ตอนที่ 199 การรวมญาติอีกครั้ง (2)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

ตอนที่ 199 การรวมญาติอีกครั้ง (2)

พอเข้าประตูก็เห็นแม่นางคนหนึ่งสวมใส่ชุดชุนซานสีผลท้อเดินเข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้มเบิกบาน จากนั้นก็จับมือของเหยาเยี่ยนอวี่พร้อมกับขานเรียกอย่างดีใจ “พี่รอง”

เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้มบาง มองสาวน้อยที่ยิ้มอันงดงามเหมือนดอกไม้บานแล้วขานรับ “น้องสาม”

“พี่สาว พี่กลับมาเสียที! ในจวนรอคอยพี่กลับมาตั้งนานแล้ว” เหยาเชวี่ยหวาจับมือของเหยาเยี่ยนอวี่ไว้ไม่ยอมปล่อยพร้อมยิ้มอย่างตื่นเต้น

“พอเถอะ ไปเข้าพบท่านผู้เฒ่าและฮูหยินก่อนเถอะ” เหยาเยี่ยนอวี่ยกมือลูบผมเปียเงาสลวยข้างหูของเหยาเชวี่ยหวาพลางจูงมือนางแล้วเดินไปข้างหน้า

มีสาวใช้และผัวจื่อกลุ่มหนึ่งเดินประกบคุณหนูทั้งสองผ่านห้องโถงหน้าจนถึงเรือนด้านหลังของฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง มีสาวใช้เข้าไปรายงานตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว “เรียนฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยิน! คุณหนูรองกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”

ภรรยาของเหยาเหยียนเอินเจียงซื่อ และภรรยาของเหยาเหยียนอี้หนิงซื่อ ทั้งสองก็เดินตามกันไปต้อนรับตรงหน้าประตู มารดาเอกหวางซื่อที่นั่งอย่างสูงสง่าก็หันไปมองประตู ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งที่นั่งอย่างสง่าผ่าเผยบนเตียงหลัวฮั่น ในมือจับลูกประคำสีเหลืองขี้ผึ้ง พอเห็นเหยาเยี่ยนอวี่เข้ามาก็ยื่นมือออกไป “ยัยหนูรอง… มานี่เร็วเข้า!”

เหยาเยี่ยนอวี่เดินไปข้างหน้าสองก้าวแล้วคุกเข่าตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งพร้อมกับน้อมก้มกราบ กลับถูกฮูหยินผู้เฒ่าซ่งดึงเข้าไปในอ้อมกอดแล้วอุทานด้วยเสียงสั่นเทา “ยัยหนูรองของข้า! เฝ้าคำนึงถึงเจ้ายิ่งนัก!”

เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกแสบจมูกทันที น้ำเสียงแปรเปลี่ยนไปแล้วจึงพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “หลานสาวคนนี้ก็เฝ้าคำนึงถึงท่านย่าเช่นกันเจ้าค่ะ”

เจียงซื่อจึงรีบเข้าไปปลอบ “ฮูหยินผู้เฒ่ารอคอยมาหลายวัน วันนี้น้องรองกลับมาเสียที ทุกคนควรจะรู้สึกปลื้มปริ่มถึงจะถูก น้องรองร้องไห้เช่นนี้ภายในใจของฮูหยินผู้เฒ่าจะรู้สึกเสียใจมากเพียงใด”

เหยาเยี่ยนอวี่จึงรีบยกมือขึ้นมาเช็ดหางตาแล้วเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่เคล้าด้วยรอยยิ้มทันที “ข้าเองที่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเสียใจ”

“กลับมาก็ดี! กลับมาก็ดี!” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งลูบใบหน้าของเหยาเยี่ยนอวี่แล้วอุทานขึ้น “การจากไปครั้งนี้ก็เกือบปีแล้ว ยัยหนูรองคนนี้เติบโตขึ้นไม่น้อย ดูรูปลักษณ์หน้าตาภายนอกก็พริ้มเพรายิ่งดูยิ่งงดงามแล้ว!”

หนิงซื่อพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้ามองว่าบนเรือนร่างของน้องรองมีเงาของฮูหยินผู้เฒ่าแฝงอยู่”

“เจ้าตาดีที่สุด” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งดีใจขึ้นมาทันที มารดาผู้ให้กำเนิดเหยาเยี่ยนอวี่คือหลานสาวในเครือญาติของตระกูลผู้ให้กำเนิดนาง นางกับเหยาเยี่ยนอวี่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด บอกว่าบนเรือนร่างของเหยาเยี่ยนอวี่มีเงาของนางก็ไม่ใช่เรื่องโกหกอะไร

เหยาเยี่ยนอวี่เห็นฮูหยินผู้เฒ่าปลื้มปริ่มจึงน้อมก้มกราบฮูหยินผู้เฒ่าอีกครั้ง จากนั้นค่อยน้อมก้มกราบหวางซื่อ ท่าทีของนางดูเคารพถ่อมตน มีระเบียบเรียบร้อยกว่าช่วงก่อนที่อยู่ในจวน “ลูกสาวน้อมทักทายฮูหยินเจ้าค่ะ”

ตอนนี้หวางซื่อมองเหยาเยี่ยนอวี่ท่าทีทางจิตใจต้องไม่เหมือนเดิมอยู่แล้ว เหตุผลประการแรก บุตรีอนุภรรยาคนนี้ไม่ใช่บุตรีที่มีหรือไม่มีก็ได้อีกต่อไป แต่เป็นบุคคลที่แม้แต่ฮ่องเต้ยังให้ความสำคัญ ประการที่สองบุตรีคนนี้ช่วยชีวิตของบุตรีทางสายเลือดของตนเองไว้ ไม่เพียงแต่ฟื้นคืนชีพจากความตาย ซ้ำยังตั้งครรภ์ได้ อีกไม่นานก็ได้จะเป็นมารดาแล้ว

เดิมทีหวางซื่อยังนึกว่าครั้งนี้เหยาเยี่ยนอวี่กลับมาต้องเกิดความภาคภูมิใจที่ได้ผ่านความลำบาก กลับไม่นึกเลยว่านางจะรักจะชังก็ช่าง กระทั่งยังดูเคารพนับถือและกตัญญูกว่าแต่ก่อนมาก ทำให้คนจับต้องไม่ถูก ดังนั้นจึงรีบคลี่ยิ้มแล้วดึงนางเข้ามาพร้อมกับอุทาน “ยัยหนูรองเติบโตขึ้นจริงๆ ยิ่งโตยิ่งรู้กาลเทศะ นี่เป็นบุญวาสนาของฮูหยินผู้เฒ่าและเป็นวาสนาของข้าและนายท่านแล้วจริงๆ!”

ทุกคนต่างก็คล้อยตาม บอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินต่างก็มีวาสนาจริงๆ

เหยาเยี่ยนอวี่ก็ได้กล่าวทักทายพี่สะใภ้ทั้งสองท่าน และเอ่ยทักทายที่ได้พบกันอีกครั้ง

มีสาวใช้เข้ามารายงาน “คุณชายรองจะเข้ามาพบฮูหยินผู้เฒ่ากับฮูหยินเจ้าค่ะ” ขณะที่พูด เหยาเหยียนอี้ที่สวมชุดขุนนางขั้นห้าก็เดินเข้ามาในเรือน สาวใช้และผัวจื่อทั้งเรือนต่างก็โค้งลำตัวน้อมคำนับ

เหยาเหยียนอี้เดินตรงไปหน้าฮูหยินผู้เฒ่าแล้วน้อมก้มกราบด้วยความเคารพพร้อมกล่าวเสียงแจ่มใส “หลานขอน้อมทำความเคารพท่านย่า ขอให้ท่านย่ามีอายุยืนนาน มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงขอรับ”

ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเห็นแล้วก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น รีบยื่นมือไปพยุงเหยาเหยียนอี้พลางพูดขึ้น “วันนี้เจ้าก็เป็นขุนนางของราชสำนักแล้ว ตั้งหลักตั้งตัวสร้างครอบครัวสร้างอาชีพ เจ้าถือว่าได้ก้าวออกไปในก้าวที่มีความสำคัญแล้ว ภายภาคหน้าก็ต้องปฏิบัติหน้าที่และรับผิดชอบการงานที่ได้รับมอบหมาย และช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัว เป็นบุรุษที่ถูกหลักทำนองคลองธรรม”

เหยาเหยียนอี้พยักหน้าอีกครั้งแล้วตอบกลับเสียงใส “เช่นนั้นหลานจะจดจำคำสั่งสอนของท่านย่าเป็นอย่างดี”

ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งพูดขึ้นอีก “ยังไม่รีบน้อมทำความเคารพท่านแม่ของเจ้าอีก”

“ขอรับ” เหยาเหยียนอี้ขานรับหนึ่งคำแล้วหันไปก้มศีรษะให้กับหวางซื่อพร้อมกล่าวด้วยความเคารพนับถือ “ลูกขอน้อมทักทายท่านแม่ขอรับ”

หวางซื่อเห็นบุตรชายสวมใส่ชุดราชการ ภายในใจต้องปลื้มปริ่มมาก จึงรีบยื่นมือดึงบุตรชายของตนเอง มองบุตรชายด้วยสีหน้าที่เคล้าด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ พร้อมพยักหน้า “ท่านแม่แค่หวังว่าลูกจะสบายดี”

“ขอรับ ลูกรู้แล้วขอรับ” เหยาเหยียนอี้รีบโค้งลำตัวตอบกลับ

“ได้ยินว่าครั้งนี้ยังมีแขกเหรื่อมาที่จวน? เจ้ารีบไปต้อนรับแขกกับท่านพ่อของเจ้าเถอะ”

