ตอนที่ 202 การรวมญาติอีกครั้ง (5)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

ตอนที่ 202 การรวมญาติอีกครั้ง (5)

หากพูดถึงความงดงาม ซูอวี้เหิงยังพอถือว่าเป็นสตรีที่งดงามคนหนึ่ง ทว่าซูอวี้เหิงถูกองค์หญิงต้าจั่งอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เด็กจึงมีนิสัยที่ไม่พิธีรีตอง มีจิตใจโอบอ้อมอารี รวมกับดวงหน้างดงามของนาง จึงดึงดูดให้คนชื่นชอบและสนใจไม่น้อย

ส่วนสตรีที่งดงามและมีเสน่ห์เฉกเช่นเหยาเชวี่ยหวา และยังมีฐานะเป็นบุตรีอนุภรรยา หากอยากจะออกเรือนไปในตระกูลที่ดีก็จำต้องฝึกฝนให้เป็นคนที่มีคุณธรรมจริยธรรม วาจาดี และมีฝีมือการเย็บปักถักร้อยตามคุณสมบัติทั้งสามชนิดนี้ก่อน

หวังซื่อสั่งสอนเหยาเชวี่ยหวาอย่างเข้มงวด เหตุผลประการแรกก็คือคิดเผื่อบุตรีเอกของตนเอง กลัวว่าบุตรีอนุภรรยาเล็กๆ คนหนึ่งจะทำให้ชื่อเสียงของตระกูลเหยาต้องเสื่อมเสีย แล้วทำให้เหยาเฟิ่งเกอพลอยลำบากไปด้วย ประการที่สองก็คือหวังดีกับตัวเหยาเชวี่ยหวาเอง หากนางฝึกฝนกฎระเบียบและมารยาทเป็นอย่างดี อนาคตอาจเลือกปัญญาชนจากตระกูลฐานะด้อยกว่าแล้วออกเรือนเป็นภรรยาเอก จากนั้นก็ค่อยๆ อดทนและพัฒนาชีวิตคู่ไปด้วยกันได้

สมาชิกครอบครัวตระกูลเหยาไม่ได้เพิ่มมากขึ้น เหยาหย่วนจือไม่มีพี่น้อง เหตุเพราะซ่งฮูหยินผู้เฒ่าเป็นบุตรีของกั๋วกง ตอนนางเป็นสาวก็เป็นคนที่ชอบวางอำนาจ ดังนั้นเหยาหย่วนจือก็ไม่มีพี่น้องที่อนุภรรยาเป็นผู้ให้กำเนิด จนถึงตอนนี้ ตระกูลเหยาก็มีเพียงบุตรชายสองคน และบุตรีสามคนเท่านั้น

ความคิดของหวางซื่อนั้นต้องให้สำคัญกับบุตรเอกของตนเองอยู่แล้ว รอหลังจากที่เหยาเฟิ่งเกอออกเรือน นางกลับให้ความสำคัญกับบุตรีอนุภรรยาสองคนนี้ขึ้นมาบ้าง อย่างไรก็ตาม ต่อให้เป็นบุตรีอนุภรรยา หากออกเรือนไปในตระกูลที่ดีก็ยังช่วยเหลือทางตระกูลได้เหมือนกัน

“พี่สาว ได้ยินว่าครั้งนี้พี่รองและท่านกลับมาด้วยกัน แล้วยังมีท่านโหวและท่านแม่ทัพมาด้วยหรือ”

เหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกหม่นหมองในใจ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงปกติ “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

เหยาเชวี่ยหวาคลี่ยิ้มแล้วพูดอย่างไร้เดียงสา “ได้ยินเหล่าผัวจื่อพูดถึงเจ้าค่ะ”

เหยาเยี่ยนอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ตามกฎระเบียบที่ซ่งฮูหยินผู้เฒ่าตั้งไว้ตอนที่นางยังเป็นผู้ดูแลจวน เรื่องของเรือนหน้าห้ามเอามาพูดถึงในเรือนหลังเด็ดขาด เหล่าผัวจื่อในจวนตอนนี้ไม่ทำตามกฎระเบียบเช่นนี้เลยหรือ หรือว่าพอฮูหยินแก่เฒ่าลง เรื่องในเรือนยิ่งอยู่ก็ยิ่งเข้าแทรกแซงน้อยลงเรื่อยๆ?

“พี่สาว แล้วสรุปว่าใช่หรือไม่” เหยาเชวี่ยหวาไถ่ถามอีกครั้ง นางรู้สึกว่าเรื่องนี้ทั้งจวนต่างก็รู้หมดแล้ว ไม่มีอะไรที่บอกคนอื่นไม่ได้

“เป็นเช่นนั้น” เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้มน้อยๆ “มีเรื่องเช่นนี้จริงๆ”

เหยาเชวี่ยหวารีบจับมือของเหยาเยี่ยนอวี่ไว้แล้วยิ้มเหมือนเด็กไร้เดียงสา พร้อมเอ่ยถาม “พี่สาว ท่านเซียวโหวเป็นคนเยี่ยงไร”

เหยาเยี่ยนอวี่ตกตะลึงในใจ ก้มหน้ามองนางโดยไม่พูดไม่จาไปพักหนึ่ง

เหยาเชวี่ยหวามีอายุน้อยกว่าเหยาเยี่ยนอวี่หกปี มารดาของนางถูกซื้อตัวเข้ามาตอนที่มารดาผู้ให้กำเนิดเหยาเยี่ยนอวี่ป่วยไข้สาหัส หลังจากปีที่ซ่งซื่อเสียชีวิต วิญญาณของเหยาเยี่ยนอวี่ทะลุมิติมา เหยาเชวี่ยหวาก็เพิ่งเกิด ยังเป็นเด็กน้อยในห่อผ้า

กล่าวได้ว่าเหยาเยี่ยนอวี่มองน้องสาวอนุภรรยาผู้นี้เติบโต ดังนั้นทุกๆ รอยยิ้มและทุกๆ การกระทำของนางอาจจะปิดบังหวางซื่อ ปิดบังเหล่าหมัวมัวที่คอยสั่งสอนได้ ทว่ากลับยากจะปิดบังเหยาเยี่ยนอวี่

เหยาเชวี่ยหวายังเด็กจึงไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร หลังจากที่ค่อยๆ เติบโตมาก็ไม่ได้คิดจะป้องกันตัวจากพี่สาวบุตรีอนุภรรยาที่ไม่ชอบพูดคนนี้ แม้กระทั่งบางครั้งยังแสร้งทำเป็นฉลาดต่อหน้านางเพื่อข่มนางไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม

สิบปีที่เป็นพี่น้องกันมา เหยาเยี่ยนอวี่รู้จักเหยาเชวี่ยหวาทะลุปรุโปร่ง ส่วนเหยาเชวี่ยหวากลับไม่เข้าใจแม้แต่เศษหนึ่งส่วนสิบของเหยาเยี่ยนนอวี่

พอเห็นดวงหน้าไร้เดียงสาและความอวดฉลาดของน้องสาว เดิมทีเหยาเยี่ยนอวี่ไม่อยากยุ่งเรื่องของนาง ทว่าหันหมิงชั่นโปรดปรานในคนประเภทใดเหยาเยี่ยนอวี่รู้ดี แม้ว่าตอนนี้นางยังไม่โปรดปรานเซียวหลิน ทว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนาน แค่เซียวหลินหาวิธีมาปรากฏอยู่ในสายตาของนางได้ นางก็คงต้องตกหลุมรักอยู่แล้ว

คนที่หันหมิงชั่นชื่นชอบ เหยาเยี่ยนอวี่ก็ต้องไม่ยอมให้คนหน้าไหนมามีส่วนเกี่ยวข้องอยู่แล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยนิสัยของเซียวหลินและท่าทีที่เขากล้าทูลฮ่องเต้ว่ามีใจให้กับหันหมิงชั่น ต่อให้เหยาเชวี่ยหวาจะคิดสิ่งใดก็เป็นเพียงการหลอกลวงตนเอง

นี่เป็นเพียงสตรีอายุสิบเอ็ดปีเท่านั้น! เหยาเยี่ยนอวี่อดขมวดคิ้วไม่ได้ แม่นางสมัยโบราณเหตุใดถึงได้แตกสาวเร็วเช่นนี้!

“พี่สาว?” เหยาเชวี่ยหวายังรอคำตอบจากเหยาเยี่ยนอวี่

เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดขึ้น “ข้าจะรู้ได้อย่างไร ไม่เช่นนั้นเจ้าก็ลองถามพี่สะใภ้รองดู? ท่านเซียวโหวมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพี่รอง ไม่แน่พี่รองอาจจะเล่าให้นางฟังบ้างก็ได้”

หากนางกล้าไปบอกหนิงซื่อเรื่องนี้ก็เท่ากับว่าทำให้ฮูหยินรู้ หากฮูหยินรู้แล้ว…

เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้มไม่จริงใจออกมา น้องสาว เจ้าภาวนาให้ตนเองโชคดีเถอะ

เหยาเชวี่ยหวาทำทีเหมือนไม่ได้รับความธรรม ท่าทางไม่เชื่อแม้แต่น้อย แล้วยังทำออดอ้อนอีก “พี่สาวจะไม่รู้ได้อย่างไร! พวกท่านไม่ใช่ว่าเดินทางมาด้วยกันหรือ”

“น้องสาม เจ้าก็อายุไม่น้อยแล้ว หนุ่มสาวต้องหัดรู้จักป้องกันตัว เจ้าก็น่าจะรู้มิใช่หรือ สหายของพี่รองกับพวกเราเดินทางมาด้วยกัน แน่นอนว่าต้องอยู่กับพี่รอง ข้าเป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง จะไปเข้าใจเรื่องของเหล่าบุรุษได้อย่างไร ข้าจะถือว่าเจ้ายังเป็นเด็กน้อย จะไม่ถือสาเจ้าก็แล้วกัน เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถอะ” เหยาเยี่ยนอวี่ว่าแล้วก็เงยหน้าสั่งชุ่ยเวย “เอาเสื้อผ้ามา ข้าควรไปเข้าพบฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว”

เหยาเชวี่ยหวาถูกสั่งสอนไปสองสามประโยค ในดวงตากลมโตมีน้ำใสๆ เอ่อคลอ ทว่ายังคงยืนอยู่ที่เดิมอย่างเชื่องเชื่อ นางกล่าวอำลากับเหยาเยี่ยนอวี่ จากนั้นค่อยเดินออกไปข้างนอก

ชุ่ยผิงจึงทำเสียงในลำคออย่างโกรธเคือง “ผู้ที่ติดตามคุณหนูสามเป็นคนตายหรืออย่างไรถึงได้ปล่อยให้นางพูดจาเหลวไหลเช่นนี้”

เฝิงหมัวมัวจึงรีบตำหนินางทันที “เรื่องของนายเจ้ายังกล้าพูดจาเรื่อยเปื่อยเช่นนี้? ยังไม่หุบปากอีก”

บ่าวไพร่ที่อยู่ข้างกายเหยาเยี่ยนอวี่ เฝิงหมัวมัวต้องเป็นผู้นำอยู่แล้ว ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงทั้งสองคนก็ถูกนางสั่งสอนมาตั้งแต่เด็ก ชุ่ยผิงเป็นคนตรงไปตรงมา บางเรื่องหากทนดูไม่ไหวก็จะพูดออกมาตรงๆ เดิมทีเฝิงหมัวมัวรู้สึกว่านางเป็นเช่นนี้ไม่ดี จึงจัดให้นางเป็นสาวใช้อันดับสอง

ทว่าเหยาเยี่ยนอวี่กลับรู้สึกว่าผู้ที่ตรงไปตรงมานั้นดี เดิมทีตนเองก็ไม่มากความอยู่แล้ว หากให้สาวใช้ที่ไม่ชอบพูดคุยมาอยู่ข้างกายอีก อนาคตอาจถูกคนที่ฉลาดแกมโกงหลอกลวงหรือเปล่า ดังนั้นจึงให้ความสำคัญกับนาง ให้นางอยู่ข้างกายมาโดยตลอด

ชุ่ยผิงได้ยินเฝิงหมัวมัวตำหนิจึงรีบหุบปากทันที

เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้ม “ชุ่ยผิงกล่าวก็ไม่ผิด หมัวมัวอย่าตำหนินางเลย” ขณะที่กล่าว เหยาเยี่ยนอวี่ก็ตักเตือนชุ่ยผิง “ทว่าวันข้างหน้าก็ต้องระวังเสียหน่อย อย่างไรคุณหนูสามก็คือนายหญิง นางกระทำผิดก็ต้องมีคนสั่งสอนนางอยู่แล้ว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเรา”

ชุ่ยผิงรีบค้อมตัวตอบกลับ “คุณหนูสั่งสอนถูกต้องเจ้าค่ะ บ่าวจดจำไว้แล้วเจ้าค่ะ”

เหยาเยี่ยนอวี่สวมชุดคลุมสีม่วงอ่อนชุดใหม่แล้วส่องคันฉ่องสักพักค่อยพูดขึ้น “พวกเราไปกันเถอะ”

ชุ่ยเวยรีบหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าและพัดของเหยาเยี่ยนอวี่ติดมือแล้วเดินตามออกประตูไป

ยังไม่ถึงเวลาอาหารมื้อค่ำ หวางฮูหยินไม่อยู่เรือน หนิงรุ่ยเจียงซื่อที่เป็นสะใภ้คนโตก็ต้องจัดการกับเรื่องงานเลี้ยง ตรงหน้าซ่งฮูหยินผู้เฒ่ามีเพียงหนิงซื่อเพียงคนเดียวเท่านั้น ทั้งคู่กำลังพูดคุยเล่นราวกับเป็นสหายอยู่

ของฝากที่เหยาเยี่ยนอวี่จะให้ในแต่ละเรือนก็ถูกส่งออกมาหมดแล้ว หนึ่งในของฝากที่ทุกคนได้รับก็คือคันฉ่องทรงสี่เหลี่ยมจากแถบตะวันตกยาวหนึ่งฉื่อ จำจากไม้ประดู่แดงแกะสลัก ขอบของกระจกด้านหลังมีที่ขา ใช้ตั้งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งส่องตอนเวลาแต่งตัวได้

หนิงซื่อก็ส่องคันฉ่องเป็นเพื่อนกับซ่งฮูหยินผู้เฒ่า ซ่งฮูหยินผู้เฒ่ามองคันฉ่อง ในนั้นปรากฎภาพใบหน้าแก่เฒ่าของตน รอยเหี่ยวย่นเหล่านั้นชัดเจนกว่ากระจกทองแดงเป็นร้อยเท่า คันฉ่องชนิดนี้เผยสภาพผิวหน้าที่แท้จริงออกมาทั้งหมด นางรีบคลี่ยิ้ม “โธ่! ดูใบหน้าที่แก่เฒ่าของข้าสิ! ดูไม่ได้จริงๆ! จุ๊ๆ! คันฉ่องนี้ช่างดีนัก ทั้งสว่างทั้งชัดเจน… ทว่าหากมองเห็นชัดเจนเกินไป ก็รู้สึกไม่ค่อยดีจริงๆ”