บทที่ 223 ข่มขู่

เวลานี้เนี่ยหย่วนเฉียวก็ไม่กล้าไปถามจางชุนเถาอีก จึงส่งเถี่ยเสวียนไป

ถึงแม้เถี่ยเสวียนรู้สึกไม่พอใจเท่าใดกับการต้องไปตามสืบเรื่องราวอย่างกับสตรีคนหนึ่งและอดบ่นงึมงำในใจไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ยอมไป

ใครใช้ให้เขาเป็นคนยอมทำเพื่อเจ้านาย! ซื่อสัตย์ต่อเจ้านายล่ะ!

ไม่นานนัก เถี่ยเสวียนก็กลับมาบอกเนี่ยหย่วนเฉียวว่าเกิดอะไรขึ้น

สีหน้าของเนี่ยหย่วนเฉียวพลันมืดครึ้ม และมิได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด

เถี่ยเสวียนมองสีหน้าที่อึมครึมลงของเนี่ยหย่วนเฉียวแล้วเอ่ยถามเสียงเบา “เจ้านาย ท่านคงไม่คิดจะออกตัวให้จางซิ่วเอ๋อใช่ไหมขอรับ?”

เนี่ยหย่วนเฉียวเลิกคิ้วมองเถี่ยเสวียน “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?”

เถี่ยเสวียนสะดุ้งโหยง รีบกล่าว “เจ้านายต้องการทำอะไรข้าไม่สอดอยู่แล้ว เพียงแต่…..ถ้าท่านออกหน้าให้จางซิ่วเอ๋อโต้ง ๆ จะเป็นที่จับตาเกินไปหรือเปล่าขอรับ? หากคนตระกูลเนี่ยรู้ว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ คงต้องเกิดเรื่องวุ่นวายอีกมาก”

เนี่ยหย่วนเฉียวเอ่ยเสียงขรึม “ข้ารู้ขอบเขตอยู่”

เถี่ยเสวียนมองเนี่ยหย่วนเฉียวเงียบ ๆ ไม่กล้าบ่นสิ่งที่คิดในใจออกมา

ตอนนี้เขากำลังคิดในใจว่าเจ้านายเป็นคนมีขอบเขต แต่นั่นเป็นเรื่องเมื่อก่อน ไม่รู้ทำไมหลังจากได้เจอจางซิ่วเอ๋อแล้วก็เริ่มทำอะไรที่เสียสติ

นี่ไม่ใช่การเริ่มต้นของสิ่งดี ๆ เลยนะ

แต่เถี่ยเสวียนก็แค่บ่นงึมงำในใจเท่านั้น เขาไม่ไปชิงชังจางซิ่วเอ๋อเพียงเพราะเรื่องนี้หรอก

ไม่ต้องพูดเรื่องที่เขาเองก็รู้สึกเช่นเดียวกับเจ้านายเหมือนกัน ในเรื่องที่ว่ารู้สึกผิดกับจางซิ่วเอ๋อ

เพียงพูดว่าจางซิ่วเอ๋อทำอาหารอร่อย เขาก็รู้สึกว่าทุกอย่างไม่ใช่เรื่องใหญ่!

ตอนจางซิ่วเอ๋อมาที่บ้าน จางอวี้หมิ่นไม่อยู่ แต่เจอจางเป่าเกินยืนอยู่หน้าประตูแทน

จางซิ่วเอ๋อยืนอยู่ด้านนอกประตู เอ่ยขึ้นเรียบ ๆ “หลีกไป”

“ข้าไม่หลีก แล้วเจ้าจะทำอะไรข้าได้” จางเป่าเกินทำหน้าอันธพาล ท่าทางไร้เหตุผล

จางซิ่วเอ๋อหน้าขรึมลง “สุนัขที่ดีไม่ขวางทางหรอกนะ!”

จางเป่าเกินชี้นิ้วไปที่จางซิ่วเอ๋อทันที “นังตัวขาดทุน! เจ้าหมายความว่าอย่างไร? เจ้าว่าใครเป็นสุนัข?”

จางซิ่วเอ๋อกวาดสายตามองจางเป่าเกินด้วยท่าทีจริงจัง และบอกจางเป่าเกินด้วยสายตาว่า นางหมายถึงเขานั่นแหละ!

