ตอนที่ 172 ยันต์ใหญ่มาก

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

ฟางเจิ้งแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น “โยมหวัง ถ้าจะดื่มน้ำก็ไปดื่มที่ครัว อาตมาวาดยันต์สักสองแผ่นก่อน”

“ได้!” หวังโอ้วกุ้ยขานรับแล้วไปหลังลาน

ฟางเจิ้งหยิบเครื่องเขียนพู่กันจีนออกมา ตัดกระดาษเหลืองเป็นแผ่นยาว มีทักษะที่ชำนาญมาก ไม่ต้องใช้มีดหรือกรรไกร แค่ฉีกก็เป็นเส้นตรงให้ไม่มีขอบขน! เมื่อปูกระดาษเหลืองแล้วก็บดหมึก ใส่ชาด พู่กันจุ่มน้ำหมึก สูดลมหายใจเข้าลึก ทั้งตัวพลันกลายเป็นดั่งพระพุทธองค์แน่นิ่ง ดวงตาสองข้างเป็นสมาธิ มั่นคงดั่งขุนเขา จากนั้นลงพู่กัน! ประหนึ่งมีมังกรร้องอยู่เป็นเพื่อน สายฟ้าผ่าลงมาเปรี้ยงปร้าง!

ความคิดถึง พู่กันถึง พู่กันเป็นดั่งมังกรเทพบินฉวัดเฉวียน อึดใจเดียวฟางเจิ้งเขียนยันต์ซับซ้อนอย่างยิ่งแผ่นหนึ่งเสร็จในหนึ่งนาที!

สุดท้ายตอนที่ยกพู่กันขึ้น บนยันต์เหมือนมีแสงทองสว่างวาบ และยังคล้ายกับภาพลวงตา ทว่าฟางเจิ้งไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ แต่วางพู่กันลง ตบโต๊ะ กระดาษเหลืองลอยขึ้น ยกสองมือขึ้นพร้อมกันพับสองสามครั้งซ้อนกับเป็นลักษณะหกเหลี่ยม! จากนั้นก็ใช้กระดาษคุณภาพสูงห่อไว้อย่างดี เก็บเครื่องเขียนพู่กันจีนแล้วรอหวังโอ้วกุ้ย

แม้หวังโอ้วกุ้ยจะชอบดื่มน้ำของฟางเจิ้ง แต่ท้องคนก็ใหญ่ได้แค่นี้ เขาไปห้องครัว ดื่มน้ำไปสองชามใหญ่รู้สึกสบายกายสบายใจ ทว่าพอจะดื่มอีกกลับดื่มไม่ลงเลยออกมา

ขณะเดียวกันเขาก็อยากรู้ว่าฟางเจิ้งจะเขียนยันต์อะไร…

ทว่าวินาทีที่เขาเดินออกมา เห็นฟางเจิ้งเก็บโต๊ะเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว กำลังยืนมองเขาอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ต้นโพธิ์เขียวขจีมาก หลวงจีนในจีวรขาวสดใสสว่างไสว ทำให้หวังโอ้วกุ้ยตาสว่างขึ้นมา คิดในใจว่า ‘เจ้าเด็กนี่เกิดมาเพื่อเป็นนักบวชโดยแท้…’

“เจ้าฟาง ไหนแกว่าจะเขียนยันต์?” หวังโอ้วกุ้ยถาม

ฟางเจิ้งหัวเราะ “เขียนเสร็จแล้ว นั่น อยู่ตรงนั้น อีกเดี๋ยวลงเขา โยมหวังส่งไปตามที่อยู่นี้นะ นี่เงินค่าส่งด่วน”

ฟางเจิ้งตรวจดูราคาค่าส่งด่วนมาก่อนแล้ว ของบริษัทส่งเร็วตลอดทางส่งเร็วที่สุด บริการดีที่สุด ที่สำคัญคือมันให้การสนับสนุนเรื่องการส่งวันเดียว! ช่วยคนประหนึ่งดับเพลิง ฟางเจิ้งย่อมไม่งกเงิน ครั้งนี้เขาควักเงินก้อนสุดท้ายออกมาเลย

หวังโอ้วกุ้ยเห็นแบบนั้นจึงรีบเอ่ย “ช่างมันเถอะ แค่สิบยี่สิบหยวน อามี เดี๋ยวฉันจะเอาของไปส่งให้เอง แกเก็บเงินไว้เถอะ”

ฟางเจิ้งส่งให้อีกหลายครั้ง หวังโอ้วกุ้ยก็ไม่รับ แต่หยิบยันต์กับที่อยู่ลงเขาไป

ฟางเจิ้งส่ายหน้าพลางยิ้มแห้งๆ ดูเหมือนว่าหวังโอ้วกุ้ยจะไม่เคยมองว่าเขาเป็นนักบวชเลย แต่มองว่าเป็นคนในครอบครัว…ตอนคนเยอะจะเรียกเจ้าอาวาส เรียกสมภารตามมารยาท แต่ตอนที่เหลือกันสองคนจะไม่เรียกอะไรทั้งนั้น แต่ความรู้สึกนี้ก็ดีจริงๆ! เขาชอบความรู้สึกนี้ แม้ไม่มีบุพการี แต่เขากล้าพูดเสียงดังกับทุกคนว่าเขามีบุพการีเยอะมาก! เขาไม่ขาดความรักไปกว่าใครๆ เลย แต่ขาดแค่เงิน!

หวังโอ้วกุ้ยลงเขาไปแล้ว ฟางเจิ้งจึงส่งข้อความหาจ้าวต้าถง “อาตมาส่งของไปแล้ว ถ้าถึงแล้วติดต่อมา อาตมาจะสอนวิธีใช้”

ไม่ผิด ความฝันยามต้มข้าวฟ่างไม่มีทางมีสัญญาณเหมือนกับ4G ครอบคลุมทั่วประเทศ แต่กำหนดให้เข้าฝันได้ แค่ตัวแปรก็คือยันต์แผ่นนั้น! ยันต์เป็นเพียงตัวแปรที่เชื่อมระหว่างตำแหน่งที่กำหนดกับฟางเจิ้ง รายละเอียดจะควบคุมอย่างไรนั้นต้องรอฟางเจิ้งใช้อีกที

“อะไรนะ? นายบอกเรื่องอวิ๋นจิ้งกับไต้ซือ?” หม่าเจวียนจ้องจ้าวต้าถง

จ้าวต้าถงตอบ “บอกไปแล้ว ไม่อย่างนั้นจะทำยังไง? เธอดูสิ อาจารย์ที่ปรึกษา อธิการบดี จิตแพทย์ ตำรวจมาหมดแล้วมีประโยชน์อะไรไหม? ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้วเลยไปหาไต้ซือ”

“ปัญหาคือไต้ซือ…ไต้ซือจะทำอะไรได้? นี่มันอาการป่วยทางใจนะ!” หม่าเจวียนว่า

“ก็เพราะป่วยทางใจไงเลยไปหาไต้ซือ อย่าลืมสิ นักบวชเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยากันทั้งนั้น หลายคนเลยนะที่ได้พระอาจารย์ชี้แนะแล้วเข้าใจ ประสบความสำเร็จกัน” จ้าวต้าถงตอบอย่างมีเหตุผล

หม่าเจวียนยิ้มเจื่อน “ปัญหาไม่ใช่ตรงนี้ ถ้าเป็นต่อหน้าฉันเชื่อว่าไต้ซือมีวิธี พระธรรมเน้นเรื่องให้คนกลับตัวกลับใจ ไม่ใช่กลับที่ร่างกาย แต่เป็นจิตวิญญาณ พูดง่ายๆ คือเปลี่ยนความคิด เลยมีพุทธสาวกใช้วิธีการพูดแบบลิ้นบัวเบ่งบาน แต่ว่านะไต้ซือมาไม่ได้นี่ ได้แค่ส่งของมาให้ แล้วของนี่จะแก้ปมในใจฟางอวิ๋นจิ้งได้เหรอ? มะ…มันยากเกินไปไหม…พูดง่ายๆ คือมันไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง”

