เหลิ่งรั่วปิงพูดถึงขั้นนี้ มู่เฉิงซี ถังเฮ่าและอวี้ไป่หันจึงกัดฟันวางเดิมพันทั้งหมด แม้จะเป็นเงินจำนวนมาก แต่พวกเขาไม่คิดว่าเหลิ่งรั่วปิงจะชนะ เธอดูเหมือนผีพนันที่กำลังวางเดิมพันชีวิต
ในเมื่อทุกคนวางเดิมพันทั้งหมด ไพ่ใบที่สี่และใบที่ห้าเปิดให้รับรู้อย่างรวดเร็ว เหลิ่งรั่วปิงชนะทั้งหมด ทุกคนตกใจจนหน้าถอดสี ไม่อยากจะเชื่อว่า ไพ่ของเหลิ่งรั่วปิงจะดี ถึงขั้นเรียงต่อกัน มีแต่หนานกงเยี่ยเท่านั้นที่หัวเราะแล้วยักไหล่ ผู้หญิงของเขาแก้แค้นสำเร็จแล้ว
“เวินอี๋ ช่วยฉันเก็บเงินหน่อย” สีหน้าของเหลิ่งรั่วปิงกลับมาเกียจคร้านเหมือนในตอนแรก เธอหยิบซาลาเปาขึ้นมาอีกครั้ง กัดกินคำเล็กๆ อย่างมีสง่า มีเงินเข้าบัญชีแปดร้อยล้านในพริบตาเดียว แต่เธอกลับนิ่งสงบ
“ค่ะ” มือที่กำลังเก็บเงินของเวินอี๋สั่นเทา เงินตั้งแปดร้อยล้าน คนธรรมดาใช้ได้หลายชาติแล้ว
มองดูแววตานิ่งสงบและเต็มไปด้วยความเย้ยหยันของเหลิ่งรั่วปิง ทุกคนเข้าใจทันที เธอใช้กลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับ แสดงละครได้แนบเนียนจริงๆ ก่อนหน้านี้แสดงเป็นคนอ่อนไหวง่าย อารมณ์ไม่คงที่ เพียงเพื่อพรางตาทุกคนก็เท่านั้น ความเป็นจริงเธอถือเป็นคนที่เล่นพนันเก่งมาก สิ่งที่เธอต้องการก็คือเกมสุดท้าย
ทุกคนเดาไม่ผิด เหลิ่งรั่วปิงคือนักพนันที่เก่งมาก ทั้งยังเป็นคนที่เชี่ยวชาญด้านการฟังไพ่ เพียงแค่ฟังเสียงไพ่วางลงบนโต๊ะ เธอก็รู้ทันทีว่าไพ่ใบนั้นคืออะไร ดังนั้นดูเหมือนเธอจะไม่ใส่ใจเท่าไร ทว่าไพ่ในมือของฝ่ายตรงข้ามมีอะไรบ้าง เธอรู้ตั้งแต่แรกแล้ว ทั้งยังคาดการณ์ไพ่ในอนาคตได้อย่างชัดเจน ไม่อย่างนั้นเธอไม่เอาเงินของตนเองมาเทหมดหน้าตักหรอก
คุณชายทั้งสี่ของเมืองหลงต่างคิดว่าตนเองคือคนฉลาดหลักแหลม คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะถูกเหลิ่งรั่วปิงปั่นหัวกันถ้วนหน้า ภายในใจของพวกเขารู้สึกหดหู่มาก ถึงแม้พวกเขาจะไม่ขาดเหลือเงินทอง แต่เสียเงินสองร้อยล้านในชั่วพริบตา ทั้งยังแพ้ผู้หญิงคนหนึ่ง มันเป็นอะไรที่เสียหน้ามาก
ในทางตรงกันข้าม หนานกงเยี่ยกลับยิ้มอย่างมีความสุข แววตาที่มองเหลิ่งรั่วปิงเปี่ยมด้วยความหลงใหล เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้หญิงของเขาจะเล่นพนันเก่งแบบนี้ มีอะไรบ้างที่เหลิ่งรั่วปิงทำไม่เป็น
“เก่งนี่หนิงซยา ซ่อนได้แนบเนียนมาก!” อวี้ไป่หันมองเหลิ่งรั่วปิงด้วยความเจ็บปวด ตอนนี้เขาอยากจะบอกว่า เธอเป็นนางมารชัดๆ