ก่อนจะเสริมขึ้นด้วยท่าทางขึงขัง “ใครขวางทางคนนั้นแหละเป็นสุนัข!”

“ถ้าเจ้าคิดว่าเจ้าเป็นสุนัขก็ขวางอยู่ตรงนี้แหละ!” จางซิ่วเอ๋อแค่นเสียง

จางเป่าเกินโกรธจัดจนจะลงมือ

จางซิ่วเอ๋อไม่รอให้จางเป่าเกินแตะโดนตัวเองก็โวยวายลั่น “ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย! จางเป่าเกินจะตีข้า!”

จางเป่าเกินมองมือตัวเองที่ยังไม่ทันได้แตะโดนจางซิ่วเอ๋ออึ้ง ๆ ตั้งสติไม่ได้ไปชั่วขณะ

เขาพูดอย่างดุร้าย “เจ้าโวยวายบ้าอะไร! ข้าไปตีเจ้าตอนไหน!”

“ช่วยด้วย! พี่ พี่ผลักแม่ข้าจนเกือบแท้ง ข้าแค่อยากเอาอาหารมาให้แม่ข้า ทำไมพี่ต้องขวางด้วย? พี่อยากให้ลูกในท้องแม่ข้าตายใช่ไหม? แบบนั้นพี่จะได้สืบทอดมรดกของทั้งตระกูลจางล่ะสิ!” จางซิ่วเอ๋อกระพริบตาที่ไม่มีน้ำตาสักหยดของตัวเอง ก่อนจะโวยวายด้วยเสียงสะอื้น

เวลานี้เป็นเวลาเที่ยงพอดี มีคนในหมู่บ้านไม่น้อยเลยที่กลับจากไร่มากินข้าวเที่ยง และมีสตรีที่ไปส่งอาหารให้บรรดาคนที่ไม่กลับมากินข้าว

พอได้ยินเสียงเอะอะ บัดนี้เหล่าคนที่ยุ่ง ๆ อยู่ในตอนแรกก็ชะโงกคอมามองทางนี้กันหมด

เนื่องจากอยู่ห่างกันไกล พวกเขาจึงมองไม่เห็นว่าจางซิ่วเอ๋อร้องไห้หรือไม่ แต่ฟังจากเสียงของจางซิ่วเอ๋อแล้วเหมือนนางได้รับความอยุติธรรมอย่างแสนสาหัส

จางเป่าเกินตาโตมองภาพที่เกิดขึ้น เขาคิดไม่ถึงว่าจางซิ่วเอ๋อจะทำอะไรผิดแปลกเช่นนี้

“เอ๊ะ เกิดอะไรขึ้น?”

“เหมือนจางเป่าเกินและจางซิ่วเอ๋อจะตีกันนะ ได้ยินว่าจางซิ่วเอ๋อโดนตีจนร้องไห้เลยล่ะ!”

“นี่ออกจะเกินไปหน่อยนะ ถึงจางซิ่วเอ๋อไม่ใช่คนดีเท่าไร แต่นางแค่กลับมาเยี่ยมแม่ตัวเอง จางเป่าเกินทำแบบนี้มันเกินไปจริง ๆ!”

“นั่นสิ ดูท่าทางอ้วนท้วมจางเป่าเกินก็รู้เลยว่าเป็นคนที่อยู่ด้วยยาก พวกเราต้องดูลูกสาวบ้านตัวเองไว้ดี ๆ นะ อย่าได้แต่งไปเป็นภรรยาให้จางเป่าเกิน!”

“ขนาดน้องสาวตัวเองยังตี ไม่ต้องพูดถึงภรรยา! คงทนทุกข์แบบนั้นไม่ไหวหรอก!”

คำพูดวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ลอยตามลมมาเข้าหูจางเป่าเกินทีละนิด

ตอนแรกจางเป่าเกินยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรเท่าใด แต่หลังจากนั้นพอเขาเริ่มได้ยินมีคนบอกว่าไม่อยากให้ลูกสาวที่บ้านแต่งงานกับตัวเองก็ลุกลี้ลุกลนขึ้นมา

ตอนนี้เขาถึงวัยที่ต้องแต่งงานหาภรรยาแล้ว ถ้าทุกคนพูดกันไปแบบนี้เขาจะแต่งภรรยาได้อย่างไร?

จางเป่าเกินมองจางซิ่วเอ๋อด้วยสีหน้าเขียวปี๋ เขากดเสียงให้ต่ำพลางกล่าว “จางซิ่วเอ๋อ เจ้าโวยวายบ้าอะไรของเจ้า? ยังไม่รีบหุบปากอีก! เจ้าอยากให้คนอื่นหัวเราะเยาะตระกูลจางของเราขนาดนั้นเลยหรืออย่างไร?”

จางซิ่วเอ๋อก็กดเสียงให้ต่ำและเอ่ยยิ้ม ๆ “ข้าไม่อยากให้คนอื่นต้องหัวเราะเยาะ ข้าว่าเจ้านี่แหละที่อยาก……ข้าตกลงกับพ่อข้าไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าจะมาเยี่ยมแม่ข้า เจ้ามายืนขวางอยู่ตรงนี้หมายความว่าอย่างไร?”

จางซิ่วเอ๋อเสริมอีก “ถ้าเจ้าจะขวางอยู่ที่นี่ต่อข้าก็ไม่กลัว แน่จริงเจ้าก็ลงมือตีข้าเลยยิ่งดี”

จางซิ่วเอ๋อพูดอย่างท้าทาย

จางเป่าเกินในตอนนี้สองมือกำหมัดแน่น สีหน้าดุดันสุดขีด เขาอยากจะต่อยจางซิ่วเอ๋อให้ตายไปเลยจริง ๆ แต่เขาทำแบบนั้นได้เหรอ? ไม่ได้หรอก มีคนดูอยู่ตั้งเยอะ ถ้าเขาตีจางซิ่วเอ๋อก็เท่ากับติดกับน่ะสิ

จางซิ่วเอ๋อถือตะกร้าสานขึ้นมาพลางกล่าวต่อ “ถ้าเจ้าไม่กล้าลงมือละก็ รีบหลีกไปเสียตอนนี้ ไม่อย่างนั้นอีกเดี๋ยวข้าเผลอโวยวายอย่างอื่นออกมา….อย่างเช่นเรื่องครึ่งตำลึงเงินนั่น เจ้าอย่ามาตำหนิข้าแล้วกัน เรื่องนี้ข้าไม่กลัวหรอกนะ อย่างมากข้าก็แค่คืนครึ่งตำลึงเงินนั้นไป แต่ด้านย่าเรา ข้าว่าเจ้าคงจะแก้ตัวยากสินะ”

จางซิ่วเอ๋อก็กลัวเหมือนกันว่าจางเป่าเกินจะเอาเรื่องตำลึงเงินกันซึ่ง ๆ หน้า จึงตั้งใจข่มขู่ไป

ตำลึงเงินมาอยู่ในมือแล้ว นางไม่อยากเอาออกมาหรอก นางไม่แยแสครึ่งตำลึงเงินนั่น แต่นางก็ไม่อยากยกครึ่งตำลึงเงินนั้นให้ใครก็ตามในตระกูลจาง!

อีกอย่าง ถ้าแม่เฒ่าจางรู้ว่าพวกนางพี่น้องเอาตำลึงเงินของจางเป่าเกินไป นางและจางชุนเถาไม่เท่าใด เดี๋ยวนี้อยู่กันไกล มือของแม่เฒ่าจางยื่นมาไม่ถึง แต่จางซานหยาคงต้องซวย

เมื่อครู่จางเป่าเกินเพิ่งโดนพ่อแม่ตัวเองเตือนมาว่าอย่าพูดเรื่องนี้กับใคร ตอนนี้จึงโดนจางซิ่วเอ๋อข่มไว้เสียสนิท

จางเป่าเกินจึงหลีกทางให้อย่างไม่เต็มใจ มองจางซิ่วเอ๋อด้วยสายตาอึมครึม ราวกับอยากจะแล่หนังจางซิ่วเอ๋อออกมา

แน่นอนว่าจางซิ่วเอ๋อสัมผัสได้ถึงความมุ่งร้ายจากจางเป่าเกิน แต่นางไม่สนหรอก อย่างไรเสียนางและจางเป่าเกินก็เป็นดั่งน้ำกับไฟมานานแล้ว จางเป่าเกินเกลียดนางมากขึ้นก็ไม่มีผลกระทบอะไรต่อนาง

พอนางเห็นว่าตัวเองทำให้จางเป่าเกินโมโหได้ถึงเพียงนี้ ก็นึกเบิกบานใจ