ตอนที่ 169 ของขวัญปีใหม่

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

สี่คนเห็นดังนั้นในใจจึงเกิดความหวาดกลัว ขณะเดียวกันก็ยำเกรงฟางเจิ้งยิ่งกว่าเดิม คำพูดฟางเจิ้งประหนึ่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ใครจะกล้าฝ่าฝืน? ได้แต่รออยู่ที่นี่อย่างว่าง่าย มองเหมียวหลงคลอดมีดทีละเล่ม เจ็บเจียนตายทั้งเป็น มีสภาพตายเสียจะดีกว่าอยู่

ความจริงเหมียวหลงก็เจ็บจนตายเสียดีกว่าอยู่จริงๆ เขารักมีดมาตั้งแต่เล็ก โตขึ้นมายิ่งรักกว่าเดิม มีดต่างๆ ที่เก็บสะสมในบ้านยัดไว้ใต้เตียงเต็มไปหมด แต่วันนี้เขาสาบานว่าเขาเกลียดมีดที่สุด!

ไม่รู้ว่าจะคลอดอีกกี่เล่ม เหมียวหลงยอมแล้วจึงเอ่ย “ไต้ซือ ผมสำนึกผิดแล้ว สำนึกผิดจริงๆ ไม่อยากคลอดอีกแล้ว…”

“ไต้ซือ ปล่อยผมไปเถอะ จากนี้ไปจะกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี” เหมียวหลงร้องไห้โฮ

“ไต้ซือ ผมผิดไปแล้วจริงๆ ผมมันไม่ใช่คน เมื่อก่อนทำแต่ความเลว ผมลงเขาแล้วจะมอบตัว จะรับสารภาพเรื่องที่ทำไปทั้งหมด…ฮือๆ…” เหมียวหลงเริ่มร้องไห้

“ไต้ซือ…”

ฟางเจิ้งยืนอยู่ตรงปากประตูมองเหมียวหลง สัมผัสได้ว่ากลิ่นอายบาปกรรมในตัวค่อยๆ ลดลง แต่แรงกรรมกลับหายไปนิดเดียว เห็นได้ชัดว่าเหมียวหลงทำความเลวมาไม่น้อย แต่ฟางเจิ้งจัดการเรื่องพวกนี้ไม่ได้ กรรมของเขาไม่ควรถูกขจัดทั้งหมดบนเขา

ดังนั้นหลังเหมียวหลงคลอดมีดสี่สิบเก้าเล่มแล้ว ฟางเจิ้งถึงโบกมือ ในที่สุดเหมียวหลงก็หลุดพ้นจากความเจ็บปวด นอนอยู่บนพื้น ดวงตาไร้ประกายวาวมองฟ้า สุดท้ายพ่นลมหายใจยาวพลางคิดในใจ ‘ในที่สุดก็จบสักที’

“พาเขาลงเขาไปเถอะ ต้องทำยังไงในใจพวกโยมรู้ดี ถ้ายังทำความเลวต่อไป การลงโทษจะทวีคูณขึ้น” ฟางเจิ้งเอ่ยจบแล้วจึงหมุนตัวเข้าไปในวัด ปิดประตูใหญ่ ขณะเดียวกันภาพลักษณ์พระอาจารย์พลันหายไป ถอนหายใจโล่งอกยาวๆ ‘แสดงละครนี่เหนื่อยจริงๆ…’

ต้าขุย เอ้อขุยอยากลงเขานานแล้ว พอสิ้นเสียงฟางเจิ้งประหนึ่งนักโทษได้ประทานอภัย พวกเขารีบวิ่งไปลากเหมียวหลงลุกขึ้นพาลงเขา ส่วนมีดพวกนั้น? อย่าพูดถึงมีดเลย! ใครพูดถึงพวกเขาเอาเรื่องแน่!

ทว่าไม่มีใครรู้เลยว่ามีดข้างหลังพวกเขาหายไปกับอากาศ ขณะเดียวกันฟางเจิ้งเอาหัวดิ่งลงบนเตียงหลับสนิท ความฝันยามต้มข้าวฟ่างร้ายกาจ แต่ใช้นานๆ ก็กินพลังไม่น้อย ส่วนความปลอดภัยในวัดให้เป็นหน้าที่ของหมาป่าเดียวดายผู้ปกปัก

ต้าขุย เอ้อขุยสองคนใจฝ่อไปนานแล้ว ใครจะกล้ากลับมาอีก ได้แต่โทษบุพการีที่ให้ขามาแค่สองข้าง มันทำให้ลงเขาช้า!

ลงเขามาแล้วพวกเขาก็ยังไม่หยุด แต่ตรงดิ่งไปยังสถานีตำรวจท้องถิ่น

“พวกคุณมาทำอะไรกันครับ?” กลางดึกแบบนี้พลันมีคนหัวทองและหน้าตาน่ากลัวห้าคนพรวดเข้ามาในสถานีตำรวจท้องถิ่น ตำรวจท้องถิ่นนายหนึ่งตกใจสะดุ้ง ยืนขึ้นต่อว่าไป

“ไม่ต้องตกใจ พวกเรามามอบตัว” เหมียวหลงพูด

“อะไรนะ?” ตำรวจท้องถิ่นมึนงง เคยเห็นคนที่มามอบตัว แต่ไม่เคยเห็นมากันเป็นกลุ่มแบบนี้! ตำรวจท้องถิ่นจึงถาม “พวกคุณตัวเปียกกันขนาดนี้ ลงน้ำไปขโมยปลาคนอื่นเขาเหรอ?”

ห้าคน “2¥@…”

เมื่อได้ฟังคำอธิบายของห้าคน ตำรวจท้องถิ่นยิ้มดีใจ นี่คือปีใหม่ ห้าคนรวมกลุ่มกันมามอบของขวัญปีใหม่ให้! เขาเห็นดอกไม้ดอกช่อใหญ่รางๆ เห็นรางวัลชื่นชมต่างๆ เห็นการเลื่อนตำแหน่งขึ้นเงินเดือน แต่งงานมีภรรยาขาวสวยและรวย เดินอยู่บนจุดสูงสุดของชีวิต…

ขอไม่พูดถึงเรื่องการโลงโทษห้าคนนี้

ขณะเดียวกันกลับมีคนกำลังสับสนมาก

“พูด ไม่พูด พูด ไม่พูด…” จิ่งเหยียนกำลังกอดตุ๊กตาแมวขนยาวตัวหนึ่ง ดึงขนพลางพึมพำ

เรื่องที่เจอมาในวันนี้มันเหลือเชื่อมากเกินไป เธอเป็นนักข่าวจึงว่องไวและเฉียบแหลม นี่เป็นข่าวใหญ่แน่นอน ทว่าปัญหาคือข่าวนี้มันแปลกเกินไป ถ้าสร้างกระแสขึ้นมาได้จะเป็นไฟกองใหญ่ แต่ถ้าไม่ได้จะเป็นการใส่ร้าย ถูกคนด่าว่าเป็นข่าวปลอม

นี่ไม่เท่าไร ที่สำคัญคือจิ่งเหยียนกำลังขบคิดถึงความหมายของฟางเจิ้ง ตั้งแต่แรกเริ่มการกระทำของฟางเจิ้งทำให้เธอเคารพ อีกทั้งฟางเจิ้งยังไม่เหมือนคนที่คิดทำการใหญ่โดยไม่คำนึงถึงความเป็นไปได้หรือละโมบในชื่อเสียง การเอาเขามาสร้างกระแสแบบนี้คงจะไม่ดีนัก

คิดไปคิดมาจิ่งเหยียนจึงใช้วิธีดึงขนในการตัดสิน ทว่าเมื่อดึงขนเส้นสุดท้าย…

“พูด?” จิ่งเหยียนงงงัน ก่อนหัวเราะแห้งๆ หาดูบนตัวแมวอย่างละเอียดอีกรอบ ในที่สุดก็เจอขนที่หลุดรอดสายตาตรงหนวดมันเส้นหนึ่ง เธอยิ้มบางๆ แล้วดึงมันออกมา “ไม่พูดจริงๆ ด้วย!”

เมื่อแก้ความทุกข์ใจได้แล้วก็โยนแมวทิ้งไป ขึ้นเตียงนอน! ส่วนจะทำความสะอาดไหม? ขอโทษ เป็นผู้หญิงสมัยใหม่ เธอขี้เกียจมาก!

วัดเมฆาขาวก็ไม่ต่างกัน หลังจากฟางเจิ้งไปแล้ว นักข่าวกลุ่มใหญ่ปรี่เข้ามาถามเรื่องต้นกกข้ามฟาก ทว่าทั้งวัดเมฆาขาวปิดปากเงียบ แม้แต่ชาวบ้านตรงตีนเขายังรู้ข่าวคราว ไม่มีใครพูดเลย จนพวกนักข่าวเปิดปากชาวบ้านส่วนหนึ่งกับนักท่องเที่ยวอย่างยากลำบากได้ แม้อีกฝ่ายจะบอกว่าเป็นความจริง แต่พวกเขากลับรู้สึกว่าไม่น่าเชื่อถือ

แน่นอนพวกเขาไม่รู้ว่าหลวงจีนไป๋อวิ๋นไม่อยากให้ใครไปรบกวนฟางเจิ้ง จึงไม่อนุญาตให้ทุกคนพูด พวกนักบวชไม่พูดอยู่แล้ว ส่วนชาวบ้านตรงตีนเขาผูกพันกับวัดเมฆาขาว ฟางเจิ้งได้หน้าไปขนาดนี้ ถึงพวกเขาจะเลื่อมใสมากก็เถอะ แต่ก็ไม่ยินดีมากเช่นกัน ดังนั้นแต่ละคนจึงมีความตั้งใจว่าจะเงียบเพื่อวัดเมฆาขาว กระทั่งบอกปฏิเสธ…

ช่วงเวลานี้พวกนักข่าวหัวแทบจะระเบิด มีต้นกกข้ามฟากจริงๆ หรือไม่กันแน่?

ส่วนลิ้นบัวเบ่งบานมีเพียงพวกนักบวชที่รู้ พวกนักบวชเคารพฟางเจิ้งดั่งพระเจ้า อีกทั้งหลวงจีนไป๋อวิ๋นยังออกคำสั่ง ดังนั้นใครจะกล้าพูดก่อนฟางเจิ้งจะพูด? พวกนักข่าวเลยไม่รู้และไม่ถาม

ฉะนั้นแล้วละครตลกต้นกกข้ามฟากเป็นกระแสอยู่หลายวันแล้วก็เริ่มซาลง ประกอบกับมีผู้เชี่ยวชาญกลุ่มหนึ่งต่างไขปริศนากัน มองว่าฟางเจิ้งเป็นพวกลวงโลกที่อยากสร้างกระแสโด่งดัง จึงถูกทุกคนโยนไว้ข้างหลัง ลืมไปแล้ว

ทว่าคนท้องถิ่นกลับพูดไม่หยุดอย่างมีอรรถรส ถึงยังไงคนส่วนใหญ่ที่เห็นฟางเจิ้งใช้ต้นกกข้ามฟากก็เป็นคนท้องถิ่น คนนอกไม่เห็นเลยไม่เชื่อ แต่พวกเขาเชื่อ! พูดคุยกันในโลกโซเชี่ยวและหลังดื่มชากินข้าว ดังนั้นแล้วชื่อเสียงของฟางเจิ้งกับวัดเอกดรรชนีจึงกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว

ฟางเจิ้งนั่งยองอยู่ตรงประตูทั้งวัน มองญาติโยมกลุ่มใหญ่ที่บุกกันเข้ามา แต่สิ่งที่เขากังวลคือหิมะตกอีกแล้ว!

หิมะตกหนักสามวัน ลมแรง เส้นทางภูเขาถูกปิดตายสนิท

ฟางเจิ้งยืนตรงประตูใหญ่ มองหิมะถมสูงเมตรห้าสิบ ทำหน้ามุ่ย “แย่จริงๆ เลย หิมะเยอะขนาดนี้ ถ้าตัวเตี้ยหน่อยต้องถูกฝังแน่ มิน่าถึงไม่มีใครมา”

“โฮ่งๆ…” หมาป่าเดียวดายยืนอยู่ในกองหิมะ โผล่มาครึ่งหัวกว่าๆ หิมะหนาเกินไป โดยพื้นฐานแล้วเจ้านี่จะกระโดดไปมาได้แค่เหมือนกับกระต่าย ออกไปกระโดดหลายทีจนเหนื่อยลิ้นห้อยแล้วก็ไม่ออกไปอีก

ฟางเจิ้งคลำหิมะ หิมะยังไม่แข็ง ถ้าจะเดินบนนี้ยังต้องรออีกหลายวัน

“ช่างเถอะ ถ้าไม่จัดการหิมะนี่ก็อย่าหวังจะมีญาติโยมมา ทำงาน!” ฟางเจิ้งตัดสินใจแล้วจึงเตรียมทำงาน!

หมาป่าเดียวดายหางลีบ ถอยหลังคิดจะหนีไป!

………………