เหลิ่งรั่วปิงกัดซาลาคำสุดท้ายยัดเข้าปากจนหมด ดึงกระดาษทิชชู่เช็ดมือช้าๆ “คุณอวี้ ชมเกินไปแล้วค่ะ ถ้าคุณไม่มีเงินซื้อกางเกงใส่แล้ว ฉันให้คุณยืมสักร้อยหนึ่งก็ได้นะคะ”
“ฮ่าๆๆ…” ถังเฮ่าหัวเราะและตบต้นขาอย่างแรง ทุกคนต่างดูออก เหลิ่งรั่วปิงไม่ชอบขี้หน้าอวี้ไป่หันมาก
อวี้ไป่หันยิ้มแห้งๆ พร้อมกับพยักหน้า “ครับๆๆ ฉู่หนิงซยา ถือว่าผมติดค้างคุณ ชดเชยคุณสองร้อยล้าน ซื้อใจคุณให้มองผมในแง่ดี คุณคงไม่เสียเปรียบใช่ไหมครับ”
“คุณอวี้พูดเป็นเล่นไป เงินนี้ฉันอาศัยความสามารถของฉันในการได้มา ถือเป็นการชดเชยจากคุณได้ยังไงคะ” เหลิ่งรั่วปิงเลิกคิ้วขึ้น “อีกอย่าง คุณติดค้างอะไรฉันคะ”
“…” อวี้ไป่หันใบ้รับประทาน “ครับๆๆ ผมเป็นคนบาป ผมมีบาปติดตัว คุณพูดอะไรก็ถูกทั้งหมดครับ”
แววตาเวินอี๋เป็นประกายแวววับ “หนิงซยา ตอนนี้เธอมีเงินเยอะมากเลย!”
เหลิ่งรั่วปิงชำเลืองมองหนานกงเยี่ย แล้วหันไปยิ้มให้เวินอี๋ “เจ๊มีเงินเยอะอยู่แล้ว เงินเข้าบัญชีอีกไม่กี่ร้อยล้านไม่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นหรอก”
หนานกงเยี่ยเลิกคิ้วขึ้น ยิ้มราวกับภาพวาด แน่นอนว่าเขาเข้าใจแววตาของเธอเป็นอย่างดี เหลิ่งรั่วปิงมีเงิน มีมากจนชีวิตนี้เธอคงจะใช้ไม่หมด เธอเป็นผู้หญิงที่รวยและสวยที่สุดของเมืองหลงได้ ตอนที่อยู่กับเขา เขาให้เช็คไม่ระบุจำนวนเงินกับเธอทุกวัน เธออาศัยความรักของเขา เรียกเงินก้อนใหญ่ทุกวัน มีวันไหนบ้างที่เงินในบัญชีของเธอไม่เข้าสักสิบยี่สิบล้าน
แต่ว่าเขาไม่เคยเสียดาย เหลิ่งรั่วปิงเป็นผู้หญิงของเขา เป็นเรื่องธรรมดาที่จะใช้เงินของเขา อนาคตข้างหน้าเธอก็ใช้ได้แค่เงินของเขา เงินของผู้ชายคนอื่น จะไม่ให้เธอแตะต้องแม้แต่บาทเดียว
มองเหลิ่งรั่วปิง แล้วมองหนานกงเยี่ย คุณชายทั้งสามของเมืองหลงถือว่าเข้าใจแล้ว วันข้างหน้า ตระกูลหนานกงผู้หญิงเป็นฝ่ายมีอำนาจ ถ้าหากพวกเขาอยากจะเป็นเพื่อนกับหนานกงเยี่ยต่อ ก็ต้องเชื่อฟังคำพูดของเหลิ่งรั่วปิง วันข้างหน้า เหลิ่งรั่วปิงคือผู้หญิงที่มีอำนาจที่สุดในเมืองหลง ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร นับตั้งแต่ตอนนี้ พวกเขาต้องเคารพเธอราวกับเป็นราชินี หนานกงเยี่ยไม่ใช่คุณชายที่มีอำนาจที่สุดในเมืองหลงคนเดิมอีกแล้ว หลังจากนี้เขาคือผู้ชายที่เชื่อฟังคำพูดของภรรยา
