สิ่งนี้ทำให้ดยุกกอร์ตั้นว้าวุ่นใจมาก
ดวงตาแห่งความเกลียดชังของนางตราตรึงอยู่ในใจของเขาก่อนที่เขาจะหมดสติไป นางจะต้องกลับมาแก้แค้นเขาแน่นอน! ดยุกกอร์ตั้นรู้ดีแก่ใจ เขาจึงไม่สบายใจมาก และคอยไปเร่งพระสันตะปาปาอยู่ตลอดให้รีบหานางให้เจอแล้วกำจัดนางไปเสียที ในตอนแรกๆ พระสันตะปาปายังคงนิ่งเฉย แต่ตอนหลังเริ่มรำคาญจนหนีหน้าเขาแล้ว
หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่! ดยุกกอร์ตั้นเดินไปที่โต๊ะทำงานด้วยความวิตกกังวล เขาต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว! ‘แคลร์’ เป็นอันตรายน่ากลัวที่ไม่อาจคาดเดาได้เลย ดังนั้นต้องรีบกำจัดไปโดยเร็ว! จะปล่อยให้นางกลับมาไม่ได้เด็ดขาด!
เช้าวันใหม่ในป่าเอลฟ์เป็นไปอย่างสงบ พวกของชีอ้าวชวางกล่าวลากับราชินีเอลฟ์แล้วออกเดินทาง ในคราวนี้มีออสต้า เจ้าชายเอลฟ์เพิ่มอีกคนในกลุ่ม ออสต้ายังคงดูเย่อหยิ่งตลอดการเดินทาง เขาไม่เคยมองชีอ้าวชวางและเหลิ่งหลิงยวิ๋นโดยตรงเลย คนเดียวที่เขาดูจะยอมสนใจก็คือเบน เพราะเบนเป็นเผ่ามังกร ไม่ใช่มนุษย์นั่นเอง
ชีอ้าวชวางเองก็ขี้เกียจจะให้ความสนใจกับเจ้าชายผู้หยิ่งผยองผู้นี้ นางแอบคิดในใจว่าขอแค่เจ้าจอมหยิ่งนี่ไม่สร้างปัญหาให้กับนาง และเป็นแค่ผู้ชมที่อยู่เฉยๆ ก็พอแล้ว หลังจากออกจากผ่าเอลฟ์เ บนก็กลับสู่ร่างเดิมให้ทุกคนขึ้นบนหลังของเขา ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องของชีอ้าวชวางเป็นเรื่องเร่งด่วน เบนก็จะไม่ยอมให้ออสต้าขี่หลังของเขาหรอก
ออสต้าถึงกับผงะไปเลย มังกรผู้เย่อหยิ่งยอมคืนร่างเดิมเพื่อให้มนุษย์ขี่หลังหรือ เวลานี้เบนกางปีกบินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วจนเสียงสายลมหวีดหวิวอยู่ในหู ออสต้ามองใบหน้าอันสงบนิ่งของชีอ้าวชวางที่อยู่ข้างเขาด้วยความงุนงง แต่ในใจกลับรู้สึกเศร้า มนุษย์ผู้นี้มีความสัมพันธ์แบบไหนกับมังกรที่อยู่ภายใต้เขาในตอนนี้กันนะ ทำไมมังกรจึงยอมลดความเย่อหยิ่งลงแล้วให้นางขี่หลังได้ล่ะ?
สิ่งที่ทำให้ออสต้าแปลกใจยิ่งกว่าคือหลังจากนั้น ในตอนที่ใกล้จะถึงเส้นเลือดมังกร เบนก็คืนร่างมนุษย์แล้วทุกคนก็เดินผ่านเส้นเลือดมังกร ซึ่งออสต้าไม่เห็นมีมังกรสักตัวที่กล้าเข้ามาซักถามอะไรเลย แถมยังแสดงท่าทีเคารพพร้อมทั้งปากก็เรียกฝ่าบาทอีกด้วย
ฝ่าบาทนี่ไม่ได้เรียกเขาอย่างแน่นอน เพราะเขาเป็นเผ่าเอลฟ์ และเป็นเพียงเจ้าชายเอลฟ์เท่านั้น อีกอย่างคงไม่ได้เรียกมนุษย์อย่างชีอ้าวชวางและชายที่อยู่ข้างๆ นางหรอก เช่นนั้น ก็มีเพียงความเป็นไปได้เดียวแล้ว นั่นก็คือเรียกมังกรที่พวกเขาเพิ่งจะขี่หลังมาเมื่อครู่นั่นไง!
