ตอนที่ 200 การรวมญาติอีกครั้ง (3)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

ตอนที่ 200 การรวมญาติอีกครั้ง (3)

เหยาหย่วนจือได้รับตำแหน่งผ่านการสอบคัดเลือกขุนนางจึงรู้สึกเคารพนับถือเซียวหลินที่ไม่พึ่งพาอาศัยเส้นสายของท่านปู่เพื่อเข้ารับตำแหน่งขุนนาง ส่วนตอนนี้เว่ยจางก็เป็นทหารคนสนิทของฮ่องเต้ อีกทั้งยังได้รับคำสั่งฮ่องเต้ให้มาจัดการธุระทางการทหารที่เจียงหนาน เหยาหย่วนจือจึงถือว่าเขาเป็นแขกคนสำคัญ

ตอนนี้เหยาเหยียนเอินคือซือหนง[1][2] ของเจียงหนาน หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบโดยเฉพาะก็คือชลประทาน วันนี้เพราะรู้ว่าน้องรองกลับจวนจึงหาเวลาว่างเว้นหนึ่งวันหยุดงาน นึกไม่ถึงว่าท่านเซียวโหวกับท่านแม่ทัพเว่ยก็มาด้วย จึงบังเอิญมาต้อนรับแขกเหรื่อที่มาเยือนพอดี

วันนี้เป็นงานเลี้ยงทางครอบครัว โต๊ะอาหารของจวนข้าหลวงใหญ่ไม่มีขุนนางคนอื่น มีเพียงเหยาหย่วนจือสามพ่อลูก เซียวหลิน และเว่ยจาง พวกเขาทั้งห้าคนกำลังนั่งล้อมวงกัน

เจิ้นกั๋วกงเคยสู่ขอคุณหนูเหยาแทนเว่ยจาง เรื่องที่ต้องการสู่ขอเหยาเยี่ยนอวี่จึงไม่ใช่ความลับสำหรับตระกูลเหยา เหยาเหยียนเอินที่เป็นบุตรเอกคนโตก็ย่อมรู้เป็นเรื่องธรรมดา

ก่อนหน้านี้เขาก็รู้สึกอัดอั้นใจ แม่ทัพเว่ยท่านนี้ถูกร่ำลือว่าเป็นคนที่ลึกลับและแปลกพิลึก ไม่รู้ว่าแท้จริงเขาเป็นคนเช่นไรกันแน่ วันนี้พอได้มาเจอเข้า เว่ยจางมีเรือนร่างสูงใหญ่สง่าผ่าเผย นัยน์ตาเยือกเย็นลุ่มลึก เปี่ยมความสามารถ เป็นท่านแม่ทัพที่ยากจะพบเจอ หลังจากเสวนาและดื่มสุรากันไปไม่กี่จอกก็ยิ่งรู้สึกว่าแม่ทัพเว่ยท่านนี้ไม่เลว อย่างน้อยก็ดีกว่าซูอวี้เสียง

ซูอวี้เสียงแม้จะเป็นบุตรชายเอกของท่านโหว ทว่าเหตุผลประการแรกคือไม่มีทางสืบทอดตำแหน่งโหว และประการที่สองคือไม่มีความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ไว้สร้างเนื้อสร้างตัว อนาคตก็แค่พึ่งพาจวนโหวในการหางานและตำแหน่งหนึ่งทำเท่านั้น ซ้ำยังต้องใช้ชีวิตภายใต้การควบคุมของพี่ชาย หากเทียบกับท่านแม่ทัพเว่ยจางตรงหน้าท่านนี้ที่มีความสามารถของตนเอง อีกทั้งยังได้รับการให้ความสำคัญจากเจิ้นกั๋วกง แค่นึกถึงเรื่องเหล่านี้ ภายในใจของเหยาเหยียนเอินก็รู้สึกหมองเศร้าขึ้นมาเล็กน้อย

เว่ยจางไม่รู้ว่าเหยาเหยียนเอินกำลังคิดอะไรในใจ แค่นั่งอยู่ฟังทุกคนบนโต๊ะพูดคุยเล่นกันอย่างเงียบๆ เท่านั้น

