บางครั้งเวลาเป็นสิ่งไร้ค่ามาก อย่างเช่น ตอนใครสักคนสงบใจฝึกฝน เวลาผ่านไปรวดเร็วเหมือนสายลม อีกทั้งยังไม่เหลือร่องรอยอะไรไว้เลย

ผ่านไปครึ่งเดือนอย่างรวดเร็ว คนที่ยังฝึกเพลงเต๋าหนึ่งเดียว เหลือแค่ลู่ฝาน เพียงคนเดียว

ไม่ใช่ว่าคนอื่นไม่มีความอุตสาหะ แต่คนที่ถูกบั่นทอนจนใกล้จะไม่ใช่คนอย่างหานเฟิง ทนไม่ไหว จึงไปถามศิษย์พี่ใหญ่ ว่าทำยังไงให้ฝึกสำเร็จ ศิษย์พี่ใหญ่ตอบกลับเพียงประโยคเดียวว่า “ยืนหยัดต่อไปสามพันครั้ง จะฝึกเพลงเต๋าหนึ่งเดียวชั้นหนึ่ง สำเร็จได้”

สามพันครั้ง ตัวเลขนี้ โจมตีหัวใจดวงน้อยของหานเฟิงและคนอื่นทันที

แม้เขาพยายามอย่างสุดชีวิตแล้ว ลองได้เพียงแค่สิบกว่าครั้ง ขืนทำต่อไป คงเลือดออกเจ็ดทวาร และตายไป ถ้าอยากทะลุระดับไปถึงสามพันครั้งต่อเนื่อง ไม่รู้พวกเขาต้องเสียเวลาและสติไปเท่าไร จากที่อาจารย์อี้ชิงพูดมา ถ้าไม่ใช้เวลาสิบปี คงไม่มีทางทำได้

หานเฟิงเลือกไม่ฝึกฝนต่อ อันที่จริง ตอนเขามาในตอนแรก ก็อยากเรียนเพลงเต๋าหนึ่งเดียวเหมือนกัน แต่อาจารย์อี้ชิง กลับให้เคล็ดวิชาบู๊ชุดอื่นกับเขา แถมยังบอกว่า เขาไม่เหมาะกับเพลงเต๋าหนึ่งเดียว

ตอนนั้นหานเฟิงไม่เข้าใจ คิดว่าอาจารย์สบประมาทเขา ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว เขาไม่เหมาะกับเพลงเต๋าหนึ่งเดียวจริงๆ เวลาสิบปี ไม่แน่เขาอาจฝึกเคล็ดวิชาบู๊ ที่เขามีอยู่ สำเร็จจนถึงขั้นสมบูรณ์ไปแล้ว ทำไมต้องมาฝึกเพลงเต๋าหนึ่งเดียวชั้นหนึ่ง ซึ่งไม่รู้จะฝึกสำเร็จหรือเปล่า

หลังฉู่เทียนกับฉู่สิง ฝืนอดทนได้สิบวัน ก็เลือกยอมแพ้เช่นกัน ดังนั้นตอนนี้ กระดาษแผ่นนั้น จึงเป็นของลู่ฝาน ลู่ฝานทำความเข้าใจทุกวัน

แน่นอนว่าลู่ฝานไม่ยอมแพ้ จุดประสงค์ใหญ่ที่เขามาสถาบันสอนวิชาบู๊ ก็คือสิ่งนี้

แม้เขาจะยืนหยัดไม่ถึงสามพันครั้ง แค่ร้อยครั้งยังลำบากมาก แต่ลู่ฝานพยายามทำความเข้าใจอย่างสุดชีวิต

ครึ่งเดือนไม่สำเร็จ ก็หนึ่งเดือน หนึ่งเดือนไม่สำเร็จ ก็หนึ่งปี ลู่ฝานเชื่อว่า แค่ตัวเองพยายามต่อไปเรื่อยๆ จะได้ผลอย่างแน่นอน

แต่พวกอาจารย์อี้ชิง ไม่ได้คิดเช่นนี้

อาจารย์เต้ากวงเตือนลู่ฝานอีกครั้ง เวลาหนึ่งเดือน เขาจะฝึกเพลงเต๋าหนึ่งเดียวได้หรือไม่ มีเวลาจำกัดแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น

ลู่ฝานกัดฟัน ครุ่นคิด และเอากระดาษ ขึ้นไปฝึกเงียบๆ บนเขา ไม่พาเจ้าดำไปด้วย ลู่ฝานจะสู้สักครั้ง ต้องฝึกเพลงเต๋าหนึ่งเดียว สำเร็จให้ได้

เมฆหมอกปกคลุมยอดเขาอวิ๋นซาน

บนหินขรุขระก้อนหนึ่ง ลู่ฝานวางกระดาษในมือไว้ข้างหน้า และใช้หินทับเอาไว้

เสียงลมพัดผ่าน พัดจนแขนเสื้อเขาดังพึ่บพั่บ

ลู่ฝานพึมพำว่า “ตอนนี้ฉันทำได้ประมาณเจ็ดสิบครั้ง ยังห่างจากสามพันครั้งอีกไกล ถ้าใช้วิธีฝึกฝนธรรมดา ค่อยๆ ทะลุระดับขึ้น ไม่มีทางทำสำเร็จในหนึ่งเดือนแน่นอน ดูเหมือนต้องกลั่นยาสักหน่อย”

ในคณะหนึ่งเดียว ลู่ฝานไม่สามารถเปิดเผยทักษะผู้ฝึกชี่ของตัวเองได้ แต่เมื่อมาหลบอยู่ที่นี่ ลู่ฝานจะใช้แรงทั้งหมด ฝึกเพลงเต๋าหนึ่งเดียวให้ได้

เขาไม่ใช่แค่นักบู๊ ที่มีพรสวรรค์ อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกชี่ ที่มีลำดับขั้น ถ้าเรื่องที่นักบู๊ ไม่สามารถทำได้ งั้นลองใช้ทักษะผู้ฝึกชี่ดู

ลู่ฝานเอาหม้อไฟบุ๋นออกมาจากแหวน ตัวหม้าที่ตั้งอยู่ด้านหน้า ใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ในหัวคิดถึงสูตรยาต่างๆ ที่อาจารย์หวูเฉินให้เขา สุดท้ายลู่ฝานตัดสินใจเลือกสูตรยาชื่อว่ายาจิตนิ่ง

ยาจิตนิ่ง ยาระดับสี่ มีประสิทธิภาพทำให้จิตใจปลอดโปร่ง ล้างพิษ

ยาประเภทนี้ เหมาะสำหรับระงับอาการปวดหัว ลู่ฝานจะใช้มันมาสู้กับกระดาษข้างหน้า

ลู่ฝานสูดหายใจลึก เอายาสมุนไพรที่เหลือไม่มากของตัวเองออกมา เลือกสมุนไพรที่เหมาะสมกับการกลั่นยาจิตนิ่ง

ประโยคที่อาจารย์หวูเฉินชอบพูดทุกครั้ง เมื่อกลั่นยาคือ ยาเป็นของตาย สมุนไพรมีชีวิต

ลู่ฝานทำตามวิถีการกลั่นยาของอาจารย์หวูเฉิน ใช้ยาสมุนไพรที่แย่สุด มากลั่นยาที่ดีสุด

ยาที่อาจารย์หวูเฉินให้เขาแทบทุกชนิด ล้วนประกอบขึ้นมาจากสมุนไพรที่แตกต่างกัน ลู่ฝานเลือกสมุนไพรที่จำเป็นออกมาจนเสร็จเรียบร้อย

จากนั้นเตรียมกลั่นยา

สมุนไพรของเขามีไม่มาก พอแค่กลั่นยาครั้งนี้ ดังนั้นลู่ฝานต้องมั่นใจว่าจะสำเร็จในครั้งเดียว จะล้มเหลวไม่ได้

ลู่ฝานสูดหายใจลึก และค่อยๆ เริ่มกลั่นยา

การเคลื่อนไหวของเขาช้ามาก แต่ละเอียดประณีต พยายามไม่ให้ผิดพลาด แม้แต่ขั้นตอนเดียว

กลั่นสมุนไพรทั้งหมดเรียบร้อย แววตาลู่ฝานสงบและเป็นประกายร้อนแรง เอาสมุนไพรทั้งหมดโยนเข้าไปในหม้อไฟบุ๋น

พลิกฝ่ามือ เปลวไฟลุกโชนขึ้นมา

จากการทะลุระดับปราณของลู่ฝาน ทำให้เขาใช้พลังธาตุทั้งห้า ได้คล่องมือยิ่งขึ้น

ลู่ฝานหลับตาลงช้าๆ ตั้งสติและลมหายใจ ปรับไฟให้เหมาะสมที่สุด การเปลี่ยนแปลงของสมุนไพรทุกขั้นตอน อยู่ในการควบคุมของเขา

บางครั้งก็เติมไอน้ำ บางครั้งก็แบ่งเปลวไฟออกเป็นสองด้าน

อุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นยาแปลกๆ ลอยฟุ้งไปทั่วยอดเขา

กลิ่นหอมลอยตามลมไปไกล

ขณะนี้ บนเขาเล็กๆ ในเทือกฉิงเทียน ไม่ไกลจากเขาอวิ๋นซาน ผู้อาวุโสคนหนึ่ง เดินช้าๆ ออกมาจากบ้านไม้

“มีกลิ่นหอม ใครกำลังกลั่นยา”

หน้าประตู วัยรุ่นหลายคน มองหน้ากันไปมา ด้วยสีหน้าตกใจ หนึ่งในนั้นพูดว่า “อาจารย์ เรากำลังทำกันอยู่ ในสถาบันสอนวิชาบู๊แห่งนี้ ยังมีผู้ฝึกชี่คนอื่นเหรอครับ”

ผู้อาวุโสหัวเราะ แล้วพูดว่า “น่าจะไม่มีแล้ว แต่ใช่ว่าจะไม่มีผู้ฝึกชี่คนใหม่มาถึง”

หันไปมองวัยรุ่นคนหนึ่ง แล้วพูดว่า “จ้าวซวี่ นายตามฉันไปดู”