ตอนที่ 198 การรวมญาติอีกครั้ง (1)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

ตอนที่ 198 การรวมญาติอีกครั้ง (1)

นางเป็นเพียงหนึ่งเดียวที่ทำให้เขารักใคร่และเอ็นดู

ใช่ รักใคร่และเอ็นดู

นี่เป็นความรู้สึกที่เว่ยจางไม่เคยคิดมาก่อน

ตอนที่บิดามารดาจากไป เขายังเด็ก ยังจำความไม่ได้ ตอนที่ท่านปู่เสียไป เขารู้สึกเสียใจยิ่งนัก ตนเองร้องไห้อยู่หน้าศาลาวางโลงศพท่านปู่ จากนั้นก็ถูกท่านน้าชายส่งไปฝึกทหารที่ค่ายทหาร เขาก็แค่รู้สึกสับสน หนทางข้างหน้าไม่ชัดเจน ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร ควรจะทำอย่างไร แล้วไม่รู้ว่าทางออกเป็นหนทางใด

หลังๆ มาหลังผ่านการฝึกฝน ได้รับบาดเจ็บ ไปสนามรบสังหารศัตรู…แม้กระทั่งเห็นถึงสตรีต่างแดนถูกเหยียบอยู่ใต้กีบม้า การเผชิญกับอารมณ์ความรู้สึกหลายอย่างมีทั้งความรู้สึกที่ดีและไม่ดี ความรู้สึกต่างๆ ที่พบเจอมีทุกรสชาติชีวิต

มีเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่เคยรู้สึก ก็คือความรักใคร่และเอ็นดู

ตอนนี้เขาได้ลิ้มรสความรู้สึกนี้แล้ว

บริเวณอกตรงตำแหน่งหัวใจเหมือนถูกบีบด้วยมือข้างหนึ่ง และมีความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้เจ็บปวดจนหายใจไม่ออก และยิ่งเจ็บมากขึ้นทวีคูณ

เป็นความเจ็บปวดที่ไม่ได้รุนแรงมากนัก ทว่ากลับยืดเยื้อ

เขาได้ยินเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยดังขึ้นจากข้างบน เว่ยจางจึงหันไปมอง

เหยาเยี่ยนอวี่สวมชุดคลุมสำหรับฤดูใบไม้ผลิสีเขียวอ่อน ไม่ได้มวยผม เพียงถักเปียธรรมดาพาดลงมาจากไหล่จนถึงหน้าอก ไรผมถูกลมพัดปลิวจนกระจัดกระจายจนเห็นใบหน้าด้านข้างที่กำลังแหงนมองขึ้นมาข้างบน ไม่เจอหน้ากันเพียงไม่กี่วัน ใบหน้าของนางไม่ได้ดูแดงระเรื่ออย่างมีชีวิตชีวาเหมือนก่อนหน้านี้ อีกทั้งใบหน้าทรงกลมกลับดูมีคางขึ้นมา

เว่ยจางขมวดคิ้วเล็กน้อย ภายในใจกำลังคิดว่าอาการปวดท้องน้อยตอนมีประจำเดือนที่สมควรตายนี้! กลับทำให้คนทรมานเช่นนี้เลยหรือ!

เหยาเยี่ยนอวี่ก็สังเกตเห็นเขาแล้ว นางมองมาด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ทันทีที่สายตาของทั้งสองสบกัน บรรยากาศก็เต็มไปด้วยความเงียบงัน

“คุณหนู? คุณหนู?” ชุ่ยผิงเอาเสื้อคลุมกันลมตัวหนึ่งมาเดินมาข้างกายเหยาเยี่ยนอวี่พร้อมคลุมเรือนร่างของนางไว้ “หมัวมัวบอกแล้วว่าทางที่ดีที่สุดคุณหนูอย่างยืนตากลมเลยเจ้าค่ะ ลมแม่น้ำนี้เย็นเกินไปเจ้าค่ะ”

“ไม่เป็นไร” เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้มแล้วมองเว่ยจางครู่หนึ่ง ยกมือกระชับเสื้อคลุมบริเวณหน้าอกพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อยให้เขาก่อนหันหลังเดินกลับไป

รอยยิ้มนั้นดั่งบุหลันดั้นเมฆ เหมือนบุปผาคลี่กลีบรับลมใบไม้ผลิ เว่ยจางนั่งอยู่ตรงหัวเรือ ยิ้มอย่างประหม่า ทว่ากลับเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขสำราญ

เหยาเหยียนอี้และเซียวหลินไม่นานก็กลับมา พวกเขาเทียบเรือไม่นานนัก สักพักก็รีบออกจากท่าเพื่อเดินทางต่อ ทิวทัศน์ยามค่ำคืนเหมือนดั่งสายน้ำ ลมกลางคืนเย็นเล็กน้อย บนผืนน้ำสะท้อนแสงจันทร์อ่อนหวาน