ออสต้ามองแผ่นหลังของเบนและชีอ้าวชวางอย่างไม่เชื่อสายตา มังกรดำตัวนี้เป็นราชาแห่งเผ่ามังกร! แต่เมื่อครู่ที่ให้พวกเขานั่งหลังตอนที่บินอยู่บนฟ้าก็ไม่ใช่ความฝันอย่างแน่นอน สายตาของออสต้าจับจ้องไปที่ร่างของชีอ้าวชวางเป็นเวลานานอย่างไม่อาจละสายตาได้ มนุษย์ผู้นี้มีตัวตนแบบไหนกันแน่?
เมื่อออกจากเส้นเลือดมังกรแล้ว เบนก็หันหน้าไปมองชีอ้าวชวางและพูด “อ้าวชวาง เราจะไปที่ไหนกันก่อนดี?”
“ฉู่ซินกับตงเฟิงโฮ่วจะไปเผ่าออร์คและคนแคระก่อนแล้ว เช่นนั้นเราไปหาโนมกันก่อน” ชีอ้าวชวางพูดเสียงเรียบพลางมองมังกรดำและพูดต่อ “เจ้าเองก็เหนื่อยมากแล้ว เดี๋ยวเราเดินทางไปหาเมืองใกล้ๆ นี้พักผ่อนสักคืนแล้วกันนะ”
“ดีเลย” เบนเห็นด้วย
“มีคนจำนวนมากกำลังปักหลักอยู่ข้างหน้านั้น” ทันใดนั้นออสต้าก็เอ่ยออกมาเบาๆ
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” เบนถามขึ้นทันที
“สายลมบอกข้า” ออสต้าเงยหน้าขึ้นมองไปข้างหน้าและพูดต่อช้าๆ “มีพลังแห่งแสงอยู่”
“พลังแห่งแสงงั้นหรือ?” เหลิ่งหลิงยวิ๋นขมวดคิ้วมองออสต้าด้วยความสงสัย “สายลมบอกเจ้าหรือ?”
“ฮึ่ม จะไม่เชื่อก็เรื่องของเจ้า” เห็นได้ชัดว่าท่าทางสงสัยของเหลิ่งหลิงยวิ๋นทำให้ออสต้าไม่พอใจมาก ไม่เคยมีใครสงสัยในความสามารถของเขา แต่วันนี้กลับมาถูกมนุษย์สงสัย สีหน้าของออสต้าจึงไม่พอใจเป็นอย่างมาก
เบนลูบคางและเลิกคิ้วมองออสต้า เจ้าชายเอลฟ์ผู้นี้ก็ดูจะมีความแข็งแกร่งอยู่บ้างเหมือนกัน เขาฟังเสียงลมได้ด้วย แม้ว่าตนเองจะมีพลังเวทธาตุลมแต่ก็ฟังเสียงของสายลมไม่ได้ อีกทั้งไม่ใช่เอลฟ์ทุกคนที่จะทำแบบนั้นได้ ดูเหมือนเจ้าชายเอลฟ์ผู้นี้จะมีพรสวรรค์นะ
ชีอ้าวชวางเลิกคิ้วเล็กน้อยและยิ้มเย็นชา ในที่สุดวิหารแห่งแสงก็ตามมาจนถึงที่นี่ แต่กลับได้แต่อยู่หน้าเส้นเลือดมังกรไม่กล้าเข้ามา กำลังรอให้นางออกไปงั้นสิ? ตอนนี้เรื่องที่เชวียหลงเฟยช่วยเหลือนางไว้คงจะถูกเปิดเผยแล้วสินะ ใครเป็นคนเปิดเผยออกไปล่ะ? วิหารแห่งแสงรับรู้เรื่องความสัมพันธ์ของตนเองกับเบน แต่พวกเขาไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเบน ในตอนนั้นมีหลายคนในวิหารเลยที่ต้องกินน้ำลายของมังกรดำไปรวมทั้งพระสันตะปาปาผู้นั้นด้วย หรือว่าจะเป็นองค์ชายบานาสผู้นั้นเป็นคนเปิดเผย หรือว่าจะเป็นโจไมเออร์?