เดิมทีเขาก็ไม่ชอบเสวนากับใคร ตอนนี้ข้างกายยังมีเซียวหลินที่เป็นคนช่างพูดอีก ทั้งยังมีถังเซียวอี้ที่เป็นมิตรและเข้ากันได้ทุกฝ่าย แน่นอนว่าไม่ต้องมากความอะไรมากมายอยู่แล้ว มีเพียงเหยาเหยียนเอินที่ยกจอกเหล้าแล้วมาชนกับตนเอง เขาก็แค่หัวเราะเบาๆ แล้วยกจอกเหล้าชนกับเหยาเหยียนเอินแล้วดื่ม

ครั้งนี้แม้ว่าคนในงานเลี้ยงครอบครัวจะไม่มาก ทว่าการพบปะกันด้วยการดื่มสุราดื่มเพียงพันแก้วก็ยังถือว่าน้อย ดังนั้นตอนที่เลิกราก็ได้เวลายามเซินแล้ว

อีกทั้งครั้งนั้นเรื่องที่เหยาหย่วนจือเมาเละเมะยังคงถูกจดจำไว้ภายในใจ ครั้งนี้ข้าหลวงใหญ่เจอเว่ยจางอย่างไรก็ต้องรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง ดังนั้นท่านแม่ทัพเว่ยก็ไม่กำกวมอะไร แค่ส่งถังเซียวอี้ไปมอมเหล้าข้าหลวงใหญ่เพื่อเป็นการแก้แค้น

ดั่งที่เขาว่ากันว่าสหายเป็นแขนขา เวลานี้หากไม่ให้สหายจัดการแล้วใครจะจัดการ

ทว่าตอนนี้เว่ยจางเองก็ดื่มไปไม่น้อย ส่วนถังเซียวอี้ดื่มมากกว่าเว่ยจางไปเกือบเท่าตัว ต่อให้ท่านรองแม่ทัพจะมีชื่อเสียงอันน่าเกรงขามว่าดื่มสุราพันจอกก็ไม่มึนเมาในค่ายทหาร ทว่าตอนนี้สีหน้ากลับขาวซีด นัยน์ตาเคล้าด้วยน้ำใสๆ

เหยาหย่วนจือสั่งให้คนไปเก็บกวาดเรือนรับแขกแล้วให้พวกเขาสองสามคนอยู่ต่อที่นี่ เซียวหลินผายมือพลางยิ้ม “วันนี้เป็นการรบกวนพวกท่านมามากพอแล้ว คุณชายรองเพิ่งจะกลับจวน ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้เจอหลานมานานเช่นนี้ ต้องมีคำพูดมากมายที่อยากเสวนา วันนี้พวกเราไม่รบกวนแล้ว วันรุ่งขึ้นข้ากับแม่ทัพเว่ยจะไปรายงานตัวที่ศาลาว่าการของใต้เท้าเหยา ภายภาคหน้าข้าก็คือขุนนางที่ทำงานตามคำสั่งของใต้เท้าเหยาแล้ว ได้โปรดท่านใต้เท้าช่วยชี้แนะด้วยขอรับ”

“ท่านเซียวโหวกำลังพูดก่นดาข้าอยู่หรือเปล่า” เหยาหย่วนจือก็ดื่มสุราไปไม่น้อย ตอนนี้จึงไม่ได้พูดคุยอย่างเป็นทางการ น้ำเสียงกลับเคล้าด้วยการหยอกล้ออย่างขำขัน

“มิบังอาจ มิบังอาจขอรับ” เซียวหลินทำมือคารวะ

เหยาเหยียนเอินสั่งให้พ่อบ้านเตรียมรถม้า ส่งเว่ยจาง เซียวหลิน และถังเซียวอี้ พาพวกเขาสามคนไปพักที่โรงเตี๊ยม เจียงหนิงหลังจากตบไหล่เหยาเหยียนอี้ก็คลี่ยิ้มอ่อน “น้องรองเดินทางมาไกลเยี่ยงนี้คงเหนื่อยน่าดู กลับไปพักผ่อนเถอะ”

เหยาเหยียนอี้พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่ เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน”

ตอนกลางคืนทั้งครอบครัวของตระกูลเหยาต่างก็รวมตัวกันที่เรือนหนิงรุ่ยอันเป็นเรือนที่พักของฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง เหยาเยี่ยนอวี่เดินหน้าไปน้อมก้มกราบเหยาหย่วนจือ

เหยาหย่วนจือมองบุตรีคนนี้ที่มีดำรงชีวิตอย่างไม่มีชื่อเสียงมาสิบหกปี พอเข้าเมืองหลวงครั้งนี้กลับโดดเด่นและมีอำนาจขึ้นมาในระยะสั้นๆ เขาจึงถอนหายใจอย่างลุ่มลึกแล้วลูบเคราพลางกล่าวขึ้น “ลุกขึ้นเถอะ กลับมาก็ดีแล้ว”

เหยาเยี่ยนอวี่เหยียดกายลุกขึ้นแล้วน้อมคำนับเหยาหย่วนจือ

เหยาเหยียนเอินคลี่ยิ้ม “น้องสาวเข้าเมืองหลวงครั้งนี้กลับรู้จักกฎระเบียบและมารยาทขึ้นมาก เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน”

เหยาเยี่ยนอวี่แค่คลี่ยิ้ม “ก่อนหน้านี้เยี่ยนอวี่ยังเด็กจึงไม่รู้ความ ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่า นายท่าน และฮูหยิน อีกทั้งพี่ชายสองคนคอยกังวลใจแล้ว”

ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งคลี่ยิ้ม “คำพูดนี้ช่างดูเหมือนห่างเหินยิ่งนัก เขาคือพี่ชายของเจ้า กังวลใจและครุ่นคิดเผื่อเจ้าก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว”

“รีบนั่งเถอะ” เหยาหย่วนจือสั่งการ เหยาเหยียนเอินและน้องชาย พร้อมกับเหยาเยี่ยนอวี่และน้องสาวต่างก็แยกย้ายกันไปนั่ง

สำหรับเรื่องที่เกี่ยวกับเหตุผลการกลับมาครั้งนี้ของเหยาเยี่ยนอวี่ เหยาเหยียนอี้ก็แอบบอกบิดาอย่างเงียบๆ ไปแล้ว เหยาหย่วนจือรู้ว่าบุตรีคนนี้ของตนเองก็อยู่ในจวนต่อไม่ได้ ภายในใจก็ยิ่งเศร้าหมองมากยิ่งขึ้น

ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกลับไม่รู้ นางแค่รู้ว่าหลานสาวบุตรีอนุภรรยาคนนี้แอบเรียนวิชาการแพทย์ที่อัศจรรย์ ไม่เพียงแต่รักษาหลานสาวเอกหาย ยังรักษาขาของเจิ้นกั๋งกง ซื่อจื่อ อีกทั้งยังได้รับการโปรดปรานจากองค์หญิงใหญ่หนิงหวา

ฮูหยินผู้เฒ่าคิดว่ายัยหนูรองเป็นเช่นนี้ต้องออกเรือนกับตระกูลที่ดีแน่นอน หรือพูดในทางกลับกันก็คือ ไม่ว่าใครอยากจะสู่ขอหลานสาวคนนี้ของตนก็เท่ากับว่าได้ขึ้นเรือลำใหญ่ของจวนเจิ้นกั๋วกง อนาคตต้องไร้ความกังวลใดๆ แน่นอน

ทันใดนั้นฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจึงคิดถึงคนๆ นี้ ในใจดังนั่นจึงเอ่ยถามเหยาหย่วนจือ “อี้เกอร์ผ่านการคัดเลือกขุนนางแล้ว ปี้เซี่ยะยังทรงประทานพระมหากรุณาธิคุณให้ให้เขาเป็นขุนนางขั้นห้า นี่ก็เป็นเรื่องที่ยินดีอย่างยิ่ง อย่างไรก็ต้องเชิญเครือญาติและคนสนิทมิตรสหายของจวนมาร่วมเฉลิมฉลองอยู่แล้ว”