“สอดคล้องรึเปล่าช่างมันก่อนเถอะ เอ่อ พวกเธอเข้าใจฟางอวิ๋นจิ้งดีที่สุด เขียนบอกไต้ซือแล้วกัน ให้ฉันเขียนก็เขียนไม่ออกจริงๆ จำไว้นะ จะต้องเขียนจากใจ ทรัพย์ปัญญาเป็นเลิศ เล่าตามความจริง…” จ้าวต้าถงยังพูดไม่จบก็เห็นหม่าเจวียนกับหูหานวางมาดจะต่อยคนจึงรีบหุบปากเงียบ

ฟางเจิ้งเห็นข้อความเกี่ยวกับฟางอวิ๋นจิ้งที่จ้าวต้าถงส่งมาแล้วก็ถอนหายใจ ‘น่าสงสาร…พุทธศาสนาพูดถึงกรรม ภพก่อนเป็นเหตุ ภพนี้เป็นผล ความทุกข์ในภพนี้มาจากหนี้ในภพก่อน ถ้าอย่างนั้นใช้หนี้ในภพนี้ ภพหน้าจะเป็นยังไง?’

ฟางเจิ้งพบว่าพระธรรมน้อยนิดของตนยังไม่พอใช้จริงๆ

เขาวางมือถือลง ตรึกตรองเงียบๆ ว่าจะเหนี่ยวนำให้ฟางอวิ๋นจิ้งเปิดปัญหาปมในใจได้ยังไง ความฝันยามต้มข้าวฟ่างเหมือนจะแกร่ง แต่ถ้าใช้ไม่เหมาะจะมีโอกาสสูงมากที่จะเกิดผลตรงข้าม

เหมือนกับหมาป่าเดียวดาย เพราะฟางเจิ้งเข้าใจมันเลยสร้างภาพที่มันชอบได้ ภูเขาข้าวหนึ่งลูกทำให้มันลืมตัวได้ใจ และเพราะคุยกับหลี่เฟิ่งเซียน รู้ถึงความปรารถนาในอดีตของเธอ ฉะนั้นเลยแตกต่างกันไปตามคน ดึงเข้าฝันให้เธอตระหนัก

แต่ฟางอวิ๋นจิ้งล่ะ? ถึงจะเคยพบกันมาก่อน เคยคุยมาก่อน แต่เป็นคำพูดสัพเพเหระ พอนึกถึงเด็กสาวที่มีความสุขและทุกข์ปนกัน ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความสวยและฉลาดคนนั้น ฟางเจิ้งอดส่ายหน้าไม่ได้ จะลงมือยังไง นี่ต่างหากคือปัญญาที่เขากำลังใคร่ครวญ

หนึ่งคืนผ่านไปเงียบๆ

วันที่สองตอนกลางวัน

“ต้าถง นี่คือของที่ไต้ซือส่งให้พวกเรา? ทำไมใหญ่จัง?” หูหานมองกล่องใบหนึ่งในมือจ้าวต้าถงพลางถาม

“อาจจะเป็นเทคโนโลยีระดับสูงบางอย่าง” จ้าวต้าถงพูดมั่วไปเรื่อย

“เอาเถอะ อย่าพูดไร้สาระ รีบเปิดดูเร็ว ฉันอยากรู้จังว่าไต้ซือส่งเครื่องอะไรมาให้” หม่าเจวียนพูดด้วยความตื่นเต้น แม้พวกเธอจะไม่ค่อยเชื่อว่าฟางเจิ้งจะใช้ของชิ้นนี้แก้ปมในใจฟางอวิ๋นจิ้งได้ แต่ก็ยังอยากรู้อยากเห็น…

จ้าวต้าถงรีบฉีกห่อพัสดุ ฉีกออกชั้นแรก ในกระดาษชั้นดีห่อกระดาษไว้อีกชั้น!

ฉีกอีก! ก็ยังเป็นกระดาษ!

ฉีก!

ฉีก!

ฉีก!

………

“ต้าถงนายค่อยๆ เล่นไปละกัน ฉันนอนก่อน” หูหานตบบ่าจ้าวต้าถงแล้วพูดล้อเล่น

จ้าวต้าถงแทบจะพูดไม่ออกแล้ว ฉีกห่อกระดาษใหญ่จนเหลือเท่ากล่องไม้ขีด แถมยังมีอีกชั้น! นี่เล่นอะไรกัน? ฉีกจนถึงตอนนี้ แม้แต่จ้าวต้าถงเองยังไม่เชื่อว่าของเล็กแบบนี้จะช่วยแก้ปมในใจฟางอวิ๋นจิ้งได้

ชั่วขณะที่จ้าวต้าถงกำลังจะสิ้นหวังนั้น ในที่สุดก็ฉีกกระดาษห่อชั้นสุดท้าย เผยสิ่งของข้างใน เป็นยันต์หกเหลี่ยมสีเหลือง!

“นี่…” จ้าวต้าถงมองคนอื่น

หม่าเจวียน หูหานตะลึงค้าง

หูหานหัวเราะแห้งๆ สองที “ไต้ซือคงไม่ได้แกล้งเล่นหรอกใช่ไหม? ยันต์แผ่นเดียวจะช่วยฟางอวิ๋นจิ้งได้เหรอ? แถมยังห่อซะหนาขนาดนี้? กลัวหายรึไงนะ?”

“ยังไงก็ลองเถอะ ฉันว่าไต้ซือมหัศจรรย์มาก เขาเห็นนิมิตของพวกเราเชียวนะ ก็ต้องเขียนยันต์เจ๋งๆ บ้างแหละ” จ้าวต้าถงเห็นคนเชิญฟางเจิ้งมา แน่นอนว่าต้องพูดให้ฟางเจิ้ง

หม่าเจวียนว่า “ใช่ ไต้ซือไม่ใช่คนที่จะทำอะไรไร้ประโยชน์ พวกนายลืมเรื่องรองเท้ากับเชือกในตอนนั้นไปแล้วเหรอ? ฉันว่านะสงสัยไปก็ไม่น่าเชื่อถือเท่ากับทำจริงหรอก! ถ้าอย่างนั้นมาลองดูก่อนดีไหม?”

“อวิ๋นจิ้งลองน่ะไม่มีปัญหาหรอก ปัญหาคือวันนี้เหมือนว่าอาจารย์ที่ปรึกษาห้องเธอจะเฝ้ายามดึกนี่? อีกอย่างใช้เจ้านี่ยังไงยังไม่รู้เลย ถ้าให้ติดตัวก็ง่าย แค่ยัดเข้าไปก็จบ แต่ถ้าต้องจุดไฟเผาแล้วกินนี่ ฉันว่าพวกอาจารย์ที่ปรึกษาห้องเธอเป็นพวกหัวโบราณจะยอมเหรอ? ฉันว่าถ้าให้กินจริงๆ ต้องถูกตีตายแน่” จ้าวต้าถงกล่าว

หม่าเจวียน หูหานพลันอึ้งไป ใช่ เรื่องนี้จัดการยาก!

แต่สุดท้ายพวกเขาก็ตกลงว่าจะถามฟางเจิ้งก่อนว่าใช้ยันต์ยังไง จากนั้นค่อยวางแผน

“ง่ายมาก วางไว้ใต้หมอนฟางอวิ๋นจิ้งก็พอ แล้วแจ้งอาตมา ที่เหลือเดี๋ยวอาตมาจัดการเอง” ฟางเจิ้งตอบ

พวกเขาได้ยินแบบนั้นพลันถอนหายใจโล่งอก สี่คนนี้มาที่หอพักฟางอวิ๋นจิ้ง เนื่องจากปัญหาของฟางอวิ๋นจิ้ง หน้าต่างหอพักจึงถูกปิดตาย เดิมทีห้องนอนรวมยังมีเด็กสาวอีกคนอยู่กับฟางอวิ๋นจิ้ง แต่พอฟางอวิ๋นจิ้งเกิดปัญหา ด้วยความที่ครอบครัวเธอบังคับจึงต้องย้ายออกไป

ทุกคืนจะมีคนสองคนมาเฝ้าฟางอวิ๋นจิ้ง…เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง

เข้าไปในหอพักแล้วก็เห็นผู้หญิงวัยกลางคนนั่งอยู่ข้างฟางอวิ๋นจิ้ง พูดอะไรไม่หยุด แต่ฟางอวิ๋นจิ้งกลับเหม่อลอย ไม่พูดอะไร ไม่กินอะไร

สี่คนรีบทักทาย หญิงวัยกลางคนถอนหายใจ “เด็กดีๆ แบบนี้ เฮ้อ…”

หม่าเจวียนพูด “อาจารย์คะ ช่วยไม่ได้นี่ เป็นใครเจอเรื่องแบบนี้ก็คงไม่ดีไปกว่าเธอหรอก? ถ้าเป็นหนูก็คงเป็นแบบนี้เหมือนกัน…”

“หม่าเจวียนพูดถูก เรื่องนี้กระทบกระเทือนต่อเธอมากเกินไป” เสียงผู้ชายดังมาจากข้างหลัง มีเด็กหนุ่มหน้าตาดีสูงเมตรแปดสิบแทรกเข้ามา พอเข้ามาแล้วก็ไม่มองพวกจ้าวต้าถง แต่มองฟางอวิ๋นจิ้งด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน สร้างดาเมจรุนแรงต่อผู้หญิง

จ้าวต้าถงเห็นดังนั้นก็ก้าวมาขวางตรงหน้าชายคนนี้ แล้วเอ่ยด้วยความไม่จริงใจ “หลิวอวิ๋นซู ทำไมถึงมีนายอยู่ทุกที่เลย? นายเป็นหนอนติดก้นอวิ๋นจิ้งรึไง?”

หลิวอวิ๋นซูหัวเราะ “จ้าวต้าถง นายพูดบ้าอะไร? เป็นเพื่อนกันทั้งนั้นแหละ…อาจารย์ครับ ผมเพิ่งติดต่อผู้เชี่ยวชาญจิตวิทยามาท่านหนึ่ง อีกเดี๋ยวคงจะถึง คนขับรถผมไปรับมาแล้ว”

“นายเชิญผู้เชี่ยวชาญจิตวิทยามาเหรอ?” หม่าเจวียนกับอาจารย์หญิงมองหลิวซูอวิ๋นด้วยความตกใจ

หลิวอวิ๋นซูสะบัดผมหน้าม้า ยิ้มตอบ “คนอย่างผมน่ะขี้เกียจ ให้ผมเฝ้าอวิ๋นจิ้งทั้งคืนผมทำไม่ได้หรอกครับ แต่ผมจ่ายเงินช่วยเพื่อนได้นะ”

จ้าวต้าถงได้ยินดังนั้นจึงเบะปาก “นายรู้ตัวด้วยเหรอว่าขี้เกียจ?”

หลิวอวิ๋นซูหัวเราะ “มีงินมีธุรกิจก็ต้องมีสิทธิ์สิ คนบางคนปัญหาเยอะก็ใช้แรงไปซะ”

…………………………