ความรู้สึกที่โศกเศร้าและเหน็ดเหนื่อยทั้งเรือนร่างก็หายไป แทนที่ด้วยความสบายอกสบายใจขึ้นมา พอครุ่นคิดถึงรูปลักษณ์หน้าตาละมุนละไมของแม่นางที่หมายปอง เว่ยจางก็รู้สึกว่าความคิดที่เกิดขึ้น ก็เหมือนกับเงารัตติกาล เป็นส่วนลึกในก้นบึ้งวิญญาณของตน

ในมือของเว่ยจางไม่รู้ว่าถือซวินดินเผาสีนิลหนึ่งอันตั้งแต่เมื่อใด ตอนเริ่มแรกเขาแค่อยากเล่นเท่านั้น ผ่านไปสักพักจึงเอาซวินจรดริมฝีปากแล้วเริ่มเป่าเบาๆ

บทเพลงที่บรรเลงเสนาะหูนี้เหมือนเคยได้ยินมาก่อน เหยาเยี่ยนอวี่หลับตาพิงอยู่บนตั่งไม้ก็คลี่ยิ้มออกมาทันที คิดว่า ‘อาณาจักรเหนือเวหา’ พอใช้ซวินดินเผานี้กลับเสนาะหูถึงเพียงนี้

บนท้องฟ้ายามค่ำคืนอันแสนไกล ใครกันกำลังเฝ้ามองดวงดาว ใครกันที่รอจะอยู่ใรฝันของใครสักคน…

เหยาเยี่ยนอวี่เริ่มขับร้องบทเพลงไปตามเสียงบรรเลงของซวิน ชุ่ยผิงที่กำลังจะเย็บถุงบุหงากลับฟังอย่างเพลิดเพลินจนลืมขยับตัว เหยาเยี่ยนอวี่แค่ร้องครั้งเดียวก็หยุดไป เว่ยจางที่อยู่ข้างนอกกลับเหมือนไม่มีวันเบื่อบทเพลงบรรเลงเสร็จไปหนึ่งครั้งก็เป่าขึ้นมาอีกรอบ

ครั้งนี้เหยาเยี่ยนอวี่ไม่อยากร้องตาม แค่ฟังอย่างเงียบๆ ตอนท้ายของบทเพลงชุ่ยผิงแอบถอนหายใจเบาๆ แล้วพึมพำ “บทเพลงนี้ใครเป็นคนเป่า เหตุใดถึงทำให้คนนึกถึงเรื่องเศร้าใจเช่นนี้”

เหมือนสัมผัสได้ถึงนัยน์ตาของนาง เว่ยจางจึงหันหน้ามา ทั้งสองสบตากัน เหยาเยี่ยนอวี่ค่อยๆ เม้มปากขึ้นเล็กน้อย แต่กลับนิ่งไม่พูดจา

เว่ยจางก็สบตากับนางโดยด้วยสายตาแน่วแน่ นัยน์ตาที่มีแสงจันทราสะท้อนคู่นั้นดูอ่อนโยนดุจผืนน้ำ

ทว่าผ่านไปสักพัก เว่ยจางกลับยืนขึ้น ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีอะไร เรือพายที่อยู่ใต้ฝ่าเท้ากลับค่อยๆ พายมายังเรือใหญ่ หลังจากที่เรืออยู่ห่างไม่ไกล ทันใดนั้นเว่ยจางก็กระโดดขึ้นมายืนอยู่นอกหน้าต่างห้องเหยาเยี่ยนอวี่

“ดีขึ้นบ้างหรือยัง” น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าหลงใหลของเว่ยจางที่ส่งผ่านสายลมพัดพาเข้าไปในหูของเหยาเยี่ยนอวี่ ทั้งร่างของเหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกเหมือนถูกเสียงนั้นทำให้อ่อนระทวย ทว่า ‘ดีขึ้นบ้างหรือยัง’ ประโยคนี้หมายความว่าอะไร

เหยาเยี่ยนอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้าสบายดีมาตลอดนี่”

“?” ดวงหน้าของเว่ยจางแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย หรือว่าตนเองเดาผิดไปหรือ หมัวมัวผู้นั้นไม่ใช่แม่นมของนางหรือ นางซื้อยาเหล่านั้นไม่ได้ซื้อให้นางหรือ

ใต้แสงจันทร์ บุรุษหล่อเหลาและกล้าหาญชาญชัยคนหนึ่งปลายหูแดงระเรื่อ เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง!

