เขาจำได้ว่าเมื่อก่อนเธอเป็นผู้หญิงที่ไม่ยอมถูกเอาเปรียบแม้แต่น้อย ลู่หวาหนง ลั่วซูเยียงและเจี่ยวชิว มีใครบ้างที่ไม่ถูกเธอจัดการจนมีจุดจบที่น่าอนาถ ทว่าตอนที่เผชิญหน้ากับไซ่หย่าเซวียน เธอกลับใจกว้างกับผู้หญิงคนนั้น หรือเป็นเพราะไซ่หย่าเซวียนเป็นน้องสาวของไซ่ตี้จวิ้น ความรู้สึกที่เธอมีต่อไซ่ตี้จวิ้นมันลึกซึ้งจริงๆ!
หนานกงเยี่ยที่อยากฉลองเทศกาลตรุษจีนอย่างมีความสุข เวลานี้กลับมีแต่ความหึงหวง รู้สึกหึงหวงจนเขาอึดอัดไปทั้งตัว
เหลิ่งรั่วปิงถอนหายใจ “ไซ่หย่าเซวียนไม่ได้พูดอะไรผิดนี่คะ ฉันทำผิดต่อไซ่ตี้จวิ้นจริงๆ ในฐานะคู่หมั้นของเขา ฉันทำให้เขาต้องอับอาย การที่ถูกน้องสาวเขาด่าไม่กี่คำก็เป็นเรื่องที่สมควร”
“ไซ่ตี้จวิ้นมันเป็นแค่ตัวอะไร! แล้วไซ่หย่าเซวียนเป็นแค่ตัวอะไร!” หนานกงเยี่ยโมโหจนตบพวงมาลัยอย่างแรง “ตระกูลไซ่ของพวกเขาเป็นแค่ตัวอะไร ถึงกล้ามาหยามตระกูลหนานกงของผม หืม? ฉู่หนิงซยาผมจะบอกอะไรให้คุณฟังนะ ถ้าผมรู้ว่าคุณต้องอดทนกับคนอย่างพวกเขา ผมจะถอนรากถอนโคนตระกูลไซ่ทิ้ง!”
เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น “พวกเขาด่าฉัน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับตระกูลหนานกงของคุณคะ”
หนานกงเยี่ยเชยคางเหลิ่งรั่วปิงขึ้น “คุณเป็นผู้หญิงของหนานกงเยี่ย เป็นคนของตระกูลหนานกง เวลาที่พวกเขาเจอคุณต้องถ่อมตัวโดยอัตโนมัติ เข้าใจ?”
เหลิ่งรั่วปิงตีมือหนานกงเยี่ยด้วยความรำคาญ “คุณอย่าอินเกินไปได้ไหมคะ ตอนนี้ฉันเป็นแค่ตัวแทนของเหลิ่งรั่วปิงที่คุณใช้อำนาจในการร้องขอให้ทำ เวลาสามเดือนไม่นานก็จบลงแล้ว และฉันก็ยังคงเป็นคู่หมั้นของคุณไซ่ตี้จวิ้น” เพิกเฉยต่อสายตาคมเฉียบของเขา “ถ้าคุณไม่อยากฉลองวันตรุษจีน ฉันจะกลับไปตอนนี้”
พูดจบ เหลิ่งรั่วปิงเปิดประตูกำลังจะลงจากรถ หนานกงเยี่ยคว้าตัวเธอกลับมา พันผ้าพันคอให้เธอด้วยความไม่สบอารมณ์ จากนั้นลงจากรถ อ้อมไปอีกด้านหนึ่ง รับเธอลงมา ไม่พูดแม้แต่คำเดียว ลากเธอเข้าไปในซุปเปอร์มาร์เก็ต
เขาเรียนรู้ที่จะยอมอ่อนข้อให้เธอแล้ว
นี่เป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตหรู คนมาซื้อของจึงไม่มากเหมือนในซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป สิ่งแวดล้อมที่นี่หรูหรา บรรยากาศดี เปิดฮีทเตอร์อย่างดี เดินเข้ามาจากด้านนอก ลมอุ่นๆ ก็ปะทะเข้ามาแล้ว