“ขอรับ” เหยาเหยียนอี้ตอบกลับแล้วหันไปมองฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง พร้อมกับน้อมคำนับ “ฮูหยินผู้เฒ่าขอรับ หลานขอตัวก่อนขอรับ”

ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งพยักหน้าอย่างรื่นเริงยินดี “เจ้าไปเถอะ พวกเราค่อยพูดคุยกันตอนดึกก็ไม่สาย”

เหยาเหยียนอี้ตอบกลับพลางถอยหลังไปสองสามก้าว หนิงซื่อถือโอกาสแอบตามออกไปข้างนอก พอเดินไปถึงใต้ชายคาระเบียง เหยาเหยียนอี้ก็ชะงักฝีเท้าแล้วหันมามองหนิงซื่อ

“ท่านพี่” หนิงซื่อหน้าแดงระเรื่อแล้วโค้งลำตัวลงเล็กน้อย สามีจากไปครั้งนี้ก็ไปนานถึงครึ่งปี วันนี้เขาสวมเสื้อไหมปักกลับบ้านเกิดเช่นนี้ ในความดีใจอย่างยิ่งของนางนั้นมีความรู้สึกโศกเศร้าแอบแฝง

เหยาเหยียนอี้ยื่นมือไปจูงมือนางไว้แล้วออกแรงบีบเล็กน้อย พูดเสียงเบา “ช่วงนี้ลำบากเจ้าแล้ว”

หนิงซื่อพยักหน้าตอบกลับ “ท่านพูดอะไรกัน นี่เป็นเรื่องที่ข้าสมควรทำ”

“มีอะไรค่อยคุยกันตอนกลางคืน เจ้ากลับไปปรนนิบัติรับใช้ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินก่อนเถอะ” เหยาเหยียนอี้ปล่อยมือหนิงซื่อแล้วคลี่ยิ้มบางๆ จากนั้นก็ยกแขนใช้หลังมือลูบใบหน้าที่แดงระเรื่อของหนิงซื่อค่อยหันหลังเดินจากไป

หนิงซื่อยืนอยู่ใต้ชายคาระเบียง ผ่านไปสักพักก็ไม่จากไปไหน

ผัวจื่อคนหนึ่งที่อยู่ข้างหลังเดินเข้ามาแล้วเตือนด้วยเสียงเบา “ฮูหยินสองเจ้าคะ อาหารจัดเตรียมเสร็จแล้ว พวกบ่าวกำลังรอคอยคำสั่งของท่านว่าจะให้ตั้งโต๊ะอาหารหรือยังเจ้าคะ”

หนิงซื่อดึงสติกลับมาแล้วกระแอมเบาๆ หนึ่งที “ข้าเข้าไปถามฮูหยินผู้เฒ่าเสียก่อน” พูดจบจึงหันหลังเดินเข้าไปในเรือน

ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งที่อยู่ข้างในกำลังพูดถึงชุดขุนนางที่หลานคนรองสวมใส่ ทำให้นางรู้สึกว่าเขายังพอมีเสน่ห์ พอเห็นว่าหนิงซื่อเข้ามาด้วยใบหน้าเขินอายไม่จางจึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “กับข้าวเตรียมเสร็จหรือยัง แม่เฒ่าอย่างข้าหิวแล้ว”

เจียงซื่อและหนิงซื่อจึงรีบสั่งให้ยกอาหารมาตั้ง ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งดึงเหยาเยี่ยนอวี่ไปอยู่ข้างกายแล้วเอ่ยถามอาการของเหยาเฟิ่งเกออย่างละเอียด หวางฮูหยินที่อยู่ข้างๆ ก็ตั้งใจฟังอย่างมาก เหยาเชวี่ยหวามองซ้ายมองขวา ทุกคนต่างก็กำลังยุ่งอยู่ ตนเองกลับไม่มีอะไรทำ จึงขยับไปข้างกายเหยาเยี่ยนอวี่แล้วฟังนางพูดอย่างเชื่อฟัง

ทันใดนั้นอาหารก็จัดวางบนโต๊ะอย่างครบครัน ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งดึงมือของเหยาเยี่ยนอวี่ไปนั่ง

เหยาเยี่ยนอวี่นั่งอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง น้องสาวเหยาเชวี่ยหวาก็นั่งอยู่อีกข้างหนึ่ง หวางฮูหยินนั่งตรงข้ามฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง สองที่นั่งว่างที่อยู่ข้างๆ ก็คือที่นั่งของเจียงซื่อและหนิงซื่อ แต่พวกนางสองคนมัวแต่ยุ่งกับการจัดโต๊ะอาหารให้กับฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจึงไม่กล้านั่งลง

ในเรือนหนิงรุ่ยเหล่าสตรีต่างก็พูดคุยเล่นกันอย่างมีความสุข ในห้องอักษรของข้าหลวงใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าก็กำลังเสวนากันอย่างครึกครึ้นเช่นกัน