บทที่ 208 ยินดีต้อนรับคุณชาย

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 208

ยินดีต้อนรับคุณชาย

ณ ห้องโถงใหญ่ หลินซีเหยียนก็ได้นั่งอยู่ที่เก้าอี้ไม้แดง ก็ได้หยิบน้ำชาที่เพิ่งนำมาขึ้นดื่ม ซึ่งดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยความครุ่นคิด

เจียงหวายเย่ก็ได้นั่งลงข้างๆนาง ส่วนหวายฉ่าวก็ได้นั่งลงตรงข้ามหลินซีเหยียน

ไม่นานนักฮูหยินอวี้ก็ได้ถูกพามา ซึ่งหลินซีเหยียนไม่ได้พบนางแค่ไม่กี่วัน แต่สีหน้าของฮูหยินอวี้นั้นดูแย่มาก ราวกับว่านางนั้นสุขภาพไม่ค่อยดีจากการใช้ยาบำรุงยังไงอย่างงั้น

แต่ก็เป็นไปไม่ได้ ด้วยความอึดความทนของฮูหยินอวี้แล้ว ต่อให้นางถูกทำไม่ดีใส่จริงๆแค่วันสองวัน ก็เกรงว่านางนั้นคงไม่อยู่ในสภาพเช่นนี้แน่ๆ

“นายท่านเรียกหาข้าทำไมหรือเจ้าคะ?”

ท่าทางของฮูหยินอวี้นั้นดูบอบบางมากกว่าแต่ก่อนมาก ด้วยใบหน้าที่ซีดเซียวของนาง ทำให้มหาเสนาบดีรู้สึกใจอ่อนและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลง

“เป็นซีเหยียนต่างหากที่มีธุระกับเจ้าน่ะ”

ฮูหยินอวี้ก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนและกล่าว “เป็นคุณหนูรองนี่เอง! ไม่ทราบว่าคุณหนูรองมีธุระอะไรกับข้าอย่างนั้นหรือ?”

หลินซีเหยียนก็ได้หยิบเอาโฉนดที่จิ่งชุนนำมาให้แล้วก็โยนลงตรงหน้าของฮูหยินอวี้ “ท่านยังจำสิ่งนี้ได้หรือไม่ฮูหยิน?”

“นี่คือ….โฉนดของโรงเตี๊ยมซื่อฟางนี่นา” ฮูหยินอวี้กล่าวราวกับว่านางนึกอะไรบางอย่างออกได้แล้วจากสีหน้าของนางก็ได้ค่อยๆซีดลงเรื่อยๆ

ถ้านางนั้นไม่รู้ว่าหลินซีเหยียนนั้นหมายถึงอะไร ก็เกรงว่านางนั้นคงมีชีวิตอยู่มานานอย่างไร้ค่านัก

แล้วนางก็ได้มองไปที่คนที่ดูคุ้นหน้าคุ้นตาที่นั่งอยู่ด้านข้างและคิดว่าวันนี้นางคงไม่อาจปิดซ่อนได้อีกต่อไปแล้ว จึงได้พูดออกมาตรงๆ “ข้าจำได้ว่าครั้งหนึ่งเมื่อสามปีก่อนในยามที่ทางราชสำนักจำเป็นต้องใช้เงินอย่างเร่งด่วน ข้าจึงได้ตัดสินใจที่จะเอาที่ดินส่วนหนึ่งไปจำนองโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตน่ะเจ้าค่ะ”

ดวงตาของหลินซีเหยียนก็ได้มืดดำขึ้นมา ส่วนฮูหยินอวี้เองก็เป็นคนฉลาดนัก ก่อนที่นางจะถูกกล่าวหาว่าทำผิดนางนั้นก็ได้สารภาพออกมาเองก่อนและปัดทุกสิ่งอย่างให้กับคนที่อยู่ข้างหลังนาง