หนานกงเยี่ยช่วยเหลิ่งรั่วปิงถอดเสื้อกันหนาวและผ้าพันคอ จากนั้นก็ถอดเสื้อกันหนาวและผ้าพันคอของตนเอง เขาเอาทั้งหมดพาดเอาไว้บนรถเข็น เข็นรถเข็นด้วยตนเอง เลือกซื้อสินค้าร่วมกัน
“ฉู่หนิงซยา คุณชอบกินเกี๊ยวไส้อะไรครับ หืม?” หนานกงเยี่ยถามขึ้นขณะกำลังเลือกซื้อผัก
เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้กินเกี๊ยวมาหลายปีแล้ว คนในเมืองหลงชื่นชอบในการกินเกี๊ยว อาหารในคืนวันตรุษจีนจึงต้องมีเกี๊ยว แต่คนซีหลิงไม่คุ้นชินกับการกินเกี๊ยว ดังนั้นตั้งแต่เธอไปซีหลิงตอนอายุสิบสามก็ไม่ได้กินเกี๊ยวอีกเลย
ในความทรงจำ เกี๊ยวที่อร่อยที่สุด น่าจะเป็นเกี๊ยวสามสหาย เหลิ่งรั่วปิงคลี่ยิ้มจางๆ แล้วเอ่ยปากพูด “ชอบกินสามสหายค่ะ”
สามสหาย ได้แก่กุ้ง ไข่ไก่และกุยช่าย
“ครับ ถ้าอย่างนั้นเราซื้อกุยช่ายไปนิดหน่อย แล้วเดี๋ยวไปซื้อกุ้งทางด้านนู้น” หนานกงเยี่ยเลือกกุยช่ายสดใหม่ด้วยความชำนาญ จากนั้นมือหนึ่งเข็นรถเข็น อีกมือหนึ่งจับมือเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้แล้วเดินไปยังโซนเนื้อสัตว์
การกระทำของเขาทำให้เหลิ่งรั่วปิงตกใจมาก ไม่เจอกันไม่กี่เดือน เขาเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ หนานกงเยี่ยคนเดิมทำแบบนี้เป็นที่ไหน
“คุณฉู่!” เสียงของเวินอี๋ดังขึ้น
เหลิ่งรั่วปิงและหนานกงเยี่ยหันไปมองพร้อมกัน เห็นมู่เฉิงซีและเวินอี๋ พวกเขากำลังเข็นรถเข็นและเลือกซื้อของเหมือนพวกตน
เมื่อเห็นเวินอี๋ หัวใจของเหลิ่งรั่วปิงเหมือนแช่ในน้ำอุ่น รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เธอยิ้มแล้วเดินเข้าไปหา “เวินอี๋”
เวินอี๋ยิ้มพร้อมกับมองไปที่หนานกงเยี่ย แล้วมองดูเหลิ่งรั่วปิง เหมือนเธออยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ยากจะเอ่ยปากพูด เธอจึงหันไปพูดกับหนานกงเยี่ย “คุณหนานกงคะ คุณจะว่าอะไรไหมคะถ้าฉันขอยืมตัวคุณฉู่ไปเดินด้วยกันตามลำพัง”
หนานกงเยี่ยพยักหน้าด้วยความเข้าใจ
เมื่อได้รับอนุญาต เวินอี๋พาตัวเหลิ่งรั่วปิงเดินออกมาด้วยความดีใจ
มู่เฉิงซียิ้มแล้วเดินไปข้างๆ หนานกงเยี่ย “ว่าไง ตามเธอกลับมาได้แล้ว?”
“ยัง เธอยังคงเป็นฉู่หนิงซยา เพียงแต่ถูกฉันใช้วิธีกักขังเธอเอาไว้ข้างกายชั่วคราว เป็นเวลาสามเดือนก็เท่านั้น”
มู่เฉิงซียิ้มและถอนหายใจ “แกกับเหลิ่งรั่วปิง อีกแค่ก้าวเดียวก็ได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขแล้ว ถ้าตอนนั้นแกอดทนอีกสักหน่อย ตอนนี้เธอก็เป็นภรรยาของแกไปนานแล้ว”
หนานกงเยี่ยจับรถเข็นด้วยความขมขื่น “ตอนนี้ก็เหมือนกัน เธอจะต้องเป็นภรรยาของฉันเหมือนเดิม” คลี่ยิ้มจางๆ “พอได้แล้ว พวกเราไปซื้อของกันเถอะ คิดไม่ถึงว่าแกจะกลายเป็นพ่อบ้านไปแล้ว”
มู่เฉิงซียิ้ม การมาเลือกซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ตแบบนี้ เป็นเรื่องที่เมื่อก่อนเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งต้องมาทำเรื่องจุกจิกแบบนี้ แต่วันนี้พอได้ทำแล้ว กลับรู้สึกดี
ผู้ชายหน้าตาดีสองคน คนหนึ่งคือนักธุรกิจระดับโลกของเมืองหลง คนหนึ่งคือตำรวจที่มีชื่อเสียงของเมืองหลง ผู้ชายทั้งสองคน เข็นรถเข็นและเลือกซื้ออาหาร ช่างเป็นภาพที่ไม่มีอะไรมาแทนได้
เหลิ่งรั่วปิงและเวินอี๋เดินไปยังโซนของใช้สตรี พวกเธอเลือกซื้อของไปพลางพูดคุยไปพลาง
“พี่รั่วปิง พี่กลับไปคบกับคุณหนานกงแล้วเหรอคะ”
“เปล่า เป็นแค่ตัวแทนชั่วคราวเท่านั้น”
“แต่ว่า ฉันเห็นสายตาของคุณหนานกงเยี่ย เป็นสายตาที่กำลังมองเหลิ่งรั่วปิง ไม่ใช่สายตาที่กำลังมองฉู่หนิงซยา”
“ตอนนี้เขามองพี่เป็นตัวแทนของเหลิ่งรั่วปิง แน่นอนว่าต้องมองพี่ด้วยสายตาที่มองเหลิ่งรั่วปิง”
“พี่รั่วปิงคะ ฉันรู้สึกว่าความรู้สึกของคุณหนานกงเป็นอะไรที่น่าตื้นตันใจมาก พี่อย่าเล่นตัวเลยค่ะ กลับมาเถอะ”
เหลิ่งรั่วปิงเงียบไปพักหนึ่ง “เรื่องบางเรื่องไม่ใช่ว่าเราอยากจะกลับไปก็จะกลับไปได้” ถอนหายใจ “ถึงยังไงสุดท้ายแล้วเส้นทางของพี่กับเขาก็เป็นได้แค่คนแปลกหน้า”
วันนี้คนของวิหารซีหลิงสะกดรอยตามเธอ เป็นเครื่องเตือนใจ บอกกับเธอว่ากลับไปอยู่ข้างกายหนานกงเยี่ยไม่ได้อีก การเป็นฉู่หนิงซยา เธอจะมีชีวิตที่สงบสุข แต่ถ้ากลับไปเป็นเหลิ่งรั่วปิง เธอจำเป็นต้องเอาชนะอุปสรรคมากมาย เธอไม่ต้องการ
เวินอี๋ถอนหายใจด้วยความเสียดาย “พี่รั่วปิงคะ ฉันไม่รู้ว่าพี่กำลังคิดเล็กคิดน้อยเรื่องอะไรอยู่ ถึงแม้ตอนนั้นคุณหนานกงจะทำร้ายจิตใจพี่ แต่นั่นไม่ใช่เจตนาของเขา ความทรมานที่เขาต้องทุกข์ทนเพราะพี่ ทุกคนแทบจะทนดูไม่ได้ รวมถึงฉันด้วย ฉันคิดว่าพี่คงไม่มีวันเจอผู้ชายที่รักพี่ได้เท่ากับเขาอีกแล้ว”
ไม่มีวันเจอผู้ชายที่รักพี่ได้เท่ากับเขาอีกแล้ว!
คำพูดนี้เหมือนก้อนหินที่ตกลงไปในทะเลใจของเหลิ่งรัวปิง ก้อนหินเพียงก้อนเดียวแต่กลับทำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ เหลิ่งรั่วปิงหันไปมองหนานกงเยี่ยที่กำลังเลือกซื้อกุ้งตรงตู้แช่แข็งอย่างห้ามใจไม่ได้ ดวงตากลมโตน้ำตารื้นขึ้นมา
เวินอี๋เองก็หันไปมองหนานกงเยี่ย เธอถอนสายตากลับมาช้าๆ “พี่รั่วปิง ฉันหวังว่าพี่จะคิดทบทวนเรื่องนี้อีกครั้งนะคะ การทำร้ายบางอย่างได้รับการอภัยได้ คุณหนานกงสมควรได้รับการอภัย” แววตาเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังและคำอวยพร “พี่รั่วปิง ทริปวันพรุ่งนี้ ฉันและมู่เฉิงซีก็ไปด้วยนะคะ”
เหลิ่งรั่วปิงหันกลับมาด้วยความตกใจ มองใบหน้าเล็กๆ ของเวินอี๋ “พวกเธอนัดกันเอาไว้แล้วเหรอ”
“ใช่ค่ะ คุณหนานกงเป็นคนจัดทริป คุณถังเฮ่าและคุณอวี้ไป่หันก็ไปด้วยนะคะ ฉันได้ยินเฉิงซีบอกว่า ดูเหมือนคุณหนานกงจะทำเรื่องสำคัญอะไรบางอย่าง”
เรื่องสำคัญ? ไปเที่ยวจะทำเรื่องสำคัญอะไรได้
เหลิ่งรั่วปิงยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แล้วหันไปมองหนานกงเยี่ย เธอนึกถึงบทสนทนาเมื่อเช้า
เขาบอกว่า ถ้าจะหาใครสักคนมาเป็นตัวแทนของเหลิ่งรั่วปิง จางหนิงซยาหรือหลี่หนิงซยาล้วนไม่ได้ มีแค่ฉู่หนิงซยาคนเดียวเท่านั้นที่เป็นตัวแทนของเหลิ่งรั่วปิงได้
เธอถาม เพราะอะไร
เขาบอกว่า จะบอกคำตอบแก่เธอตอนไปเที่ยว
คำตอบคืออะไรกันแน่ เธอยังคงไม่คิดว่าเขาจะรู้ว่าเธอเป็นใคร แม้ว่าบุคลิกของฉู่หนิงซยาและเหลิ่งรั่วปิงจะคล้ายกันมาก แต่หน้าตาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่เห็นตำหนิของหน้ากาก แล้วเขาจะดูออกได้อย่างไร
ขณะที่เธอกำลังสงสัยอยู่นั้น หนานกงเยี่ยหันกลับมาพอดี เขามองมาที่เธอ ยิ้มร่าราวกับดอกไม้ผลิบานในฤดูใบไม้ผลิ เข็นรถเข็นมาหาเธอ ไม่นานเขาก็มาถึงข้างๆ เธอ “พวกคุณคุยกันจบหรือยังครับ”
“อื้ม” เหลิ่งรั่วปิงพยักหน้า ก้มหน้าลงมองของในรถเข็น เขาซื้อกุ้ง เนื้อหมู ปลา ไก่และผักสด ตอนนี้เขาทำอาหารเป็นมากมายขนาดนี้แล้วหรือ “ซื้อเยอะขนาดนี้ คุณทำเป็นเหรอคะ”
หนานกงเยี่ยยิ้มอ่อนโยนราวกับน้ำ แววตาของเขาอบอุ่นยิ่งกว่าอากาศในซุปเปอร์มาร์เก็ต “คุณไม่เชื่อผม? ถ้าอย่างนั้นกลับไป คุณรอกินของอร่อยๆ ได้เลย”
มู่เฉิงซีเองก็เข็นรถเข็นมา มองเหลิ่งรั่วปิงด้วยความใจดี จากนั้นหันไปพูดกับเวินอี๋ “พวกเราก็กลับไปทำอาหารกันเถอะครับ ใกล้เที่ยวแล้ว?”
“ค่ะ” เวินอี๋เชื่อฟังและน่ารัก เป็นผู้หญิงที่เปี่ยมด้วยความสุขภายใต้อ้อมแขนของมู่เฉิงซี
มองจนกระทั่งเวินอี๋จากไป เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกปลื้มใจมาก ความเป็นจริงบางครั้งเธอก็อยากเป็นเหมือนเวินอี๋ เป็นผู้หญิงที่ยิ้มอย่างมีความสุขในอ้อมแขนของชายหนุ่ม
หนานกงเยี่ยก้มหน้าลงแล้วโอบกอดเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ “ไม่ต้องอิจฉาเวินอี๋หรอกครับ ขอเพียงแค่คุณยินดี คุณก็อยู่ในอ้อมแขนของผมได้เหมือนกัน”
สีหน้าของเธอ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อกี้รู้สึกซาบซึ้ง เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร และไม่รู้ว่าเวินอี๋พูดอะไรกับเธอ เธอไม่เคยพูดแบ่งปันเรื่องที่อยู่ในใจให้เขาฟัง แม้แต่ตอนที่ทั้งสองสนิทสนมรักใคร่กันที่สุด เธอก็ยังคงมีเส้นบางๆ กั้นเอาไว้
เวลานี้ รอบตัวของเธอแผ่ซ่านไปด้วยความจนปัญญา เธอกำลังหมดหนทางกับเรื่องอะไร
สีหน้าแบบนี้ของเธอทำให้เขาปวดใจ
ความเป็นจริง เขาคือผู้ชายที่แข็งแกร่งและรักเธอมากที่สุดในโลก ทำไมเธอถึงไม่ยอมกลับมา ทำไมถึงไม่ยอมเอาความลับและภาระให้เขา เขาตามใจเธอได้ทุกอย่าง ให้การปกป้องที่ดีที่สุดกับเธอ ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบเธอยังคงดึงดันที่จะแบกรับความทุกข์ใจนี้ด้วยตนเอง เธอไม่ยินดีและไม่โมโห ไม่โวยวายและไม่เสียงดัง เงียบราวกับเป็นนางฟ้า
เหลิ่งรั่วปิงเงียบอยู่พักหนึ่ง ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มงดงาม “คุณหนานกงคะ คุณคงไม่เห็นฉันเป็นเหลิ่งรั่วปิงจริงๆ หรอกใช่ไหมคะ หรือว่า คุณคิดว่าฉันคือเหลิ่งรั่วปิง”
แววตาของเธอนิ่งสงบ และเหมือนกำลังเย้ยหยัน แต่ความหมายที่ซ่อนเอาไว้ก็ถูกหนานกงเยี่ยจับได้ เธอกำลังลองใจเขา!
หนานกงเยี่ยมองดูใบหน้าที่ยังคงสวยทว่าแตกต่างจากหน้าเดิมของเธอ นานครู่หนึ่งแต่ยังคงไม่ยอมพูดอะไร แววตาอ่อนโยนราวกับแสงสนธยา สาดส่องไปตรงหน้าของเธอ เปี่ยมไปด้วยความรักที่ลึกซึ้ง
ความเป็นจริง ไม่ว่าเธอจะเป็นเหลิ่งรั่วปิงหรือฉู่หนิงซยาล้วนไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือเขารักเธอ ไม่ว่าเธอจะมีหน้าตาอย่างไรเขาก็รัก เขารักเธอ รักเธอลึกเข้าไปถึงจิตวิญญาณ ดังนั้นไม่ว่าหน้าตาของเธอจะเปลี่ยนเป็นเช่นไร เพียงแค่มองเขาก็จำได้ว่าเป็นเธอ
ขณะที่เหลิ่งรั่วปิงถูกเขามองจนอยากจะพูดทำลายความเงียบ จู่ๆ เขาก็ประทับริมฝีปากลงมา ไม่กระวนกระวาย ไม่รีบร้อน น้ำหนักของเขากำลังพอดี รสจูบหมุนเวียน แผ่ซ่านไปถึงกระดูก การจูบที่ทะนุถนอมไปจนถึงจิตวิญญาณ ทำให้เหลิ่งรั่วปิงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ปล่อยให้เขาจับคอของเธอตามอำเภอใจ ปล่อยให้เขาจูบ