เมื่อคิดได้แบบนี้ มู่เฉิงซี ถังเฮ่าและอวี้ไป่หันมองหน้ากัน ถอนหายใจด้วยความจนปัญญา ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก ตอนนั้นไม่ว่าใครจะพูดอย่างไรก็คงไม่กล้าทำผิดต่อเหลิ่งรั่วปิง
*****
เวลาประมาณสี่โมงเย็น เครื่องบินส่วนตัวของหนานกงเยี่ยบินถึงเมืองไห่ที่อยู่ทางตอนใต้ เครื่องบินจอดตรงบริเวณปราสาทเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บนหุบเขาและน้ำสีฟ้าคราม ปราสาทหลังนี้อยู่ห่างจากเมือง ตั้งอยู่ตรงหุบเขา เป็นปราสาทที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษของตระกูลหนานกง มีประวัติยาวนาวกว่าสองร้อยปี
กำแพงหินของปราสาทมีร่องรอยแตกร้าว หินทุกก้อนมากล้นด้วยเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ผนังหนาปกคลุมด้วยเถาวัลย์สีเขียวขจี ทั้งยังมีดอกกุหลาบสีขาวมากมายกำลังเบ่งบานบนเถาวัลย์ ภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง ลมเย็นพัดปลิว ราวกับดอกไม้ทุกดอกกำลังแย้มยิ้ม
ถึงแม้ปราสาทหลังนี้จะเก่า แต่มีคนคอยทำความสะอาดอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงไม่น่ากลัวเหมือนที่เล่าลือกัน แต่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายลึกลับ
ยืนอยู่ตรงหน้าปราสาท มองดูกำแพงสูงใหญ่ อาจจะเป็นเพราะเกี่ยวข้องกับสายอาชีพของตน เหล่งรั่วปิงมองดูปราสาทแล้วรู้สึกตื้นตันใจ ความเป็นจริงสิ่งปลูกสร้างของคนสมัยก่อน ใช้ใจทำยิ่งกว่าปัจจุบัน ปราสาทเก่าแก่หลังนี้สร้างมานานกว่าสองร้อยปีแล้ว ผ่านลมผ่านฝนมามากมาย แต่มันยังคงแข็งแกร่งราวกับเหล็ก ความแข็งแกร่งและเก่าแก่ของปราสาท ทำให้คนตกตะลึงอย่างมาก
หนานกงเยี่ยเดินไปข้างเหลิ่งรั่วปิงเงียบๆ โอบไหล่เธอเอาไว้ ยิ้มอ่อนโยน “ถ้าคุณชอบ ผมพาคุณมาที่นี่ทุกปีเลยก็ได้นะครับ”
เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้มบางๆ รอยยิ้มของเธอบางเบามาก ราวกับเพียงแค่ลมพัดผ่านก็หายไปแล้ว เรื่องในอนาคตใครจะคาดเดาได้ สิ่งที่ตอนนี้เธอไม่กล้าเชื่อที่สุดก็คือนิรันดร์
เพราะตอนกลางคืนหนานกงเยี่ยมีเรื่องสำคัญต้องทำ ดังนั้นทุกคนจึงไม่รอช้า แยกย้ายกันเข้าไปในปราสาท เข้าพักในห้องที่พ่อบ้านจัดเตรียมเอาไว้ให้
หนานกงเยี่ยพาเหลิ่งรั่วปิงเดินเข้าไปในห้องนอนที่ใหญ่มาก “เราพักห้องนี้นะครับ” ยื่นมือไปเปิดตู้เสื้อผ้า “นี่เป็นเสื้อผ้าที่เตรียมเอาไว้ให้คุณ”
ดวงตาคู่สวยของเหลิ่งรั่วปิงกวาดตามอง เธอมองดูเสื้อผ้าในตู้ ซึ่งเตรียมเอาไว้ให้เธอจำนวนมาก แม้แต่ชุดนอนและชุดชั้นในก็เตรียมเอาไว้อย่างพร้อมสรรพ แต่ว่าสิ่งที่สนใจไม่ใช่เรื่องนี้ “คุณหนานกงเยี่ย เมื่อกี้คุณบอกว่าพวกเราพักห้องนี้ หมายความว่ายังไงคะ”
หรือเขาคิดจะนอนเตียงเดียวกับเธอ? ไม่ได้ เมื่อคืนเป็นกรณีพิเศษเท่านั้น
หนานกงเยี่ยเงยหน้าขึ้นด้วยความแปลกใจ “คุณไม่ชอบห้องนี้? ถ้าอย่างนั้นคุณชอบสไตล์ไหน ผมให้พ่อบ้านเตรียมให้ใหม่?” ห้องนอนนี้เป็นห้องที่หรูหราที่สุดในปราสาท ถ้าเธอไม่ชอบ แล้วจะเตรียมห้องไหนให้เธอดีล่ะ
เหลิ่งรั่วปิงยิ้มอย่างมีเลศนัย “ห้องนี้หันหน้าเข้าหาพระอาทิตย์ ทั้งยังกว้างและหรูหรา ฉันจะไม่ชอบได้ยังไงคะ” เธอเอียงศีรษะเล็กน้อยพร้อมกับหัวเราะ “คุณอยากจะลวนลามฉัน นอนบนเตียงเดียวกับฉัน?”
หนานกงเยี่ยชะงัก ตามด้วยหัวเราะแห้ง ผู้หญิงคนนี้ไม่มีเยื่อใยจริงๆ เมื่อคืนพวกเขาสองคนพูดคุยกันอย่างมีความสุข นอนคุยกันบนเตียงอยู่นานไม่เห็นเป็นอะไร แต่วันนี้เธอกลับอยากจะผลักไสเขาออกไป เขานึกว่าเมื่อคืนพวกตนคืนดีกันแล้วเสียอีก
แต่ตอนนี้ห้ามทำให้เธอโมโหเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเรื่องสำคัญในคืนนี้คงจบเห่แน่ ดังนั้นหนานกงเยี่ยจึงยิ้มอย่างออดอ้อน “ครับๆๆ ถ้าคุณไม่โอเคผมก็ไม่บังคับ ไว้ค่อยพูดกันตอนกลางคืน หืม?”
เหลิ่งรั่วปิงพยักหน้า สื่อความหมาย ค่อยว่าไปอย่าง
หนานกงเยี่ยหัวเราะเสียงเบา “นั่งเครื่องบินมาหลายชั่วโมง เหนื่อยแล้ว คุณพักผ่อนเถอะครับ เดี๋ยวถึงเวลากินอาหารค่ำผมค่อยมาปลุก”
สำหรับข้อเสนอนี้ เหลิ่งรั่วปิงไม่ขัดข้อง เธออยากจะนอนหลับสักงีบจริงๆ ด้วยเหตุนี้เหลิ่งรั่วปิงจึงไปอาบน้ำอย่างว่าง่าย เปลี่ยนชุดนอน แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง
หลังจากเหลิ่งรั่วปิงนอนหลับ หนานกงเยี่ยเดินลงไปชั้นล่าง ทุกคนรอเขาที่ห้องรับแขกชั้นล่าง เหมือนกำลังประชุมอย่างไรอย่างนั้น จัดเตรียมงานตามแผนที่วางเอาไว้
แน่นอนเหลิ่งรั่วปิงไม่รู้ ทุกคนกำลังช่วยจัดเตรียมเรื่องสำคัญเพื่อเธอ เหลิ่งรั่วปิงนอนหลับสนิท เธอนอนจนฟ้ามืด ตอนที่ตื่นขึ้นมา กำแพงในปราสาทมีแสงไฟสีเหลืองนวล โคมไฟเล็กใหญ่รวมกว่าร้อยดวง อยู่ท่ามกลางหุบเขาเขียวขจี ปราสาทเก่าแก่ราวกับดวงดาวระยิบระยับบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ส่องแสงประกายแวววาวชวนหลงใหล
