คนเริ่มเรื่องไปแล้ว เซียวจิ้งยี่โบกมือทีหนึ่ง กล่าวกับชาวบ้านที่มุงดูอยู่ “แยกย้ายได้แล้ว”
ชาวบ้านที่มุงดูต่างก็ทยอยกันกลับไป ศาลบรรพชนที่เมื่อครู่ยังมีคนอยู่เต็ม บัดนี้เหลือเพียงสามีภรรยาเซียวจิ้งยี่และสามีภรรยาเซียวยวี่ รวมถึงเด็กสองคนเท่านั้น
เซียวจื่อเมิ่งโอบแขนเซี่ยยวี่หลัวไว้แน่น กะพริบตาพร้อมเอ่ยถาม “พี่สะใภ้ใหญ่ คราวนี้ท่านไม่ไปแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ? ”
เซี่ยยวี่หลัวตวัดนิ้วลูบสันจมูกนางด้วยความเอ็นดู เพียงยิ้มโดยไม่กล่าวอะไร
นางอยากไปจริงๆ แต่ก็ไม่อาจตัดใจไปจากเด็กสองคน หากนางอยู่ต่อ ก็กังวลเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนางและเซียวยวี่ในอนาคต
สุดท้ายนางเอกก็ต้องปรากฏตัว ส่วนนางเอง สุดท้ายก็เป็นเพียงคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเซียวยวี่ หลังจากเด็กสองคนเติบใหญ่ ก็ไม่ต้องการนางอีกต่อไป
เซียวจื่อเซวียนโอบแขนเซี่ยยวี่หลัวอย่างเบิกบานใจ กล่าวด้วยท่าทางยิ้มแย้ม “พี่สะใภ้ใหญ่ไม่ไปแล้ว พี่สะใภ้ใหญ่จะไม่ไปที่ไหนทั้งนั้น พี่สะใภ้ใหญ่จะอยู่กับพวกเราตลอดไป! ”
เซียวจื่อเมิ่งเพิ่งยอมปล่อยมือที่โอบเซี่ยยวี่หลัวไว้ ปรบมือพร้อมหัวเราะร่า “ดีเหลือเกิน พี่สะใภ้ใหญ่ไม่ไปแล้ว พี่สะใภ้ใหญ่ไม่ไปแล้ว”
เซียวยวี่เห็นท่าทางดีอกดีใจของสองพี่น้อง ใบหน้าที่ดูเย็นเยียบประหนึ่งน้ำค้างแข็งมาตลอดจึงเผยรอยยิ้มบางออกมา เมื่อมองไปทางเซี่ยยวี่หลัว นางก้มหน้าอยู่ตลอด ดวงหน้าฉายประกายยิ้มแย้ม จ้องมองเด็กสองคนด้วยความรักและเมตตา ราวกับว่าในโลกของนาง มีเพียงเด็กสองคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ภายในใจเซียวยวี่เกิดความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย
ความรู้สึกนั้น ช่างไม่ดีเอาเสียเลย!
“เซียวยวี่ เรื่องในวันนี้ต้องขอโทษด้วย” เซียวจิ้งยี่รู้สึกผิดต่อเซียวยวี่ หากไม่ใช่เพราะเขา เซียวจินก็ไม่มีทางทำให้เรื่องราวใหญ่โตได้ถึงเพียงนี้
เซียวยวี่สามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้ “หัวหน้าหมู่บ้าน เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพราะท่าน หากข้าเป็นท่าน ข้าก็จะทำเช่นนี้ขอรับ! ”
ถึงอย่างไร ภรรยาของเขาเดิมทีก็มีชื่อเสียงไม่ค่อยดีนัก
“เจ้าเข้าใจก็ดี” เซียวจิ้งยี่ผ่อนลมหายใจยาว “เซียวจินกับเถียนเอ๋อ คราวนี้น่าจะสำนึกผิดแล้ว เกิดเรื่องในวันนี้ขึ้น ภายในหมู่บ้าน ต่อไปคงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก ภรรยาเซียวยวี่ วันนี้ต้องขอบคุณเจ้ามาก”
เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ขอบคุณข้าเรื่องอะไรเจ้าคะ? ”
เซียวจิ้งยี่หัวเราะพร้อมกล่าว “ขอบคุณที่เจ้าเป็นผู้ใหญ่ไม่ถือสาผู้น้อย หากเจ้าไม่ปล่อยเขาไป ครอบครัวเซียวจิน เกรงว่าคงต้องถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้านสกุลเซียวจริง เซียวจินผู้นี้ก็ไม่ใช่คนชั่วช้าต่ำทราม เจ้าปล่อยให้เขามีทางรอด เขาย่อมรู้จักสำนึกบุญคุณ! ”
เซี่ยยวี่หลัวเข้าใจทันที ที่แท้ก็หมายถึงเรื่องนี้
นางยิ้มทีหนึ่ง คิ้วงามโก่งโค้งประหนึ่งเสี้ยวพระจันทร์ “เดิมทีข้าก็ไม่ได้คิดจะขับไล่เขาออกจากหมู่บ้านสกุลเซียวอยู่แล้วเจ้าค่ะ! ข้าเพียงแค่ข่มขู่เขาเท่านั้นเอง! ”
ยามเซี่ยยวี่หลัวเอื้อนเอ่ยวาจา ช่างดูทะเล้นน่ารักเหมือนเด็กคนหนึ่ง นัยน์ตาสีดำหยาดเยิ้มทั้งคู่ เมื่อกะพริบตาก็ราวกับจิ้งจอกที่เจ้าเล่ห์ ทำให้รู้สึกว่าทั้งน่าขันและน่าหลงใหล
กวั่นซื่อยิ้มจนตาหยีขณะเดินขึ้นหน้ามาโอบแขนเซี่ยยวี่หลัว หัวเราะร่าพร้อมกล่าว “ข้าบอกแล้วว่ายวี่หลัวไม่ใช่คนเช่นนั้น เห็นหรือไม่ นี่คือการใส่ร้าย”
เซี่ยยวี่หลัวกล่าวจากใจจริง “ท่านป้า ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ”
ถึงแม้เรื่องที่กวั่นซื่อมาส่งข่าว ไม่สามารถช่วยเหลือเซี่ยยวี่หลัวได้แม้แต่น้อย แต่นางคิดถึงตนเอง ช่วยส่งข่าวให้ตนเอง ก็ถือเป็นบุญคุณใหญ่หลวงแล้ว
กวั่นซื่อยิ้มพร้อมกล่าว “ขอบคุณอะไรกัน คุยกันไว้แล้วว่าเจ้าจะสอนข้าทำซาลาเปา เมื่อไรเจ้าจะมีเวลามาบ้านข้า? ”
“ท่านว่างเมื่อใด ข้าก็ไปเมื่อนั้นเจ้าค่ะ! ” เซี่ยยวี่หลัวก็ยิ้มเช่นกัน
ยามนางแย้มรอยยิ้ม ตัวนางดูนิ่งเงียบอย่างเรียบสงบ ความรู้สึกนั้น ทำให้ผู้อื่นรู้สึกสบายยิ่งนัก
“ได้ อย่าเลือกเวลาอะไรเลย ตอนนี้แล้วกัน ท่านพี่ พวกเราเชิญสามีภรรยาเซียวยวี่ไปกินมื้อเที่ยงที่บ้านเรา ท่านว่าดีหรือไม่? ” กวั่นซื่อหันกลับไปเอ่ยถามเซียวจิ้งยี่ “ยังมีซาลาเปาลูกใหญ่ของภรรยาเซียวยวี่ที่ข้าบอกท่านคราวก่อน ท่านชอบกินซาลาเปาไส้หมูไม่ใช่หรือ? วันนี้ให้ภรรยาเซียวยวี่แสดงฝีมือ ข้าจะได้เรียนรู้ ต่อไปทำให้ท่านกิน”
พอเซียวจิ้งยี่ได้ยินว่าจะได้กินซาลาเปาไส้หมูที่ทั้งใหญ่ทั้งหอมอร่อย ก็ยิ้มจนตาหยีทันที “เช่นนั้นยังรออะไรอีก ไปตอนนี้เลย! ”
เพราะยังมีข้าวของอีกสองตะกร้า เซียวจื่อเซวียนและเซียวจื่อเมิ่งจึงกลับไปพร้อมสามีภรรยากวั่นซื่อก่อน
ที่บ้านกวั่นซื่อมีเด็กอายุไล่เลี่ยกัน เด็กสามารถเล่นด้วยกันได้ สองพี่น้องเซียวจื่อเซวียนจึงตามไปด้วย
เซียวยวี่หาบตะกร้า เดินไปทางบ้านช้าๆ
ตะกร้าหนักมาก ในนั้นใส่ของไว้เต็ม ถึงแม้เซียวยวี่จะรูปร่างผอม แต่อย่างไรก็เป็นบุรุษ หาบตะกร้าจึงไม่ได้รู้สึกเหนื่อยมากนัก
เซี่ยยวี่หลัวไม่ยินยอมจะเดินกับเขา จึงเดินตามหลังเซียวยวี่อย่างเชื่องช้า นางมองดูแผ่นหลังซูบผอมนั่น เดินไปด้วยอาการเหม่อลอย
เซียวยวี่หาบตะกร้า ตะกร้าที่หนักอึ้งไม่เพียงแต่ไม่ได้กดทับจนแผ่นหลังของเขางอ ตรงกันข้าม เขาเหยียดหลังตรงประหนึ่งต้นสนก็มิปาน เหยียดหลังตรงสาวเท้าก้าวใหญ่เดินไปข้างหน้าด้วยฝีเท้าที่มั่นคง
รูปร่างซูบผอม กลับมีช่วงไหล่กว้างเอวคอด ชุดตรงยาวสีเทาที่ถูกซักจนสีซีด ทำให้ช่วงเอวดูผอมเพรียว เค้าโครงเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ แค่มองแผ่นหลัง ชุดตรงที่ซักจนสีซีดไม่อาจปกปิดบุคลิกสูงส่งของเซียวยวี่ได้เลย ทำให้เห็นแล้วยากจะลืมเลือน เมื่อได้พบอีกครั้งก็เกิดความพึงใจ
ในหนังสือบรรยายไว้ว่านางเอกเป็นสตรีผู้เลอโฉมที่หาได้ยาก ไม่ต่างกับเซี่ยยวี่หลัวมากนัก ทั้งยังมีฐานะสูงส่ง เทียบกับหญิงชาวบ้านที่เติบโตจากพื้นที่ชนบท ไม่รู้ว่าฐานะสูงส่งกว่ากี่เท่าตัว
อีกฝ่ายทั้งรู้บทเพลงบทกวี ทั้งยังบรรเลงพิณ เล่นหมากล้อม เขียนพู่กันและวาดภาพเป็น ถือเป็นสตรีผู้มีความสามารถทั้งยังมีรูปโฉมงดงาม หญิงงามที่หายากเช่นนั้น กลับต้องตาต้องใจเซียวยวี่ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น
ดูท่า รูปลักษณ์หน้าตาของเซียวยวี่ คงดึงดูดความสนใจจากนางเอกได้อย่างจัง!
หากนางไม่รู้จุดจบของนิยายอยู่แล้ว ไม่แน่ว่า บุรุษเช่นนี้ นางเองก็คงจิตใจหวั่นไหวเหมือนกัน หน้าตาดี รูปร่างดี ทั้งยังมีความรู้ความสามารถ ในอนาคตยังประสบความสำเร็จถึงเพียงนั้น จะมีสตรีชื่นชมเขามากเพียงใดกัน!
เพียงแต่น่าเสียดายนัก เซี่ยยวี่หลัวรู้จุดจบของตัวเอง นางจึงไม่คิดจะทุ่มเทแรงกายแรงใจให้เซียวยวี่แม้แต่น้อย
ถึงแม้เซียวยวี่จะเดินอยู่ด้านหน้า แต่ก็คอยฟังเสียงด้านหลังอย่างตั้งใจตลอด
รองเท้าปักลายของสตรีด้านหลังที่เหยียบบนดินโคลน แทบไม่มีเสียงใดๆ แต่เซียวยวี่ตั้งใจฟัง ยังสามารถได้ยินเสียงฝีเท้าของนางที่เดินตามติดอยู่ด้านหลังเขา เดินตามอย่างไม่เร็วไม่ช้า ไม่ไกลและไม่ใกล้ รักษาระยะห่างระดับหนึ่งกับเขาอยู่ตลอด
ภายในใจเซียวยวี่ก็มีปมนับพัน
แม้ว่าไม้หาบบนบ่าจะหนักอึ้ง แต่กลับสัมผัสไม่ได้แม้แต่น้อย
การกระทำของสตรีที่อยู่ข้างหลัง ทำให้เขาเป็นเหมือนแมลงวันไร้หัว หาทิศเหนือใต้ออกตกไม่พบ