แท้จริงแล้วเหยาเยี่ยนอวี่สัมผัสได้ว่าคำพูดของเว่ยจางหมายความว่าอะไร ต่อให้นางเป็นคนที่ข้ามภพมาจากยุคปัจจุบันก็ไม่ได้เป็นยุคที่เป็นสังคมนิยมมากถึงขั้นนี้ จะเสวนาเรื่องแบบนั้นกับบุรุษไปเรื่อยเปื่อยได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าบ้าไปแล้วหรือ

ดังนั้นนางจึงคลี่ยิ้มอย่างไม่จริงใจ “ซวินของเจ้าเป่าได้น่าฟังยิ่งนัก” กล่าวจบนางก็ยกมือจับบานหน้าต่าง เอ่ยต่อยิ้มๆ “เวลาก็ดึกมากแล้ว ราตรีสวัสดิ์”

วันนี้ทุกคนในจวนข้าหลวงใหญ่ผู้ปกครองสองเมือง ไม่ว่าจะเป็นท่านฮูหยินผู้เฒ่าซ่งซื่อ แม้กระทั่งผื่อจื่อที่รับผิดชอบเก็บกวาดจวนต่างก็มีสีหน้าที่เคล้าด้วยรอยยิ้ม ต่างก็รื่นเริงยินดี แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นที่ประดับประดาด้วยผ้าและโคมไฟสวยงาม ทว่าทุกแห่งหนของจวนต่างก็เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุข

คุณชายรองผ่านการคัดเลือกและได้เข้ารับตำแหน่ง ได้รับการแต่งตังเป็นขุนนางขั้นห้าจากฮ่องเต้ มีตำแหน่งเป็นรองเจ้ากรมป่าไม้ การกลับจวนในวันนี้ก็คือการสวมเสื้อไหมปักกลับบ้านเกิด อีกอย่างแม่ทัพติ้งหย่วน แม่ทัพคนสนิทของฮ่องเต้ และใต้เท้าเซียวขุนนางจัดการตลาดเกลือเจียงหนิง หลานของจิ้งไห่โหวก็มาด้วยกัน

เหยาเหยียนอี้ เว่ยจาง เซียวหลิน ถังเซียวอี้ และคนอื่นๆ ต่างก็ควบม้า ด้านหลังของเว่ยจางมีทหารกล้าติดตามอยู่ยี่สิบกว่านาย พวกเขาต่างกระชับบังเหียนม้า หลังจากที่เดินทางมาถึงหน้าประตูจวนข้าหลวงใหญ่ เหยาเหยียนอี้ลงจากม้าเป็นคนแรก หันไปประสานมือคารวะให้ทุกคน “ท่านเซียวโหว ท่านแม่ทัพเว่ย ท่านรองแม่ทัพถัง ถึงจวนแล้วขอรับ”

เว่ยจางและคนอื่นๆ ต่างก็ลงจากม้า เซียวหลินยื่นบังเหียนม้าให้บ่าวที่เดินเข้ามาน้อมทำความเคารพ เอ่ยขึ้น “จวนข้าหลวงใหญ่ช่างโอหังยิ่งนัก”

รถม้าที่ไปรับคนที่ท่าเรือก็จอดลงตรงหน้าประตูจวนข้าหลวงใหญ่ เหล่าผัวจื่อที่รอต้อนรับอยู่ตรงหน้าประตูจึงวิ่งไปทันที จากนั้นก็วางเก้าอี้บันไดพร้อมกับเลิกม่านรถม้าขึ้น แล้วพยุงคุณหนูรองลงมาด้วยความเคารพนับถือ

เหยาเยี่ยนอวี่ลงจากรถม้าแล้วเงยหน้ามองประตูใหญ่ของจวนข้าหลวงใหญ่ แล้วนึกถึงบรรยากาศตอนที่ตนเองจากที่แห่งนี้ไป ช่างเหมือนอยู่ในฝันจริงๆ

ผัวจื่อที่อยู่ข้างๆ ก็คลี่ยิ้ม “คุณหนูรองรีบเข้าไปเถอะ ท่านฮูหยินผู้เฒ่าพร่ำบ่นถึงท่านตลอดเวลาเจ้าค่ะ”

“ได้” เหยาเยี่ยนอวี่ชำเลืองมองผัวจื่อแล้วพยักหน้าด้วยรอยยิ้มบางๆ นี่เป็นคนของฮูหยินผู้เฒ่า ให้หมัวมัวท่านนี้มารับด้วยตนเอง นับว่าตนเองได้รับเกียรติจริงๆ

หลังจากขึ้นเกี้ยวสีเขียวแกมน้ำเงินก็มีผัวจื่อร่างกำยำสี่คนยกและเดินเข้าไปในประตูข้างของจวนข้าหลวงใหญ่ แล้วมุ่งหน้าไปยังเรือนหนิงรุ่ยอันเป็นเรือนที่พักของฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง