ตอนที่ 170 ขอความช่วยเหลือ

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

ฟางเจิ้งคว้าหางมันไว้แล้วลากกลับมา ด่ายิ้มๆ ว่า “แกไอ้ผีขี้เกียจ พอจะทำงานล่ะหนีเลยนะ ตอนนี้ประตูตันแล้วนายจะหนีไปไหน? ตั้งใจทำงานเถอะ ไม่อย่างนั้นไม่ต้องกินข้าว”

หมาป่าเดียวดายเห่าสองทีสื่อว่าไม่พอใจ แต่ด้วยความที่ฟางเจิ้งขู่ว่าจะไม่ให้ข้าว จึงยอมให้ฟางเจิ้งผูกแผ่นไม้ไว้กับตัวอย่างว่าง่าย กลายเป็นเครื่องดันหิมะทรงหมาป่า

หมาป่าเดียวดายกินข้าวผลึกกับน้ำบริสุทธิ์ทุกวัน คุณสมบัติร่างกายดีขึ้นเรื่อยๆ พูดถึงแรงอย่างเดียวก็มากกว่าตอนเพิ่งมาใหม่ไม่รู้กี่เท่า ตอนนี้ทำงานย่อมมีแรงม้าเต็มสิบ

ฟางเจิ้งถือพลั่วเหล็กด้วยมือเดียว เขาที่ผ่านการฝึกหัตถ์พลังนักรบโพธิสัตว์มาย่อมทำงานได้อย่างง่ายดาย หนึ่งคนกับหมาป่าใช้แรงม้าทำงาน ไม่นานก็เปิดเป็นเส้นทางเล็กๆ สายหนึ่ง เพียงแต่ระยะทางออกจะไล่แขกเล็กน้อย แค่ห้าร้อยเมตรเท่านั้น

ฟางเจิ้งโยนพลั่วเหล็ก ก่อนตบหัวหมาป่าเดียวดายด้วยอาการหอบหายใจแรง วันนี้พอแค่นี้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาต่อ

พูดจบก็กลับไปในกุฏิ จุดเตาไฟ หยิบมือถือออกมาอ่านพุทธคัมภีร์อย่างจริงจัง

หลังผ่านเรื่องวัดเมฆาขาวมา ฟางเจิ้งรู้จักว่านอนสอนง่ายแล้ว ไม่ว่าจากนี้จะสึกหรือไม่ก็ไม่อยากขายหน้าแล้ว การอ่านพุทธคัมภีร์อย่างตั้งใจ ตระหนักพระธรรมต่างหากที่เป็นหลักการถูกต้อง จะหวังพึ่งระบบทั้งหมด เจ้านี่ก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่ก็ถือว่าเป็นบทเรียนสอนให้เราเก่งขึ้น

“ระบบ ฉันอ่านไปทีละหน้ามันช้ามากเลย นายไม่มีของอะไรไว้เพิ่มสมรรถนะบ้างเหรอ?” ฟางเจิ้งถาม

“นายรู้จักพอเถอะ ข้าวผลึกกับน้ำบริสุทธิ์ช่วยให้ความจำกับทักษะในการทำความเข้าใจของนายเหนือกว่าคนทั่วไปมากแล้ว ฉันไม่ให้พุทธคัมภีร์นาย แต่นายต้องอ่านด้วยตัวเอง ตระหนักด้วยตัวเอง ไม่มีทางลัด พยายามด้วยตัวเองซะเถอะ” ระบบตอบ

ฟางเจิ้งเบะปาก “ทีวิทยายุทธ์ยังถ่ายทอดให้ได้เลย ทำไมพุทธคัมภีร์ไม่ได้?”

“คัมภีร์ไม่ถ่ายทอดกันง่ายๆ มันไม่ใช่แค่ต้องจ่ายเงิน ให้คัมภีร์แล้วยังต้องช่วยนายอ่านอีก ไม่อย่างนั้นนายจะอ่านพุทธคัมภีร์ไปทำไม?”

ฟางเจิ้งไม่รู้จะตอบยังไง ในเมื่อหวังพึ่งระบบไม่ได้ ขอได้แต่อ่านพุทธคัมภีร์อย่างสงบ ดีที่เขาเคยอ่านคัมภีร์วัชรสูตรม้วนนั้นมาตั้งแต่เด็ก พออ่านคัมภีร์ใหม่ๆ เลยไม่รู้สึกเบื่อ

ขณะเดียวกันในเขตเจริญแห่งหนึ่งในเมืองเฮยซาน

“ที่นี่เหรอ?” จูหลินยืนอยู่หน้าประตู มองภาพตรงหน้า รู้สึกว่าที่นี่คุ้นตามาก! แม้ไม่เคยมา แต่เธอเคยเห็นที่ไหนมาก่อนแน่ๆ

“ใช่แล้ว ที่นี่แหละ นี่คือเขตเจริญของเมืองนี้ กองถ่ายพวกเรายังหาสำนักงานที่เหมาะสมไม่ได้ ตอนนี้เลยแคสงานกันที่นี่ ไปเถอะ ตึกข้างหน้านี่แหละ” ชายคนหนึ่งชี้ไปยังอาคารสไตล์ตะวันตก

จูหลินพยักหน้าก่อนเดินหน้าไป ยิ่งเดินยิ่งรู้สึกคุ้น ตอนที่มายืนอยู่หน้าตึก พลันนึกอะไรออก!

นี่มันภาพที่ตอนนั้นเคยเห็นในฝันนี่! เพียงแต่ตอนนั้นที่เห็นเป็นมุมมองบุคคลที่สาม ตอนนี้เป็นมุมมองบุคคลที่หนึ่ง! เธอพลันหันไปมองชายสองคนที่พาเธอมา เหมือนกันเปี๊ยบเลย!

“คุณจู เป็นอะไรหรือครับ?” ผู้ชายถาม

จูหลินสูดลมหายใจเข้าลึก แสดงท่าทีสงบนิ่ง “ไม่มีอะไรค่ะ เพียงแค่ไม่เคยมาเขตที่ดีแบบนี้มาก่อน อาคารที่นี่หรูหรามากเลยค่ะ”

ขณะกล่าวอยู่นี้ จูหลินแอบกดปุ่มลัดที่ตั้งค่าไว้นานแล้วบนมือถืออย่างเงียบเชียบ

“คุณเป็นของผม…” เสียงเพลงคุ้นเคยดังขึ้น จูหลินเอ่ยขอโทษ “ขอโทษนะคะ ขอตัวไปรับสายก่อน”

ชายสองคนไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ยืนอยู่ตรงนั้น จูหลินเดินไปด้านข้าง น้ำเสียงเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ “อะไรนะ? คุณรถชนเหรอ?! ได้ๆๆ รอก่อนนะ ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลย รอฉันก่อน!”

ว่าจบจูหลินถึงพูดต่อ “ขอโทษนะคะ แฟนฉันรถชนค่ะ ต้องไปดูก่อน” พูดจบก็วิ่งไป

ผู้ชายเห็นดังนั้นจึงเรียกไว้ “คุณจู นี่เป็นงานใหญ่นะ ถ้าพลาดแล้วจะถือว่าพลาดเลยนะครับ!”

“ใหญ่แค่ไหนก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตคนหรอกค่ะ รบกวนพี่ใหญ่ช่วยเก็บงานไว้ให้ฉันด้วยนะคะ ฉันเสร็จแล้วจะรีบมา” จูหลินทิ้งท้ายไว้แล้วก็วิ่งหายไป

สองคนเห็นแบบนั้นช่วยไม่ได้ หนึ่งในนั้นว่า “เด็กนี่ใช้ได้ น่าเสียดาย เกือบจะติดเบ็ดแล้วเชียว”

“หนีไม่พ้นหรอก เธอว่าจะกลับมานี่” ผู้ชายอีกคนยิ้ม ก่อนหยิบมือถือออกมา “เป้าหมายต่อไป”

จูหลินออกจากเขตเล็กแล้วนั่งแท็กซี่ไปแจ้งความอยากรวดเร็ว

………

ไม่นานข่าวก็กลายเป็นหัวข้อสนทนาหลังดื่มชากินข้าวของชาวเมืองเฮยซาน

‘ชิงทรัพย์ล่วงละเมิดผู้หญิง จะอ่อนให้ไม่ได้ ต้องหนักๆ’

‘ไอ้กากเดนพวกนี้ควรตายไปซะ ได้ยินว่ามีเด็กสาวหลายคนถูกทำร้าย แค่กลัวว่าภาพฉาวจะหลุดออกไปเลยไม่ได้ไปแจ้งความ ดีนะครั้งนี้จับได้แล้ว’

………

จูหลินอ่านข่าวแล้วยังนึกหวาดกลัว เธอนั่งอยู่ในบ้าน เหม่อมองฝ้าเพดาน เหมือนเห็นหลวงจีนหัวโล้นรูปหนึ่งรางๆ “ถ้าไม่ใช่เพราะไต้ซือคงเกิดเรื่องกับเราแล้ว ถ้ามีเวลาต้องไปเยี่ยมเขาสักหน่อย ไปขอบคุณต่อหน้า แต่ว่าเขารู้ได้ยังไงว่าฉันจะเจอเรื่องแบบนี้? รู้อนาคตเหรอ? เทพเซียน? พระพุทธองค์?”

……..

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ผลิดังสนั่น ในที่สุดหิมะบนยอดเขาก็เริ่มละลาย ต้นหลิวเริ่มแตกหน่ออ่อนใหม่ ชีวิตเปี่ยมล้น ทั้งโลกประหนึ่งคืนชีพกลับมา

ฟางเจิ้งยืนอยู่บนต้นหลิว เด็ดกิ่งอ่อนมากิ่งหนึ่ง ถูเปลือกไม้เบาๆ แยกเปลือกไม้กับตัวไม้ข้างในออกจากกัน จากนั้นดึงเบาๆ กิ่งไม้เล็กหลุดออก แต่เปลือกไม้ยังคงอยู่ในลักษณะกระบอก ก่อนเอาเปลือกแข็งข้างนอกออกตรงปลายกิ่งไม้ครึ่งหนึ่ง เหลือชั้นข้างในที่เป็นสีเขียวอ่อน จากนั้นวางไว้ตรงปากแล้วเป่าเบาๆ

“ตู…”

“เหอะ อาตมายังช่ำชองเทคนิคนี้อยู่ ฮ่าๆ” นกหวีดต้นหลิวแบบนี้เป็นหนึ่งในของเล่นที่ฟางเจิ้งต้องทำในฤดูใบไม้ผลิทุกปี ไม่ได้สนุกปาก และก็ไม่ได้มีลูกเล่นอะไร แต่เป็นความรู้สึกชอบ ฟางเจิ้งเป่าทีหนึ่ง กระรอกน้อยหูตั้งขึ้นโดยพลัน กระโดดมาอยู่บนบ่าเขา เอียงหัวมองของเล่นในปากฟางเจิ้งด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ฟางเจิ้งหัวเราะเหอะๆ เป่าต่อไป

ตู!

กระรอกถอยไป แต่ก็เข้ามาใกล้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นทันที

ตู!

ครั้งนี้กระรอกไม่ถอย แต่แนบบนหน้าฟางเจิ้ง แทบจะติดกับบนนกหวีด ดวงตาโตกลอกไปมาดูประหลาดใจมาก

ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นจึงยัดนกหวีดไปในปากกระรอก ยิ้มเอ่ยว่า “เป่า”

กระรอกมองฟางเจิ้งแวบหนึ่งด้วยความปราดเปรียว ก่อนบิดก้นวิ่งปีนขึ้นต้นไม้ไป เป่าลมทีหนึ่ง

ตู!

มีเสียงจริงๆ ฟางเจิ้งมึนงง ไม่นึกเลยว่าจะสำเร็จจริงๆ กระรอกก็งงเหมือนกัน จากนั้นกระโดดลงมาด้วยความตื่นเต้นราวกับพบแผ่นดินใหญ่ใหม่ กระโดดไปๆ มาๆ เป่านกหวีดพลางวิ่งไปหาหมาป่าเดียวดาย

นับจากวันนี้ไปในวัดมีกระรอกที่ขี่หมาป่าเดียวดายเป่านกหวีดมั่วซั่วอยู่ตลอด

เมื่อสองวันก่อนฟางเจิ้งยังรู้สึกสนุก พอนานเข้ามันส่งผลถึงการอ่านพุทธคัมภีร์ของเขา จึงไล่หมาป่ากับกระรอกไป

เขาก้มหน้ามองก็เห็นว่ามีเลขหนึ่งสีแดงสว่างขึ้นมาจากในวีแชต

ฟางเจิ้งคลิกเข้าไปอ่าน เป็นข้อความของจ้าวต้าถงส่งมา “ไต้ซือ เกิดเรื่องแล้ว ช่วยด้วยครับ!”

……………