไมถึงมีรูปร่างคล้ายตะบองฟันหมาป่ากัน แต่ว่าก็สวยงามดี ข้าคิดว่ามันเหมาะกับรูปแบบของยมโลก…”

ในขณะที่เขากำลังจะเริ่มการสนทนาวิธีการเพาะปลูกรอบใหม่นั้น อวิ๋นเจี่ยวและชายแก่จึงหันหลังลงจากเขาไป ทิ้งม้ามืดอีเจิงที่ยังคงทำหน้าฉงนไว้

ระยะนี้ อวิ๋นเจี่ยวและชายแก่ค่อนข้างยุ่ง ห้องสามและห้องสี่ต่างสอนจบแล้ว การสอบจบการศึกษาก็สิ้นสุดลง เนื่องจากอาจารย์อาหยวนกลับสวรรค์ไปอย่างกะทันหัน เรื่องยันต์ของห้องสามจึงตกอยู่ที่อวิ๋นเจี่ยวทั้งหมด อีกทั้งทางสำนักเทียนซือกำลังจะเปิดเรียน เรื่องการจัดตารางเรียน การแบ่งห้องเรียน อีกทั้งการจัดระเบียบวิชาล้วนกองรวมกัน รวมถึงการประชุมภายในกับสำนักเทียนซือและเหล่าเจ้าสำนักอีกไม่รู้กี่ครั้ง

บอกได้ว่า นอกจากกินข้าว นอนหลับแล้ว เวลาของนางทั้งหมดล้วนสูญเสียไปกับการจบการศึกษาของห้องสาม และการเปิดโรงเรียนใหม่

ชายแก่เองก็เช่นกัน ถึงแม้ห้องสี่จะสิ้นสุดลงแล้ว แต่เรื่องของเมืองโยวหลิงก็วุ่นวายมาก อาจเป็นเพราะการกระทำของพวกเขาเกิดผล ยมทูตสามคนที่เหลือต่างอยู่ในกฎระเบียบ พวกเขานำส่งรายงานเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ของเมืองโยวหลิงให้ชายแก่ได้ดูอย่างตรงเวลา อีกทั้งยังมีการแบ่งประเภทตามที่อวิ๋นเจี่ยวบอกเอาไว้ รวมไปถึงการตรวจสอบประชากรผีอีกด้วย

ส่วนเวลาเข้ารับตำแหน่งยมทูตที่ได้จากการคัดเลือกนั้น พวกเขาวางเอาไว้สามเดือนหลังจากนี้ ซึ่งหมายความว่าม้ามืดอย่างอีเจิงมีเวลาเรียนรู้เพียงสามเดือนเท่านั้น แต่การฝึกฝนของวิญญาณมีความยากลำบาก การเลื่อนระดับก็ช้ากว่าการฝึกฝนของลูกศิษย์เสวียนเหมินมาก หากต้องการให้วิญญาณพัฒนาพลังของตนเองในระยะเวลาอันสั้น ก็คงมีเพียงราชายมโลกอย่างอิ้งหลุนที่ทำได้ เขาเข้าใจวิญญาณที่สุด อีกทั้งยังมีความสามารถในการควบคุมพลังชีวิตที่พวกนางไม่อาจเข้าใจได้ แม้แต่ผักที่เขาปลูก ล้วนได้รับการถ่ายทอดพลังชีวิตลงไป

ดังนั้นหลังจากที่พวกนางโยนวิญญาณไว้ให้อิ้งหลุนแล้วก็ไม่ได้สนใจอีก มอบหมายให้อิ้งหลุนนางค่อนข้างวางใจ จนกระทั่งสามเดือนให้หลัง…

“เจ้าคือใคร” ชายแก่มองคนตรงหน้าที่สวมหมวกฟาง เสื้อผ้าขาดวิ่น ด้านหลังแบกผัก ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มซื่อด้วยความฉงน เขารู้สึกว่าคนตรงหน้าคุ้นๆ แต่ก็นึกไม่ออก

“ท่านยมราช ข้าคืออีเจิง!” ชายหนุ่มตอบ

“…” อะไรนะ?

ชายแก่มองดูกล้ามเนื้อแน่นบนร่างวิญญาณของเขา รูปร่างที่กำยำขึ้นหนึ่งเท่า อีกทั้งสีผิวที่เดิมเคยขาวซีดนั้นแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำผึ้ง

คนตรงหน้าคืออีเจิง เจ้ากำลังล้อข้าเล่น! ชายหนุ่มอ่อนแอคนก่อนล่ะ? กิริยาของผู้มีการศึกษาล่ะ! เขาเป็นเกษตรกรจากไหนกัน?!

(゚Д゚≡゚Д゚)

“ร่างวิญญาณของเจ้าเป็นอะไรไป” สีหน้าของอวิ๋นเจี่ยวดำลง กวาดตามองอีกฝ่ายพร้อมถามขึ้น

“อ่อ อาจารย์อิ้งบอกว่า ร่างวิญญาณของข้าอ่อนแอเกินไป พลังวิญญาณบนร่างกายแม้แต่กระเทียมคงถอนไม่ออก ดังนั้นท่านจึงถ่ายทอดวิชาการฝึกฝนวิญญาณให้ข้า” อีเจิงหัวเราะ ทันใดนั้นพลังความซื่อบื่อถาโถมเข้าใส่พวกนางทันที เขาปลดกระบะหนักหลายร้อยจินที่แบกอยู่ลงมา ก่อนจะยื่นมาให้พวกเขาด้วยมือเดียว

ทั้งสองคนสบตากัน ทันใดนั้นมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีผุดขึ้น

“สามเดือนนี้ เจ้านอกจากฝึกฝนวิญญาณแล้ว ยังเรียนรู้อะไรอีก”

“มากมายเลย!” อีเจิงอธิบายด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ข้าฝึกปลูกกระเทียม มะเขือเทศ ข้าวโพด มันฝรั่ง และผักอีกหลายสิบชนิด อาจารย์อิ้งบอกว่า รอฝีมือของข้าพัฒนาขึ้นอีกหน่อย ข้าก็จะได้สัมผัสกับแตงโมที่มีความยากมากแล้ว!”

อวิ๋นเจี่ยว “…”

ชายแก่ “…”

สามเดือนนี้ อิ้งหลุนสอนอะไรเขากัน! พวกนางอยากให้เขาสอนยมทูตที่ดีออกมา ไม่ได้อยากให้เขาฝึกเกษตรกรคนที่สอง!

w(゚Д゚)w

“จริงสิ ท่านยมราช” อีเจิงยังคงตื่นเต้น ไม่มีท่าทางเหมือนแต่ก่อน คนทั้งคนล้วนประกายไปด้วยเสน่ห์ของผู้ใช้แรงงาน ก่อนจะชี้ไปยังกระบะ “พวกนี้คือผลผลิตในหลายเดือนนี้ ล้วนสุกหมดแล้ว อาจารย์อิ้งบอกว่าพื้นดินปลูกไม่พอแล้ว จึงให้ข้าเก็บมาให้ ยังมีอีกไม่น้อย!” พูดจบก็ยื่นองุ่นที่เม็ดใหญ่เท่าแตงโมมาให้!

ชายแก่ปากกระตุกเล็กน้อย มองวิญญาณที่ร่างกายกำยำสลับกับองุ่นในมือของเขา ทันใดนั้นเกิดความกังวลใจ เขาหันไปสบสายตากับอวิ๋นเจี่ยวอย่างเงียบๆ เจ้าหนู เขาคงไม่หลงใหลในการปลูกผักเหมือนอิ้งหลุนเข้า จนไม่อยากเป็นยมทูตแล้วใช่หรือไม่

อวิ๋นเจี่ยว “…” อย่าถามข้า! ข้าก็ไม่รู้

เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่รับ อีเจิงจึงผงะไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “จริงสิ ยังมีอีกเรื่อง อาจารย์บอกให้ข้ามารายงานท่านยมราชและท่านเทพอวิ๋น”

“เรื่องอะไร” ชายแก่ถาม

“อาจารย์บอกว่าเมื่อวานตอนกลางคืน พื้นดินมีผลไม้แปลกใหม่โผล่ออกมา รูปร่างแปลกประหลาดยิ่งนัก ไม่เคยพบเห็นจากที่ไหนมาก่อน อีกทั้งยังพ่นควันสีขาวได้! ดังนั้นให้ข้ามาถามว่าเมล็ดของครั้งที่แล้ว มีสิ่งอื่นปะปนเข้ามาหรือไม่ พร้อมทั้งมาถามว่ามันคือผลของอะไร” พูดจบจึงยกกระบะเทลงพื้น

นาทีถัดมาเห็นเพียงฟักสีขาวปรากฏต่อหน้า ฟักนั้นมีขนาดเท่าตัวคน ลักษณะเป็นวงรี บนฟักนั้นยังเต็มไปด้วยขนอ่อน เหมือนกับ…

“นี่มันฟักเขียวมิใช่หรือ” ชายแก่พูดออกมา ถึงแม้จะใหญ่กว่าฟักเขียวธรรมดาหลายเท่า แต่มันคือฟักเขียวอย่างแน่นอน “ทำไมเป็นสีขาว!” กลายพันธุ์หรือ

อวิ๋นเจี่ยวเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว ก่อนจะกวาดตามองฟักเขียวตรงหน้า สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็นฟักเขียวจริง แต่เมื่อตั้งใจฟัง จะได้ยินเสียงประหลาดดังมาจากข้างใน อีกทั้งบนผลฟักนั้นยังมีพลังสีขาวหลั่งไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ราวกับ…พลังเทพ!

สีหน้าของอวิ๋นเจี่ยวดำลง นางหยิบยันต์ออกมาหนึ่งใบ ก่อนจะติดเข้าที่ฟักเขียวอย่างไม่ลังเล นาทีถัดมาได้ยินเพียงเสียงระเบิดดังขึ้น ฟักเขียวแยกออกจากกัน ร่างสีขาวเปียกชุ่มกลิ้งออกมาจากด้านใน

“อึดอัดอย่างเป็นที่สุด!” คนนั้นใช้มือทั้งสองข้างประคองพื้น ก่อนจะลุกนั่งขึ้นมา พลางหอบหายใจพลางก่นด่า “อย่า…ให้ข้ารู้ว่า…ใครเป็นคน…ปิดข้าไว้ในฟักนี้ ข้า…ข้าจะไม่ปล่อยไปแน่!”

นี่คือ…คนของโลกสวรรค์! อีเจิงตกตะลึง นาทีถัดมากลับได้ยินเสียงของสองคนด้านข้างตะโกนขึ้นมาพร้อมกัน

“อาจารย์อาเหวิน!