ในเวลานี้นางนั้นทำได้แค่กล่าวอย่างแห้งๆเท่านั้น “แล้วในเวลานี้ร้านนั้นข้าได้อนุญาตให้เทียนเอ๋อไปเปิดโรงเตี๊ยมซื่อฟางแล้ว ดังนั้นฮูหยินอวี้ก็จำเป็นจะต้องชำระคืนค่าจำนองที่ให้ท่านหวายฉ่าวเพื่อเอาโฉนดคืนมา”

“คุณหนูรองกล่าวมาก็มีเหตุผล แต่ทว่าเงินของข้านั้นได้ให้นายท่านไปเมื่อไม่กี่วันก่อนเรียบร้อยแล้ว ในเวลานี้ข้าจึงไม่สามารถที่จะจ่ายเงินคืนได้”

แล้วสีหน้าของฮูหยินอวี้ก็ได้ดูสับสนอย่างมาก โดยมีความอายเจือปนอยู่ด้วย

มหาเสนาบดีหลินก็พลันรู้สึกหดหู่ขึ้นมา เพราะในเวลานี้ฮูหยินอวี้นั้นจนมากซึ่งก็เป็นเพราะเขา เขาจึงได้เปิดปากและกล่าว “นี่ซีเหยียน ก็แค่โฉนดที่ดินแปลงเดียว เจ้าช่วยปล่อยผ่านไปได้ไหม อย่าทำให้ฮูหยินอวี้ต้องลำบากใจเลย”

ไม่จำเป็นต้องให้ฮูหยินอวี้จ่าย? ที่มหาเสนาบดีหลินหมายถึงคือปล่อยให้นางจัดการจ่ายหนี้ด้วยตัวเองอย่างงั้นเหรอ? ต้องเป็นคนลำเอียงขนาดไหนถึงได้ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรเช่นนี้

ในขณะที่หลินซีเหยียนกำลังจะโต้แย้งอยู่นั้นเอง หวายฉ่าวก็ไม่อาจที่นั่งอยู่เฉยๆได้

“ท่านมหาเสนาบดี ท่านจะพูดว่าเป็นแค่โฉนดที่ดินแปลงเดียวไม่ได้นะขอรับ? ท่านรู้หรือไม่ว่ามูลค่าของที่ดินแปลงนั้นมันเท่าไรแล้ว?”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังอึกอักไม่พูดอะไร หวายฉ่าวก็ได้พูดต่อ “เพราะธุรกิจที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆของโรงเตี๊ยมซื่อฟางได้ทำให้พื้นที่บริเวณในบริเวณเติบโตขึ้นด้วย ทำให้โรงเตี๊ยมซื่อฟางนั้นสามารถเรียกได้ว่าเป็นทำเลทองทั้งเรื่องของสถานที่และแวดล้อม ดังนั้นหากไม่มี 10,000 ตำลึงมาจ่ายแล้ว ข้าจะไม่ยอมมอบโฉนดนี้ให้เด็ดขาด”

10,000 ตำลึง? มหาเสนาบดีหลินรู้สึกถูกเด็กหนุ่มทำให้ขายหน้าแล้วกล่าวอย่างไม่พอใจ “นี่มันขู่กรรโชกกันชัดๆ ในฐานะมหาเสนาบดีของประเทศนี้แล้ว ข้าไม่อาจปล่อยให้เจ้าลอยนวลต่อไปได้แล้ว”

นี่มันหักด้ามพร้าด้วยหัวเข่าชัดๆ

แล้วมุมปากของหลินซีเหยียนก็กระตุกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

เดิมทีมหาเสนาบดีหลินนั้นคิดว่าหลังจากที่พูดเช่นนี้แล้วหวายฉ่าวนั้นจะยอมแพ้ แต่หวายฉ่าวนั้นกลับหาได้หวาดกลัวไม่ เพราะเขานั้นเคยถูกข่มขู่โดยสิ่งที่น่ากลัวกว่านี้มาแล้ว

“ท่านมหาเสนาบดี? เป็นถึงมหาเสนาบดีแต่ทำไมถึงเป็นคนไม่มีเหตุผลเช่นนี้?” หวายฉ่าวก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวราวกับเห็นสิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น “เดิมทีข้าคิดว่าท่านมหาเสนาบดีจะเป็นคนที่ดูสง่างามและน่าเกรงขาม อีกทั้งยังเห็นความเป็นอยู่ของผู้คนเป็นสำคัญ”

มหาเสนาบดีก็ได้จ้องไปที่เขาอย่างติเตียน แล้วจากนั้นก็ได้กล่าวด้วยท่าทีที่น่าเกรงขาม “ข้ามหาเสนาบดีก็แค่พูดไปตามความจริงเท่านั้น”

หวายฉ่าวก็ได้หัวเราะเสียงดังและกล่าว “ช่างเป็นคนมองโลกความเป็นจริงเหลือเกินนะ ฮ่องเต้ในพระราชวังคงไม่รู้สินะว่า ขุนนางผู้ใหญ่ที่เขาแต่งตั้งขึ้นมานั้นจะทำตัวยิ่งใหญ่เช่นนี้เวลาอยู่ที่บ้าน ถ้าหากมีคนพูดเช่นนี้ต่อหน้าฮ่องเต้ขึ้นมาจะเป็นยังไงนะ?”

ถึงแม้ว่าตระกูลหวายของหวายฉ่าวนั้นจะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักนัก แต่ก็พอจะรู้จักคนใหญ่คนโตในพระราชสำนักอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงทำธุรกิจเช่นนี้ในเมืองหลวงไม่ได้แน่

เรื่องของการยักยอกในพระราชวังนั้นเพิ่งผ่านพ้นไปได้ไม่นาน และฮ่องเต้ก็ยังคงเสียพระทัยกับตัวเขาอยู่ ถ้าหากเรื่องนี้ล่วงรู้เข้าหูของฮ่องเต้อีก ก็ไม่อยากจะนึกถึงผลที่จะตามมาเลย

จะล่วงเกินตระกูลหวายหรือจะให้ฮูหยินอวี้ยอมแพ้ มหาเสนาบดีหลินนั้นรู้สึกได้ว่าเรื่องนี้มันหนักหนากว่าที่คิดแล้ว

เขาจึงได้มองไปที่หวายฉ่าว “อย่าได้ทำให้ฮ่องเต้ต้องลำบากพระทัยเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้เลยน่า”

ฮูหยินอวี้ที่เป็นหมอนข้างของมหาเสนาบดีหลินมานานหลายปีย่อมมองคนรักของนางออกได้อย่างชัดเจน นางจึงได้ยิ้มอย่างเย้ยหยันแล้วกล่าว “อย่าเพิ่งโมโหเลยนะคุณชายหวาย ก็แค่เงินหมื่นตำลึงเองข้าจะจ่ายให้ก็ได้”

แล้วสีหน้าของหวายฉ่าวก็ได้ผ่อนคลายลงมา แต่มหาเสนาบดีหลินกลับคิ้วขมวด อีกฝ่ายคงจะยังไม่รู้แต่เขานั้นรู้อย่างชัดเจน ในเวลานี้ตระกูลอวี้นั้นได้อ่อนแอลงอย่างมาก และจะเอาที่ไหนมาจ่าย 10,000 ตำลึงให้ฮูหยินอวี้ได้

แล้วเขาก็ได้มองไปที่ฮูหยินอวี้ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย

ฮูหยินอวี้ที่รู้สึกได้ถึงสายตานี้ ก็ได้เผยรอยยิ้มที่ประชดประชันของนางออกมา “มันมีสมุนไพรตัวหนึ่งอยู่ในโกดังเก็บของๆท่าน เป็นโสมพันปีก็น่าจะราคาสัก 10,000 ตำลึงได้”

“ไม่ได้” ก่อนที่ฮูหยินอวี้จะกล่าว มหาเสนาบดีก็ได้ห้ามก่อน “สมุนไพรอันนั้นเป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ประทานมาให้ จะเอามาขายใช้หนี้ไม่ได้เด็ดขาด”

ดูเหมือนว่าฮูหยินอวี้เองก็คาดเดาท่าทีนี้ของมหาเสนาบดีหลินเอาไว้แล้ว ฮูหยินอวี้จึงได้มองไปที่อีกฝ่ายอย่างไร้อารมณ์แล้วกล่าว “แล้วท่านจะให้ข้าทำเช่นไรดี หรือว่าจะต้องใช้หนี้ด้วยชีวิตของข้า?”

ถูกจ้องมองด้วยสายตาเหินห่างนั้น ทำเอาเสนาบดีหลินถึงกับพูดไม่ออก

กลับกันหวายฉ่าวก็ได้ตบปากของตัวเองแล้วกล่าว “ชีวิตของท่านมีค่าไม่ถึง 10,000 ตำลึงหรอก”

ท่ามกลางวิกฤติเช่นนี้ มหาเสนาบดีหลินก็ได้จ้องไปที่หลินซีเหยียนอีกครั้ง แล้วกล่าวอย่างตรงๆ “ซีเหยียน, พ่อรู้ว่าเจ้าไม่ได้ขัดสนนัก เจ้าช่วยฮูหวินอวี้หน่อยเถอะ!”

คิดเหรอว่าหลินซีเหยียนนั้นจะยอมเออออห่อหมกด้วยง่ายๆ? นางก็ได้ยิ้มให้มหาเสนาบดีหลินแล้วตอบ “ท่านมหาเสนาบดีหลิน ข้าเป็นเพียงแค่ผู้เยาว์ จะไปมีเงินมากมายเช่นนั้นได้อย่างไร? นอกจากนี้ท่านลืมไปแล้วเหรอว่าที่ห้องทำงานของท่านมีจานฝนหมึกโบราณอยู่น่ะ”

“จานฝนหมึกโบราณ?” ถึงแม้ว่าหวายฉ่าวนั้นจะชื่นชอบเงินแต่เขาก็ยังชอบสะสมจานฝนหมึกมากอีกด้วย เมื่อได้ยินว่าจานฝนหมึกโบราณที่คุณภาพดีตาของเขาก็ได้ส่องประกายขึ้นมาทันที

ฮูหยินอวี้เองเดิมทีก็เป็นคนฉลาดอยู่แล้ว หลังจากที่ได้ยินที่หลินซีเหยียนพูดแล้ว นางก็ได้กล่าวตามน้ำทันที “ท่านพี่เจ้าคะ เดิมทีเงินนั้นถูกใช้เพื่อช่วยท่านในเวลานั้นนะเจ้าคะ ในเวลานี้ท่านจะมาลังเลเพียงเพราะจานฝนหมึกแท่งเดียวได้เช่นไรเจ้าคะ?”

ดวงตาของมหาเสนาบดีหลินก็ได้จ้องมองตรง ในเมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ยังจะมีหนทางพอให้เขาเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรือไม่?

ซึ่งคำตอบคือ “ไม่”…..

มหาเสนาบดีหลินจึงทำได้เพียงส่งคนไปเอาจานฝนหมึกมาอย่างปวดหัว และพอนำมาให้หวายฉ่าวแล้ว หวายฉ่าวก็ได้ผงกหัวซ้ำไปซ้ำมา “ถึงแม้ว่าจานฝนหมึกนี้จะมีราคาไม่ถึง 10,000 ตำลึงเงิน ถึงข้าจะขาดทุนนิดหน่อย แต่วันนี้ข้ารู้สึกอารมณ์ดีนักจะยอมหยวนๆให้ก็แล้วกัน”