ตอนที่ 205 เข้าป่าเก็บสมุนไพร (3)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

ตอนที่ 205 เข้าป่าเก็บสมุนไพร (3)

ชุ่ยเวยพูดอย่างไม่ประหม่า “คุณหนูไม่ใช่ว่าไม่กล้าขี่ม้าหรือ อีกอย่างพวกเราไม่ได้ใส่ชุดขี่ม้านะเจ้าคะ”

ชุ่ยผิงจึงยิ้มพลางพูด “ครั้งหน้าตอนออกเดินทาง คุณหนูก็แต่งกายในชุดบุรุษเถอะ เสื้อผ้าบุรุษสะดวกสบาย อยากขี่ม้าก็สะดวก หรืออยากนั่งรถม้าก็ได้”

เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า “คำพูดนี้กล่าวได้มีเหตุผล เหตุใดถึงไม่พูดตั้งแต่เนิ่นๆ ล่ะ! ตอนเช้าก่อนจะออกเดินทางควรแต่งชุดบุรุษ”

ชุ่ยผิงถอนหายใจอีกครั้ง “ไม่ใช่ว่ายังต้องไปทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่าหรือ! บ่าวจะกล้าให้คุณหนูแต่งกายเป็นบุรุษได้อย่างไรเจ้าคะ ฮูหยินผู้เฒ่าคงจะตำหนิพวกบ่าวตาย!”

ชุ่ยเวยจึงรีบผายมือ “ตอนคุณหนูอยู่เมืองหลวงก็เคยตกม้ามิใช่หรือเจ้าคะ ครั้งนี้พอมานึกถึงแล้วภายในใจของบ่าวยังคงรู้สึกหวาดกลัว วันข้างหน้าอย่าพูดถึงคำว่าขี่ม้าอีกเลยเจ้าค่ะ!”

คำๆ หนึ่งได้ย้ำเตือนเหยาเยี่ยนอวี่ ตกม้าในครั้งที่แล้วก็เพราะว่าเว่ยจาง นางจึงหันไปจับจ้องคนจอมโอหังบางคนนอกรถม้าเพียงชั่วพริบตา

เพราะวันนี้ฝนตก ผู้คนสัญจรบนท้องถนนไม่มาก บนถนนที่ปูด้วยหินกลางหุบเขาก็ยิ่งเงียบกริบ

เหยาเยี่ยนอวี่เลิกม่านรถม้าขึ้นให้ลมเบาๆ พัดฝนที่โปรยลงมาเข้ามาข้างใน นางพิงหน้าต่างแล้วหรี่ตาลงให้น้ำฝนหยดกระทบลงใบหน้า ดื่มด่ำกับความเย็นยะเยือกนี้ เว่ยจางหันหลังกลับมาโดยไม่ตั้งใจ พอเห็นสภาพเช่นนี้ของนางจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย

หลังจากที่เดินทางไปสักระยะ บ่าวที่นำทางก็ชี้ไปข้างหน้าแล้วพูดขึ้นอย่างกะทันหัน “คุณชายรองขอรับ นั่นเหมือนจะเป็นรถม้าของจวนพวกเรา เหตุใดถึงจอดอยู่ตรงนั้นขอรับ”

เหยาเหยียนอี้มองไปยังทิศทางนั้นก็เห็นรถม้าที่ปักธงขนาดเล็กไว้ด้านบนคันนั้น ธงสีฟ้านั้นแสดงสัญลักษณ์ของตระกูลเหยา ด้วยเหตุนี้จึงขมวดคิ้วขึ้น “พวกเจ้าสองคนเดินเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น”

บ่าวจึงขานรับแล้วเร่งม้าไปข้างหน้าพร้อมกับเอ่ยถาม ที่แท้ก็คือเถียนอี๋เหนียงกำลังเดินทางไปวัดผู่จี้ ทว่าระหว่างทางล้อรถม้าแตกเป็นรอยร้าวจึงเดินทางต่อไม่ได้

เหยาเหยียนอี้ได้ยินบ่าวมารายงานจึงขมวดคิ้วพูดด้วยเสียงต่ำ “สร้างปัญหาเก่งจริงๆ”

เหยาเยี่ยนอวี่พูดขึ้น “ไหนๆ ก็คือคนในจวน ไม่เช่นนั้นก็ให้ขึ้นรถม้าเถอะ พวกเราผ่านทางนั้นพอดี จะได้ไปส่งนางด้วย วัดผู่จี้ห่างจากที่นี่ไม่ไกลแล้ว”

เหยาเหยียนอี้ก็ไม่มีวิธีอะไรที่ดีกว่านี้ ฝนในตอนนี้ก็ยิ่งตกหนักขึ้นทุกที พวกเขาไม่เจอกันก็ยังดี ตอนนี้ได้เจอกันแล้วคงไม่ทิ้งเหล่าสตรีไว้ในถนนกลางหุบเขาแบบนี้ไม่ได้หรอก

เถียนซื่อเห็นเหยาเยี่ยนอวี่เหมือนเห็นดวงดาวนำโชค จึงพูดต่อเนื่อง “คุณหนูรองเป็นเจ้าแม่กวนอิมที่ช่วยชีวิตไว้จริงๆ ข้ายังนึกว่าครั้งนี้ต้องเดินไปวัดผู่จี้เสียอีก!”

เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ได้รู้สึกดีร้ายกับเถียนซื่อ อย่างไรก็เป็นเพียงสตรีน่าสงสารคนหนึ่ง นางไม่เคยมากเรื่องมาโดยตลอด และยิ่งไม่เคยเอาเรื่องกับคนเช่นนี้ ดังนั้นจึงคลี่ยิ้มอ่อนๆ “อี๋เหนียงรีบขึ้นมาเถอะ ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ระวังตากฝนจนป่วย”

เถียนซื่อจึงขึ้นรถม้าอย่างซาบซึ้ง สะใภ้ซานว่างและสาวใช้สี่เชวี่ยนั่งอยู่ตรงแอกม้า ทุกคนจึงรีบเดินทางต่อ ปล่อยให้สารถีรถม้าและบ่าวอีกสองคนอยู่ซ่อมรถม้าของเถียนซื่อที่นี่

เพราะว่าเถียนซื่อขึ้นรถ เหยาเยี่ยนอวี่มองม่านรถม้าเพียงพริบตาเดียวชุ่ยผิก็งรีบยกมือปล่อยม่านรถม้าลงมา

รถม้าคันนี้ต้องกว้างกว่ารถม้าของอี๋เหนียงอยู่แล้ว ข้างในมีตั่งไม้เล็กหนึ่งตัว มีเบาะรองที่นั่งสี่ที่ มีโต๊ะเล็กหนึ่งตัว บนโต๊ะจัดวางของว่างอยู่สองจาน ข้างในจานต่างก็ใส่ของว่างไว้สี่ชิ้น ยังมีเตาเผาธูปเล็กๆ เครื่องหอมถูกเผาจนมอด ไม่ได้เติมเครื่องหอมเข้าไปอีก

เหยาเยี่ยนอวี่กลับไม่โปรดปรานธูปเครื่องหอมที่มีกลิ่นฉุนเกินไป นางต้องการแค่ลมหายใจที่เป็นธรรมชาติของพิภพแห่งนี้

เถียนซื่อมองเตาเผาธูปเล็กๆ ใบนั้นครู่หนึ่งแล้วยื่นมือไปจับขึ้นมา จากนั้นชื่นชมอย่างละเอียดแล้ว พูดขึ้นยิ้มๆ “นี่เป็นเตาเผาธูปงานฝีมือเขียนสีเคลือบแบบเฝินไฉ่จากราชวงศ์ก่อนใช่หรือไม่”

เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้ม จริงๆ แล้วนางก็ไม่เข้าใจวัตถุโบราณเหล่านี้ว่ามาจากราชวงศ์ก่อนหรือราชวงศ์ปัจจุบันหรอก และนางก็ไม่ได้สนใจด้วย อีกอย่างวัตถุโบราณเหล่านั้นว่าไปแล้วก็ไม่รู้ผ่านมือคนมามากน้อยเพียงใด ไม่รู้ว่าไปขุดเจอจากสุสานคนตายแห่งใด อีกทั้งไม่รู้ว่าอีกว่าจะนำพาความโชคร้ายมาเยือนหรือไม่ จึงทำให้นางไม่โปรดปราน

“นี่แลกเป็นเงินได้ไม่น้อยเลย!” เถียนซื่อวางของกลับไปด้วยรอยยิ้ม

ชุ่ยผิงคลี่ยิ้ม “อี๋เหนียงสมเป็นคนที่อยู่ข้างกายนายท่านผู้เฒ่าจริงๆ แม้กระทั่งวัตถุโบราณยังมีความนิยมชมชอบ ทำให้พวกบ่าวได้ประสบการณ์ใหม่จริงๆ”

เถียนซื่อรีบผายมือแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะรู้ได้อย่างไร ก็แค่เดาไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น ทำให้คุณหนูรู้สึกขบขันแล้ว”

เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มบางๆ อีกครั้งแล้วถามขึ้น “อี๋เหนียงกำลังจะไปจุดธูปขอพรที่วัดผู่จี้หรือ”