เหยาหย่วนจือรีบพูดขึ้น “ท่านฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวถูกขอรับ ลูกก็คิดว่าในจวนไม่มีเรื่องมงคลเกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว วันนี้เรื่องของเหยียนอี้เป็นเรื่องน่ายินดีของจวน ก็ควรที่จะเฉลิมฉลองดีๆ สักครั้งอยู่แล้ว ทว่าถึงจะผ่านช่วงไว้อาลัยไทเฮาแล้ว แต่เฟิ่งเกอก็แต่งเข้าจวนโหว อย่างไรก็ถือว่ามีเลือดเนื้อเชื้อไขของราชวงศ์ อย่างไรก็ไม่ควรเฉลิมฉลองอย่างโอหังเกินไป แค่เชิญญาติๆ คนสนิทของตระกูลเท่านั้นก็พอ”

หลังจากพูดคำๆ นี้จบ เหยาหย่วนจือมองหวางซื่อแล้วกำชับขึ้น “เรื่องสินบนก็ต้องระมัดระวังหน่อย ของที่ล้ำค่าเกินไปก็ปฏิเสธกลับไป สิ่งที่ฮ่องเต้ทรงไม่โปรดปรานที่สุดก็คือข้าหลวงใหญ่ถือโอกาสรับสินบน การสอบคัดเลือกขุนนางครั้งนี้ก็มีเพียงท่านเซียวโหวและเหยาเหยียนอี้ที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นขุนนางขั้นห้า ไม่รู้ว่ามีคนมากเพียงใดที่กำลังอิจฉาตาร้อนในที่ลับ พวกเราอย่าให้ผู้อื่นมาดูถูกเหยียดหยามเด็ดขาด”

หวางซื่อคลี่ยิ้ม ตอบกลับ “ท่านพี่กล่าวถูกต้อง พวกเราทราบแล้วเจ้าค่ะ” กล่าวแล้วก็หันไปสั่งให้เจียงซื่อเอารายชื่อของแขกเหรื่อให้เหยาหย่วนจือ “จวนจิ้งหนานปั๋วที่เป็นตระกูลผู้ให้กำเนิดซ่งซื่อ จวนจือจ้าวที่เป็นตระกูลของหวางซื่อ จวนขุนนางสังเกตการณ์หยางโจวที่เป็นตระกูลของเจียงซื่อ และจวนหนิงจือที่เป็นท่านพ่อของหนิงซื่อ จวนพวกนี้เป็นตระกูลที่ทางจวนต้องเชิญ มีจวนไม่กี่จวนที่นอกจากเป็นจวนสหายของนายท่านผู้เฒ่าแล้ว ก็ยังมีอีกสองสามกี่จวนที่เป็นญาติ พวกเราก็ไม่เชิญไม่ได้ ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะหาว่าพวกเราไม่ให้ความสำคัญ สำหรับจวนอื่นๆ ก็ไม่จำเป็นต้องส่งเทียบเชิญไปให้ หากผู้ที่ดื้อดึงที่จะมาร่วมเฉลิมฉลอง พวกเราก็จะไม่ไล่กลับไป แค่ดูให้ดีว่าอย่าไปรับสินบนที่ล้ำค่าก็พอ”

เหยาหย่วนจือพยักหน้า “เรื่องพวกนี้ฮูหยินก็จัดการเองเถอะ”

เหยาเยี่ยนอวี่ฟังอยู่ข้างๆ เงียบๆแล้วแอบครุ่นคิดว่า บิดาของตนเป็นใต้เท้าที่ทำงานรอบคอบดั่งที่คาดไว้ไม่มีผิด ไม่มีข้อผิดพลาดแม้แต่ประการเดียว

ก่อนหน้านี้เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ทว่าผ่านประสบการณ์ไปเมืองหลวงครั้งนี้นางก็รู้ว่าหลักครองตนในสังคมเป็นความสามารถชนิดหนึ่งที่คนๆ หนึ่งจะพาตนให้มีชีวิตรอดบนโลก ไม่ว่าจะยินยอมหรือไม่ นางก็จะค่อยๆ เรียนรู้ที่จะรับมือกับคนพวกนี้

[1]ซือหนง เป็นขุนนางที่มีหน้าที่ดูแลเรื่องการคลังของประเทศรายได้และภาษีที่นาภาษีสัมปทานบริหารการขนส่งและการค้าทางน้ำดูและจัดการทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรอันเกิดจากการสร้างของมนุษย์ในแต่ละท้องที่และภาษีอื่นๆทุกๆประเภทตลอดจนการจัดสรรงบประมาณเบิกจ่ายของประเทศเป็นต้น