“ตื่นแล้วเหรอครับ” หนานกงเยี่ยเฝ้าตรงข้างเตียงตลอดเวลา รอเธอตื่น
เหลิ่งรั่วปิงมองออกไปนอกหน้าต่าง รู้สึกละอายใจ ตนเองกลายเป็นคนนอนเก่งแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร “ฉันมันไร้ประโยชน์มากเลยใช่ไหมคะ”
หนานกงเยี่ยเลิกคิ้วด้วยความฉงน “ทำไมถึงว่าตัวเองแบบนี้ครับ”
“ฉันรู้สึกว่าพักหลังมานี้ฉันยิ่งอยู่ยิ่งไม่พัฒนาตนเอง นอนเป็นเวลานาน” เหลิ่งรั่วปิงมองค้อนหนานกงเยี่ย “ทั้งหมดนี้เป็นเพราะคุณ คุณไม่ให้ฉันทำงาน ทั้งยังจะฉลองตรุษจีนอะไรก็ไม่รู้ ทำเอาชีวิตไม่มีความหมาย”
หนานกงเยี่ยยิ้มพร้อมกับยักไหล่ “ครับๆๆ ความผิดของผมเอง” ลูบผมยุ่งเหยิงของเธอด้วยรอยยิ้ม “แล้วคุณมีความสุขไหมครับ”
มีความสุขไหม แน่นอนว่ามีความสุข! เหลิ่งรั่วปิงไม่ปฏิเสธ หลายวันที่ผ่านมานี้ไม่มีงานคอยกดดัน เอาแต่เที่ยวเล่นกับเขา เธอมีความสุขมาก
หนานกงเยี่ยยิ้มแล้วพยุงตัวเหลิ่งรั่วปิงขึ้นมา “ในเมื่อมีความสุข ก็อย่าคิดมากเลยครับ มา ตื่นได้แล้ว ผม…มีของขวัญจะให้”
เหลิ่งรั่วปิงลุกขึ้นนั่งด้วยความเกียจคร้าน “ของขวัญอะไรคะ”
“ของขวัญที่ผมเตรียมด้วยใจ”หนานกงเยี่ยมองหน้าเหลิ่งรั่วปิงด้วยแววตาจริงจัง ราวกับความรู้สึกทั้งหมดได้แผ่ซ่านออกมา
สำหรับความจริงจังที่เกิดขึ้นกะทันหันของเขา เหลิ่งรั่วปิงทำตัวไม่ถูก จึงพูดหยอกล้อ “คุณคงไม่ได้จะขอฉันแต่งงานใช่ไหมคะ”
แววตาหนานกงเยี่ยสั่นเทาเล็กน้อย ริมฝีปากยกขึ้น “ถ้าหากว่าใช่ล่ะครับ”
“ฮ่าๆๆ…” เหลิ่งรั่วปิงเหมือนได้ฟังเรื่องตลก “ล้อเล่นอะไรคะ คุณเห็นฉันเป็นตัวแทนของเหลิ่งรั่วปิงไม่ใช่หรอ คุณขอฉันแต่งงาน แล้วถ้าเหลิ่งรั่วปิงปรากฏตัวขึ้นมา คุณก็จะหย่ากับฉันใช่ไหมคะ หรือว่าคุณไม่รักเธอแล้ว คุณจะรักฉัน?”
หนานกงเยี่ยไม่มีอารมณ์มากมายเท่าไร เขาเอาผมที่ยุ่งเหยิงของเธอทัดที่ใบหู “ในเมื่อคุณเดาไม่ออก ก็อย่าเพิ่งเดาเลยครับ เปลี่ยนเสื้อผ้า ผมจะพาคุณออกไป”
“ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงก็คร้านจะเดา เพราะสองวันที่ผ่านมานี้หนานกงเยี่ยเปลี่ยนไปมาก ทุกอย่างที่เขาทำ ล้วนอยู่เหนือความคาดหมายของเธอ สิ่งน่าตกตะลึงที่เขาจะทำในคืนนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าเหนือความคาดหมายของเธอเช่นเดียวกัน
หลังจากเหลิ่งรั่วปิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ หนานกงเยี่ยพาเธอเดินเข้าไปในลิฟต์ที่อยู่ภายในปราสาท ขึ้นไปบนดาดฟ้า