รอยยิ้มบนดวงหน้าของเถียนซื่อแข็งเกร็งแสดงความอึดอัดใจออกมามาทันที ทันใดนั้นนางก็ยิ้มอย่างเบิกบานขึ้น “หลายวันมานี้ฮูหยินมักจะหลับไม่สนิท บ่าวคิดว่าอาจจะยุ่งกับงานเรือนเกินไป ฮูหยินจึงรู้สึกกระวนกระวายและเหนื่อยล้า ทว่าบ่าวก็ช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ จึงอยากไปสวดมนต์ต่อหน้าพระพักตร์พระโพธิ์สัตว์กวนอิมสักหลายวันแทนฮูหยิน ให้เจ้าแม่กวนอิมทรงปกปักรักษาให้ฮูหยินมีแต่ความสันติสุข”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง อี๋เหนียงลำบากแล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่พูดไปภายในใจกลับหัวเราะ เกรงว่าคงจะเป็นเรื่องของน้องสามถึงหูฮูหยิน ตอนนี้ในจวนเกิดเรื่องน่ายินดีแล้วยังจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง ทจะลงโทษเหยาเชวี่ยหวาคงเป็นไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นเหล่าญาติมิตรรู้คงจะขบขัน ทว่าอนุภรรยาคนหนึ่งไม่ได้มีบทบาทสำคัญอะไร ดังนั้นฮูหยินจึงส่งผู้ที่เป็นต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ไปอยู่วัด แค่หวังว่าคนที่ชอบออกความคิดเห็นอันไร้ค่าให้กับเหยาเชวี่ยหวานี้จะอยู่สงบสติอารมณ์ที่วัดได้สักสองสามวัน

เถียนซื่อมองเหยาเยี่ยนอวี่พิงตั่งไม้ไม่พูดไม่จาจึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูไปเยือนเมืองหลวงในครั้งนี้คงจะได้เจอเรื่องน่าสนใจมามากมายใช่หรือไม่”

เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้มเอ่ย “จะมีเรื่องอะไรน่าสนใจเล่า เรื่องราวและผู้คนในทั่วใต้หล้านี้ยังมีสิ่งที่อี๋เหนียงไม่รู้อีกหรือ”

เถียนซื่อคลี่ยิ้ม “ดูคุณหนูพูดเข้าสิ บ่าวก็แค่คนใช้ จะรู้อะไรได้อย่างไรเจ้าคะ!”

เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้มไม่มากความอีกต่อไป พิงอยู่บนตั่งไม้เล็กพร้อมกหันหน้าเข้าหาด้านในหลับตาพักผ่อน ชุ่ยเวยเห็นจึงเอาผ้าห่มผืนบางไปคลุมเรือนร่างของนาง ชุ่ยผิงลุกขึ้นแล้วปล่อยม่านหนาของรถม้าลง ข้างในจึงมืดสลัวลงทันที

เถียนซื่อเห็นยังอยากจะพูดอะไรต่อ ชุ่ยผิงก็รีบทำท่าสื่อให้นางอยู่เงียบๆ ทั้งสายตาและคิ้วขมวดทำให้เถียนซื่อไม่กล้าพูดอะไรต่อ ทำได้เพียงปิดปากเงียบ

ถนนบนหุบเขานั้นคดโค้ง เหยาเยี่ยนอวี่หลับไม่ลง ทว่าโชคดีที่วัดผู่จี้ตั้งอยู่บนครึ่งทางขึ้นเขา เดินทางเพียงครึ่งชั่วยามก็ถึงแล้ว

เหยาเยี่ยนอวี่และเถียนซื่อหยุดตรงหน้าประตูวัดแล้วลงจากรถม้า ข้างนอกมีคนกางร่มให้เหยาเยี่ยนอวี่ ชุ่ยเวยมองไปเพียงชั่วพริบตาก็รู้ว่าบุรุษคนนี้สูงเจ็ดฉื่อ จึงรีบยกมือไปรับร่มพร้อมพูด “ให้ข้าเถอะ”

บุรุษผู้นั้นก็ไม่มากความแล้วยื่นร่มให้ชุ่ยเวย จากนั้นก็หลีกไปอยู่ข้างๆ

เหยาเหยียนอี้จึงพูดกับสะใภ้ซานว่าง “ข้ากับน้องรองยังมีธุระ เจ้าพาอี๋เหนียงเข้าไปเถอะ”

สะใภ้ซานว่างตอบกลับเพียงคำเดียวแล้วกางร่มพลางถือห่อผ้าพาเถียนซื่อเข้าไปในวัด

เหยาเหยียนอี้ลงจากรถม้า จับหมวกที่อยู่บนศีรษะพร้อมพูดกับเหยาเยี่ยนอวี่ “ฝนตกหนักเกินไปแล้ว เข้าป่าไม่ได้ ดูท่าแล้วพวกเราคงต้องรอในวัดไปสักพักแล้วแหละ”

เหยาเยี่ยนอวี่ก็ขมวดคิ้วเอ่ย “ทำได้เพียงเช่นนี้”

เหยาเหยียนอี้มองเว่ยจางอีกครั้ง เว่ยจางพยักหน้าลงจากม้า

วัดผู่จี้เป็นวัดอารามศักดิ์สิทธิ์ที่ใหญ่ที่สุดนอกเมืองเจียงหนิง จวนข้าหลวงใหญ่เป็นแขกคนสำคัญ ในวัดแค่ซ่งฮูหยินผู้เฒ่าเพียงผู้เดียวก็บริจาคเงินค่าธูปน้ำมันเป็นหลายร้อยตำลึงทุกปี ยังมีหวางฮูหยินและสะใภ้ทั้งสอง ทุกปีก็ต้องมีการมาบริจาคให้วัด เพราะว่าคนตระกูลเหยามาเยือนที่นี่ ทางวัดจึงอำนวยความสะดวกเป็นอย่างดี