ตอนที่ 203 เข้าป่าเก็บสมุนไพร (1)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

ตอนที่ 203 เข้าป่าเก็บสมุนไพร (1)

“นี่กลับเป็นข้อเสียของคันฉ่องนี้” หนิงซื่อพูดยิ้มๆ

ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเอาคันฉ่องวางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้งด้วยรอยยิ้มแล้วรำพึง “เฮ้อ! คันฉ่องที่มองเห็นชัดเจนก็มีข้อดีของมัน ส่วนอันที่ไม่ชัดเจนก็มีข้อดีเช่นกัน เรื่องบางเรื่องหากไม่ชัดเจนและไม่กระจ่างแจ้งอาจผิดกฎระเบียบ ทว่าหากทำตามกฎระเบียบที่วางไว้มากเกินไปชีวิตก็อาจดำรงต่อไปไม่ได้! ดังนั้นเกิดเป็นคนก็ต้องลืมตาข้างหนึ่งและหลับตาข้างหนึ่ง”

เหยาเยี่ยนอวี่เข้าประตูก็ได้ยินคำพูดนี้พอดีจึงอดยิ้มพลางเอ่ยไม่ได้ “ท่านฮูหยินผู้เฒ่ากำลังหมายถึง ‘ความยากเย็นที่จะทำตัวตามสบาย’ หรือคิดๆ ดูแล้วช่างเป็นคำพูดที่มีเหตุผลและแม่นยำจริงๆ”

“ความยากเย็นที่จะทำตัวตามสบาย?” หนิงซื่อคลี่ยิ้มอย่างตกตะลึง “คำพูดนี้กลับเป็นความเชื่อที่เดินทางสายกลางจริงๆ”

ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งคลี่ยิ้ม “อย่างไรยัยหนูรองก็เป็นผู้ที่รู้หนังสือที่สุด วาจาที่เอ่ยออกมาก็หนักแน่นกว่าพวกเรา รีบมาให้ข้าดูหน่อยเร็ว นอนหลับพักผ่อนไปหนึ่งวันดีขึ้นมาบ้างหรือยัง”

“ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากังวลใจแล้ว ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ” เหยาเยี่ยนอวี่เดินไปตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งแล้วค้อมตัวทำความเคารพ จากนั้นก็นั่งลงข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าแล้วปล่อยให้นางกอดตนเองไว้

หนิงซื่อก็กล่าวขอบคุณเหยาเยี่ยนอวี่ พูดถึงของฝากที่นางนำกลับมาจากเมืองหลวงว่าตนชื่นชอบมาก ผู้ที่เป็นพี่สะใภ้ต้องให้น้องสาวคอยครุ่นคิดอย่างเปลืองสมองเช่นนี้ตนก็รู้สึกละอายใจอย่างยิ่ง เหยาเยี่ยนอวี่รีบพูดขึ้น “พี่สะใภ้อยู่ในจวนก็กตัญญูต่อฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยิน น้องสาวอยู่ปรนนิบัติรับใช้ที่จวนอย่างกตัญญูไม่ได้ การที่ส่งมอบของฝากเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นเรื่องสมควรอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”

ระหว่างที่พูดข้างนอกก็มีสาวใช้มารายงาน “คุณชายรองมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”

หนิงซื่อและเหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินจึงรีบลุกขึ้นและไปต้อนรับหน้าประตู เหยาเหยียนอี้เข้าประตูมาด้วยรอยยิ้มแล้วเดินเข้าไปน้อมทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งพูดด้วยรอยยิ้ม “วันนี้เจ้าลำบากแล้ว ซวงสี่ ยกน้ำชาชั้นดีของข้ามาให้คุณชายรองของพวกเจ้าสักถ้วย”

สาวใช้เอกที่อยู่ข้างกายจึงไปชงชาอย่างดีอกดีใจ เหยาเหยียนอี้ยืดตัวนั่งแล้วเอ่ยถามสารทุกข์สุขดิบของฮูหยินผู้เฒ่าว่าวันนี้กินดีหรือไม่ นอนกลางวันหลับสบายหรือไม่ อารมณ์ดีหรือไม่ ฯลฯ

ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งคลี่ยิ้ม “เจ้านี่ปากหวานตลอดเหมือนเอาน้ำผึ้งป้ายริมฝีปากทั้งวัน ไม่เหมือนพี่ใหญ่ของเจ้าที่เอาแต่ทำหน้าตายไม่ยอมยิ้มสักนิด”

เหยาเหยียนอี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่าพี่ใหญ่จะไม่ชอบยิ้ม ทว่าภายในใจก็กตัญญูกับฮูหยินผู้เฒ่า ได้ยินว่าวันนี้เขามีธุระที่ศาลาว่าการ ตอนสายๆ ถึงจะกลับมาได้ขอรับ”

ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งรีบคลี่ยิ้มพลางพูดขึ้น “นี่ข้ายังไม่รู้อีกหรือ พวกเจ้าสองคนต่างก็เป็นหลานของข้า คนนั้นก็หลาน คนนี้ก็หลาน มีผู้ใดบ้างที่ข้าไม่รักใคร่ ว่าไปแล้วพวกเจ้าต่างก็ต้องลำบากกับงานราชการ ข้าก็มีสะใภ้ของพวกเจ้าคอยอยู่ดูแลปรนนิบัติ พวกเจ้าไปทำการใหญ่อย่างสบายใจเถอะ”

ซวงสี่ยกถ้วยชาหนึ่งถ้วยด้วยสองมือ เหยาเหยียนอี้รับไว้แล้วกล่าวขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่า จากนั้นก็เป่าน้ำชาจิบหนึ่งคำพร้อมกับเอ่ยชม “ดั่งที่คาดไว้ไม่มีผิด ชาของฮูหยินผู้เฒ่าช่างหอมกรุ่นเหลือเกิน”

“นี่เป็นซื่อเจี๋ยสั่งให้คนส่งมา บอกว่าเป็นชาฤดูใบไม้ผลิในปีนี้ หากเจ้าชื่นชอบข้าก็ยังมีอยู่ ประเดี๋ยวให้สะใภ้ของเจ้านำกลับไป”

เหยาเหยียนอี้รีบกล่าว “หลานไม่ได้กตัญญูต่อฮูหยินผู้เฒ่า กลับยังจะนำของของฮูหยินผู้เฒ่าไปอีก”

ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งคลี่ยิ้ม “มีสิ่งใดไม่ดี ทุกอย่างในเรือนของข้า อนาคตก็ไม่ใช่ว่าจะตกเป็นของพวกเจ้าหรอกหรือ”

หนิงซื่อพูดด้วยรอยยิ้ม “ฮูหยินผู้เฒ่ารักใคร่และเอ็นดูคุณชายรองของพวกเราเป็นพิเศษอยู่แล้ว”

ทุกคนในเรือนต่างก็หัวเราะกันขึ้นมา

เหยาเหยียนอี้เหลือบมองเหยาเยี่ยนอวี่เพียงพริบตาแล้วเอ่ยถาม “ข้าได้ยินว่าน้องรองไม่ค่อยสบายหรือ อาการร้ายแรงหรือไม่”

ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งรีบพูดขึ้น “นางรู้สึกไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัวพอหลับไปหนึ่งวันถึงจะรู้สึกดีขึ้น”

เหยาเยี่ยนอวี่รีบพูดขึ้น “ไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ เพราะก่อนหน้านี้ไม่ได้นอนหลับพักผ่อนดีๆ บนเรือ ตอนนี้พอนอนหลับเพียงพอก็ดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ”

เหยาเหยียนอี้พยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ไหนๆ ก็เป็นเช่นนี้แล้ว ข้ามีเรื่องนี้อยากจะรบกวนน้องรองเสียหน่อย”

เหยาเยี่ยนอวี่รู้ดีว่าเหยาเหยียนอี้จะพูดเรื่องใด ครั้งนี้เขาตั้งใจมาพูดในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าโดยเฉพาะก็เพื่อที่จะหาข้ออ้างหนึ่งให้ตนเองออกเดินทางด้วยเหตุนี้ จึงพูดขึ้น “พี่รองมีเรื่องใดก็สั่งการได้เลยเจ้าค่ะ อย่าพูดว่าเป็นการรบกวนเลย”

ดั่งคาด เหยาเหยียนอี้คลี่ยิ้ม “วันรุ่งขึ้นเจ้าออกเดินทางกับข้าก็จะรู้เอง”

หนิงซื่อรีบพูดขึ้น “วันนี้น้องสาวเพิ่งจะดีขึ้น วันรุ่งขึ้นก็จะออกเดินทางไปข้างนอก? ร่างกายจะรับไหวหรือ”

ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็พูดขึ้น “เรื่องอะไรเร่งรีบขนาดนี้ เพิ่งจะกลับมาก็จะเดินทางไปข้างนอกแล้วหรือ”

เหยาเหยียนอี้รีบพูดขึ้น “เรื่องเร่งด่วนเล็กน้อยขอรับ เหตุเพราะเป็นเรื่องของฮ่องเต้ที่เกี่ยวข้องกับยาสมุนไพร เรื่องนี้จึงถูกรักษาเป็นความลับ หากให้คนอื่นมาดำเนินการข้าไม่เชื่อใจจริงๆ ทำได้เพียงให้น้องรองไปหาเองถึงจะดี อย่างไรน้องรองก็ต้องเหน็ดเหนื่อยกับธุระนี้อยู่แล้ว”

เหยาเยี่ยนอวี่ลุกขึ้น “ฮูหยินผู้เฒ่าวางใจเถอะ มีพี่รองอยู่ข้าก็แค่ติดตามไปเท่านั้น คงไม่เหน็ดเหนื่อยอะไรมาก”

ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งได้ยินคำพูดนี้ทำได้เพียงเปรยขึ้น “ไหนๆ ก็เป็นเช่นนี้ อย่างนั้นเจ้าก็ไปเถอะ ตนเองก็หมั่นระวังตัวให้มาก”

เหยาเหยียนอี้และเหยาเยี่ยนอวี่ต่างก็ลุกขึ้นแล้วตอบกลับ

หลังจากเสวนากันไปสักพักก็ถึงเวลามื้อค่ำ หวางฮูหยินพาเจียงซื่อเข้ามาปรนนิบัติรับใช้ ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งสั่งให้เหยาเหยียนอี้และเหยาเยี่ยนอวี่อยู่รับมื้อค่ำด้วยกันแล้วกำชับเรื่องบางอย่าง จากนั้นถึงจะสั่งให้ทุกคนแยกย้ายกลับไปพักผ่อน

หนิงซื่อถูกเหล่าสาวใช้และผัวจื่อตามประกบกลับมาจากเรือนที่พักของฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง พอเข้าประตูของเรือน สาวใช้เอกนามว่าจินหวนก็ออกมาต้อนรับ หนิงซื่อมองท่าทางของนางก็รู้ว่าต้องมีอะไรจะพูด จึงสั่งให้สาวใช้และผัวจื่อที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องออกไป เหลือเพียงจินหวนที่อยู่ตรงหน้านาง

จินหวนมองเหยาเหยียนอี้ที่พิงอยู่บนตั่งไม้เพียงชั่วพริบตาแล้วพูดเสียงต่ำ “เรียนฮูหยิน ตอนกลางคืนเถียนอี๋เหนียงมาส่งแจกันดอกไม้ให้ท่านฮูหยินหนึ่งคู่ บอกว่ามาแสดงความยินดีคุณชายรองเจ้าค่ะ”

หนิงซื่อยิ้มอ่อนๆ อย่างไม่สนใจ “ข้าก็นึกว่ามีการใดสำคัญ ก็แค่แจกันหนึ่งคู่เท่านั้น มีแบบไหนบ้างที่ไม่เคยเห็น วันนี้เหตุใดเจ้าถึงไม่รู้จักกาลเทศะเช่นนี้”

จินหวนตอบกลับ “เหตุเพราะบ่าวเห็นว่าแจกันคู่นั้นมีประวัติอยู่บ้างดังนั้นจึงไม่กล้าตัดสินใจด้วยตัวเอง” ขณะที่พูดก็หันหลังเดินออกไป ไม่นานก็อุ้มหีบขนาดใหญ่มาเปิดให้หนิงซื่อดูพร้อมพูดขึ้น “ท่านฮูหยินดูสิเจ้าคะ นี่เหมือนเป็นแจกันประดิษฐ์เขียนสีเคลือบแบบเฝินไฉ่ลายเด็กนับร้อยที่ท่านพร่ำบ่นถึงหรือเปล่า”

“เอ๊ะ ดูเหมือนจะใช่!” หนิงซื่อก็คาดคิดไม่ถึง หยิบแจกันใบหนึ่งมาไว้ในมือแล้วสังเกตมองอย่างละเอียด หลังจากนั้นก็รู้สึกแปลกใจยิ่งนัก “นี่เป็นของจริงหรือของปลอมกันแน่ ของชิ้นนี้ข้าตามหามานานก็ไม่พบ นางกลับมีปัญญา”

เหยาเหยียนอี้ได้ยินคำพูดนี้ก็ลืมตาขึ้นแล้วมองแจกันใบนั้นครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น “นี่น่าจะเป็นของจริง”

จินหวนพูดด้วยรอยยิ้ม “หากเป็นของปลอมนางจะกล้าส่งให้เรือนนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ”

หนิงซื่อได้ยินจึงขึงตาโตมองจินหวน “พูดอย่างไรกับนายท่าน”

จินหวนจึงหุบยิ้มพลางก้มหน้าลง เหยาเหยียนอี้กลับไม่สนใจ จินหวนเป็นคนในเรือนของเขา ไม่เพียงแต่มีรูปลักษณ์หน้าตาที่ดี ยังเป็นคนที่ครุ่นคิดทุกอย่างอย่างถี่ถ้วน วาจาและการทำงานนั้นไม่ด้อยไปกว่ายอดสตรี และเป็นแขนซ้ายแขนขวาของหนิงซื่อ ว่ากันว่าภรรยาไม่เท่าอนุภรรยา แน่นอนว่าเหยาเหยียนอี้คงไม่โกรธเพราะคำพูดเพียงประโยคเดียวของจินหวน จึงแค่พูดขึ้นยิ้มๆ “นางไม่มีมารยาทตอนอยู่ต่อหน้าข้าก็ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นวันสองวัน”

หนิงซื่อคลี่ยิ้ม “ก็เพราะว่าท่านพี่ตามใจนาง!”

เหยาเหยียนอี้ส่งยิ้มแล้วเปลี่ยนประเด็นพูดคุย จึงชี้และเอ่ยถามแจกันนี้ “นี่มันมีความหมายอย่างไรกันแน่”

หนิงซื่อส่ายหัว “เก็บไว้ก่อนเถอะ วันข้างหน้าค่อยว่ากันอีกที ข้ามักจะรู้สึกว่านางต้องมีเป้าหมาย หากต้องการแค่ร่วมแสดงความยินดีกับคุณชายรองก็คงไม่จำเป็นต้องเอาของเช่นนี้ออกมา”