“หญิงผู้นั้นเป็นคนเปิดเผยมัน” เหลิ่งหลงยวิ๋นเอ่ยอย่างเย็นชา “องค์ชายบานาสไม่ได้เห็นว่าเราเข้ามาในเส้นเลือดมังกร และเขาก็ไม่รู้ความสัมพันธ์ของเรากับเบนด้วย แต่หญิงผู้นั้นเห็นทุกอย่าง หากพูดถึงคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเผ่ามังกร วิหารแห่งแสงก็จะนึกถึงเจ้าเป็นอันดับแรกอยู่แล้ว พวกเขายอมฆ่าคนผิดนับพันมากกว่าที่จะปล่อยใครไป”
หลังจากที่เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูด เรื่องราวก็ชัดเจนขึ้นทันที นิสัยของวิหารแห่งแสงเป็นแบบนี้จริงๆ ขอเพียงแค่มีความเป็นไปได้แม้จะเล็กน้อย พวกเขาก็จะไม่ปล่อยไว้เลย
“หึ!” ชีอ้าวชวางยิ้มเยาะ“ก็แค่ถูกส่งมาตาย”
เมื่อออสต้าได้ยินก็ขมวดคิ้ว ผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้วหรือ?
“ข้าจะไปทุบพวกเขาให้แหลกไปเลย” แรงกระตุ้นในร่างกายของเบนเริ่มตื่นขึ้นพร้อมกับบีบหมัดด้วยความตื่นเต้น
“เจ้าลืมข้อตกลงระหว่างเทพเจ้ามังกรกับเทพีแห่งแสงไปแล้วหรือ?” ชีอ้าวชวางหลุบตามองราวกับเป็นการเอาย้ำเย็นราดหัวของเบน
“อ่า…” เบนส่งเสียงด้วยความรำคาญ
“หากข้าเอาชนะพวกนั้นไม่ได้แล้วเจ้าค่อยลงมือ” ชีอ้าวชวางมองมังกรดำเบนอย่างขบขัน เขาดูเหมือนเด็กที่ถูกแย่งของเล่นสุดรักไปเลย
เบนตกลงอย่างหงอยๆ
“ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ยังล้มล้างเทพีแห่งแสงไม่ได้ ก็ต้องถือว่าพันธะสัญญาระหว่างเทพเจ้ามังกรกับเทพีแห่งแสงยังคงมีผลอยู่ เจ้าเป็นถึงราชามังกรนะ เจ้าต้องคิดถึงเผ่ามังกรด้วยสิ” เหลิ่งหลิงยวิ๋นมองท่าทางไม่พอใจของเบนแล้วพูดเกลี้ยกล่อมด้วยรอยยิ้ม
“อืมๆ…” เบนก้มหน้าลง
“อ้าวชวาง” เหลิ่งหลิงยวิ๋นขมวดคิ้วพูดเสียงเรียบ “ครั้งที่แล้ววิหารแห่งแสงได้รับบาดเจ็บสาหัสจากน้ำมือของเจ้า ครั้งนี้พวกเขาคงจะไม่ทำเรื่องที่ไม่รอบคอบแน่ๆ”
“ถ้าอย่างนั้น?” ชีอ้าวชวางมองเหลิ่งหลิงยวิ๋นแล้วถาม
“คนที่มาในครั้งนี้อาจจะไม่ได้จัดการได้ง่ายอย่างนั้น” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดอย่างเคร่งขรึม“พระสันตะปาปาและอาร์ชบิชอปอาจจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดของวิหารในสายตาของหลายๆ คน”
“แล้วไม่ใช่หรือ?” เบนขมวดคิ้วถาม
“แน่นอนว่าไม่ใช่” เหลิ่งหลิงยวิ๋นส่ายหัวเบาๆ “ในวิหารมีคนจำนวนหนึ่งที่แข็งแกร่งมาก แต่ชอบใช้ชีวิตอย่างสงบ ไม่ชอบแสดงอำนาจของตัวเอง แต่เมื่อไหร่ที่วิหารมีปัญหา พวกเขาก็จะออกมา”
“เหอะๆ เช่นนั้นข้าคงต้องลงมือเองแล้วล่ะ” เบนแตะที่แขนของเขาแล้วหยิบผ้าสีดำผืนหนึ่งออกมาคลุมใบหน้าของเขาไว้
“เจ้าจะทำอะไร?” ชีอ้าวชวางขมวดคิ้วถามในขณะที่เขาดูพฤติกรรมของเบน
“ข้าก็จะไปฆ่าพวกเขาโดยที่ปิดหน้าของข้าเอาไว้อย่างไร” เบนหัวเราะแล้วพูดอย่างภูมิใจ
“เจ้าเป็นเผ่ามังกร คนเหล่านั้นไม่ได้อ่อนแอนะ พวกเขาต้องมองเห็นตัวตนของเจ้าได้อยู่แล้ว” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดอย่างปวดหัว
“จะกลัวอะไรล่ะ? พวกเขามองไม่เห็นใบหน้าของข้านี่” เบนยักไหล่และพูดอย่างเป็นธรรมชาติ “แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าข้าเป็นเผ่ามังกรแล้วอย่างไรล่ะ? อีกอย่างนะ ความแข็งแกร่งของข้าในตอนนี้ ทำให้ข้าปกปิดลมหายใจของข้าได้อย่างง่ายดายเลยละ”
“ถ้าพวกเขารู้ตัวตนของเจ้า พวกเขาก็จะเอาเรื่องนี้ไปพูดต่อหน้าเทพีแห่งแสงไง แล้วทีนี้เทพเจ้ามังกรก็จะต้องลำบากใจ” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูด
“ข้าก็ไม่ยอมรับว่าเป็นข้าสิ ข้าคลุมหน้าไว้ ใครจะมาเห็นข้าล่ะ?” เบนพูดอย่างไร้ยางอาย “ให้ตายอย่างไรข้าก็ไม่ยอมรับหรอก แถมข้าจะบอกด้วยว่ามีคนมายั่วยุความสัมพันธ์ของเทพเจ้ามังกรกับเทพีแห่งแสง!”
เหลิ่งหลิงยวิ๋นเงียบไป ส่วนเจ้าชายออสต้า เอลฟ์ที่บริสุทธิ์และหยิ่งผยองก็อ้าปากค้างมองเบนที่หน้าด้านตรงหน้าเขาอย่างว่างเปล่า ชายที่โดดเด่นผู้นี้เป็นมังกรที่ทระนงตนจริงหรือ? เขาเป็นราชามังกรผู้สูงศักดิ์ของเผ่ามังกรจริงหรือ? ชีอ้าวชวางมุมปากกระตุก มองเบนที่ไร้ยางอายตรงหน้าอย่างรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เบนเคยบริสุทธิ์และหุนหันพลันแล่น แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว…
“เจ้า…” ชีอ้าวชวางมองเบนที่คลุมใบหน้าไว้แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก นางรู้ว่าเบนกลายเป็นอย่างตอนนี้อาจจะพูดไม่ได้ว่าเป็นเพราะนางทั้งหมด แต่อย่างน้อยส่วนมากนั้นก็เกิดจากผลการสอนของนาง
“ระวังทุกอย่างไว้ก่อนจะดีกว่า” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดอย่างเคร่งขรึม “คนเหล่านี้ไม่ชอบชื่อเสียงและอำนาจ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีหน้าที่รับผิดชอบใดๆ ในวิหาร แต่ความแข็งแกร่งนั้นไม่ควรมองข้ามเลย”
“คนที่เป็นเช่นนี้ในวิหารมีกี่คน?” เบนถาม
“ข้าก็ไม่รู้ ข้ารู้แค่ว่ามี” เหลิ่งหลิงยวิ๋นส่ายหัวน้อยๆ แม้ว่าเขาจะเคยเป็นบุตรแห่งแสง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะรู้ความลับทั้งหมดนี่
“ไม่สนใจแล้ว กำจัดไปให้หมด” เบนทุบกำปั้นเสียงดัง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เหมือนเขาจะไม่ได้ลงมืออะไรมานานแล้ว
ราชามังกรหน้าด้านชอบใช้ความรุนแรง! เขาดูไม่เหมือนมังกรผู้สูงศักดิ์เลย! นี่คือข้อสรุปที่ออสต้าได้รับรู้
เหลิ่งหลิงยวิ๋นรู้สึกไม่ดีที่ชายหนุ่มผู้แสนดีถูกชีอ้าวชวางพลิกให้ไปในทางพินาศเช่นนี้ แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรนักหรอก
“ไปกันเถอะ” ชีอ้าวชวางมองเบนที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นแล้วปวดหัว จากนั้นก็พูดอย่างอารมณ์เสีย “เจ้าอย่าเป็นอย่าเหมือนฉู่ซินที่เวลาตื่นเต้นกับการต่อสู้แล้วไม่สนว่าใครพวกไหนนะ จะโจมตีใครก็ดูด้วย”
“รู้แล้วๆ ข้าจะทำผิดแบบนั้นได้อย่างไรล่ะ?” เบนพูดแล้วรีบเดินไปข้างหน้า ชีอ้าวชวางส่ายหัวแล้วกางปีกบินตามไปอย่างรวดเร็ว เหลิ่งหลิงยวิ๋นก็บินตามหลังมา ส่วนออสต้า เขาเพียงแค่สะบัดนิ้วก็มีคลื่นลมมาโอบล้อมเขาไว้จนทำให้เขาบินขึ้นแล้วตามไปได้เช่นกัน
ทันใดนั้น เบนที่อยู่ข้างหน้าก็หยุดกะทันหัน ชีอ้าวชวางและเหลิ่งหลิงยวิ๋นที่ตามมาก็หยุดชะงักไปด้วยความไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา