ยืนอยู่ตรงดาดฟ้าแล้วมองดูปราสาท เหลิ่งรั่วปิงอดไม่ได้ที่จะตื้นตันใจ รู้สึกเหมือนได้ใช้ชีวิตอยู่ในเทพนิยายเรื่องสโนไวท์ กำแพงสูงใหญ่ ปราสาทที่สร้างขึ้นด้วยรูปทรงที่แปลกตา โคมไฟสีเหลืองนวลนับร้อยดวง ภายใต้ดวงดาวระยิบระยับ ทุกอย่างดูลึกลับ โบราณและแฟนตาซีในเวลาเดียวกัน
ลมยามค่ำคืนพัดมาแผ่วเบา เคล้าไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ใบหญ้าและดินโคลน ทำให้ผมของเธอและเสื้อเชิ้ตตัวยาวสีขาวปลิดปลิว เหลิ่งรั่วปิงดูสวยมากขึ้นกว่าเดิม เธอสวยราวกับนางฟ้า
หนานกงเยี่ยมองดูผู้หญิงที่ทำให้ตนบ้าคลั่ง หัวใจบีบรัดเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น เพราะเขากลัวเธอจะปฏิเสธ เหลิ่งรั่วปิงเป็นแบบนี้มาโดยตลอด แม้ว่าทั้งสองจะเข้ากันได้ดีราวกับน้ำผึ้งที่หอมหวาน แต่เธอก็อาจปฏิเสธเขาอย่างไร้เยื่อใยได้
“คุณหนานกงเยี่ย คุณบอกว่ามีของขวัญจะให้ฉันไม่ใช่เหรอคะ คงไม่ใช่พาฉันมานับดาวที่นี่ใช่ไหมคะ” เมื่อเห็นหนานกงเยี่ยยืนเงียบอยู่นาน เหลิ่งรั่วปิงไม่สบอารมณ์เล็กน้อย
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ” หนานกงเยี่ยยิ้มแล้วจับมือเหลิ่งรั่วปิง “ของขวัญที่ผมจะให้คุณ ผ่านการคิดอยู่นานกว่าจะตัดสินใจได้ ดังนั้น ผมจริงจังมากนะครับ ฉู่หนิงซยา คุณอย่าทำเป็นเล่นเด็ดขาด”
เหลิ่งรั่วปิง “…”
เขาจริงจังขนาดนี้ ทำให้เธอเดาไม่ออกจริงๆ ว่าเป็นอะไร
มองสบตากันครู่หนึ่ง หนานกงเยี่ยจับมือเหลิ่งรั่วปิง เดินไปยังรั้วกำแพงบนดาดฟ้า จากนั้นปรบมือสามครั้ง
วินาทีต่อมา ลานกว้างหน้าปราสาท ดอกไม้ไฟถูกจุดขึ้นมา ดอกไม้ไฟทุกดอกล้วนมีสีสันสวยงาม ตัดผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืนราวกับฝนดาวตก พุ่งทะยานขึ้นไปบนปราสาท เสี้ยววินาที ท้องฟ้าส่องสว่าง งดงามเจิดจ้า สวยราวกับแสงสนธยา
ความสูงของดอกไม้ไฟสูงกว่าปราสาทเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าดอกไม้ไฟเหล่านี้สั่งทำขึ้นมาพิเศษ เหลิ่งรั่วปิงมองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนตรงหน้าด้วยความตื่นตา เธอชอบดูดอกไม้ไฟ ดังนั้นดอกไม้ไฟสั่งทำพิเศษนี้ ทำให้เธอมองอย่างมีความสุข
ดอกไม้ไฟสวยมาก หลายต่อหลายดอกถูกจุดขึ้นพร้อมกัน ไม่นานบนท้องฟ้าก็มีตัวอักษรสีแดงขนาดใหญ่ ‘เหลิ่งรั่วปิง แต่งงานกับผม’
รอยยิ้มบนใบหน้าของเหลิ่งรั่วปิงนิ่งค้าง เธอคิดว่าตนเองตาฝาด ถึงแม้ดอกไม้ไฟจะสั่งทำขึ้นพิเศษ แต่ก็อยู่บนท้องฟ้าได้ไม่นาน เธอยังไม่ทันดึงสติกลับมาจากความตกใจ ตัวอักษรทั้งเจ็ดตัวก็ค่อยๆ จางหายไปแล้ว
“รั่วปิง แต่งงานกับผมนะครับ!”หนานกงเยี่ยจับไหล่เหลิ่งรั่วปิงเบาๆ มองดูสีหน้าฉงนของเธอ “แต่งงานกับผมนะครับ?”
เหลิ่งรั่วปิงเงียบอยู่นาน เธอจ้องมองไปยังนัยน์ตาของหนานกงเยี่ย ความเป็นจริงเขารู้มานานแล้วว่าเธอเป็นใคร มีความเป็นไปได้ว่าภาพแลนด์มาร์คเมืองหลงไม่ได้หายไป ทุกอย่างเป็นเพียงคำโกหกที่เขาสร้างขึ้นเพื่อหลอกให้เธอกลับมาเมืองหลง เขาน่ากลัวมาก ฉลาดจนน่ากลัวมาก เขารู้ดีทุกอย่าง
ผ่านไปนานแต่ยังคงไม่ได้รับคำตอบ ด้วยความตื่นเต้นมือของหนานกงเยี่ยจึงสั่นเทา ไม่เคยมีเรื่องอะไรหรือใครทำให้เขาตื่นเต้นมาก่อน นอกจากเหลิ่งรั่วปิง หนานกงเยี่ยยิ้มพร้อมกับหยิบแหวนออกมา ทำตามขั้นตอนการขอแต่งงานอย่างเป็นทางการ คุกเข่าลงตรงหน้าเธอ “เหลิ่งรั่วปิง แต่งงานกับผมนะครับ!”
เหลิ่งรั่วปิงหลุบตาลง มองดูผู้ชายตรงหน้าที่มีความตื่นเต้นเล็กน้อย เขาที่สูงศักดิ์ราวกับเทพ ทว่าวันนี้กลับยอมคุกเข่าขอเธอแต่งงาน เธอควรจะซึ้งใจไหม ใช่ เธอควรซึ้งใจ แต่เธอกลับรู้สึกโกรธมากกว่า
เขามีสิทธิ์อะไรบีบบังคับให้เธอเป็นนางบำเรอของเขา ตอนที่ไม่ต้องการก็ทิ้งเธอไป พออยากได้ตัวเธอก็แย่งชิงเธอมาจากเมืองเฟิ่งต่อหน้าสาธารณะ?
เขามีสิทธิ์อะไรจัดงานเลี้ยงสร้างความอับอายให้เธอโดยไร้ซึ่งความหวาดกลัว มีสิทธิ์อะไรถึงได้หลอกเธอกลับมาเมืองหลงโดยที่ไม่ถามความคิดเห็นของเธอ ทั้งยังไล่ไซ่ตี้จวิ้นไปแล้วกักขังเธอไว้ข้างกายเขา?
ทำไมเขาถึงมีอำนาจในการควบคุมทุกอย่างที่เกิดขึ้น?
เธอไม่พอใจ
“คุณหนานกงเยี่ย ฉันไม่แต่งค่ะ!” พูดจบ เหลิ่งรั่วปิงคว้าแหวนในมือของเขาขึ้นมา แล้วโยนขึ้นไปบนฟ้าด้วยความโมโห จากนั้นสาวเท้าก้าวใหญ่ออกไป
แหวนเพชรมูลค่าหกล้านหยวนลอยล่องวาดเป็นเส้นสีเงินบนท้องฟ้ายามค่ำคืน แล้วหายไป
แน่นอน หนานกงเยี่ยไม่สนใจแหวนเพชรวงนี้แม้แต่น้อย เขารีบลุกขึ้น วิ่งตามเหลิ่งรั่วปิง แล้วคว้าตัวเธอมากอด “รั่วปิง”
“คุณปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!” เหลิ่งรั่วปิงขัดคืนอย่างแรง “ฉันบอกคุณแล้วไง ฉันไม่แต่ง”
เห็นได้ชัด หนานกงเยี่ยคิดไม่ถึงว่าเธอจะปฏิเสธรุนแรงแบบนี้ เขาไม่รู้จะพูดอะไรดี แต่ภายในใจของเขามีความคิดหนึ่งที่แน่วแน่มาก นั่นก็คือไม่มีวันปล่อยเธอ ดังนั้นมือใหญ่ของเขาจึงกอดเธอเอาไว้แน่น ยิ่งเธอดีดดิ้น เขาก็ยิ่งกอดแน่นมากขึ้น
“คุณปล่อยฉัน ต่อให้ฉันจะแต่งงานกับใครก็ไม่มีวันแต่งงานกับคุณ!” เหลิ่งรั่วปิงดีดดิ้นอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างไม่ยอมแพ้ “คุณโกหกฉัน หลอกลวงฉันมาโดยตลอด คุณอยากจะทำให้ฉันอับอายก็ทำให้ฉันอับอาย อยากให้ฉันกลับมาก็พาฉันกลับมา คุณมีสิทธิ์อะไร”
ไม่ว่าเหลิ่งรั่วปิงจะทุบตียังไง หนานกงเยี่ยก็ไม่ยอมปล่อยมือ “เหลิ่งรั่วปิง ผมต้องทำยังไงคุณถึงจะลืมเรื่องนั้น ผมบอกแล้ว ขอแค่คุณยอมกลับมา พวกเราก็จะมีชีวิตที่ดีและมีความสุข เรื่องแบบนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีก” เสียงของเขาเต็มไปด้วยความอ้อนวอน
“ฉันไม่มีวันกลับไป ไม่มีวันกลับไป ต่อให้ตายฉันก็ไม่มีวันหันกลับมาหาคุณ!” เหลิ่งรั่วปิงทุบตีมือใหญ่ที่ล็อคเอวตนเองเอาไว้อย่างแรง “คุณหนานกงเยี่ย คุณเลิกหวังเถอะ!”
ต่อให้ตายก็ไม่มีวันกลับมา!
คำพูดไม่กี่คำนี้ทำให้หัวใจของหนานกงเยี่ยปวดร้าว เสียงของเขาสั่นเทา “รั่วปิง คุณบอกว่าอยากให้ผมรักคุณแค่คนเดียวไม่ใช่เหรอครับ คุณบอกให้ผมสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์แบบกับคุณ ผมทำได้ ผมทำทุกอย่าง ขอแค่คุณให้โอกาสผม ชั่วชีวิตนี้ผมจะไม่มีวันทำอะไรให้คุณต้องผิดหวังอีก”
“ไม่ว่าคุณต้องการอะไร ขอแค่คุณบอก ผมให้คุณทุกอย่าง ขอแค่คุณไม่ไปจากผม”
“ถ้าคุณต้องการชีวิตของผม ผมให้คุณตอนนี้เลยก็ได้ ไม่แม้แต่กะพริบตา”
เหลิ่งรั่วปิงถูกหนานกงเยี่ยสวมกอดแน่น ไม่อาจหลุดพ้นจากพันธนาการของเขาได้ ความโกรธของเธอราวกับทุ่งหญ้าที่ไฟลุกลาม เหลิ่งรั่วปิงนึกถึงเรื่องราวของเธอกับเขาตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนนี้ เขาแทบจะกักขังเธอตลอดเวลา ทำให้เธอไม่มีอิสระ ไม่มีสิทธิ์เลือก ต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความเผด็จการของเขา รวมถึงการกลับมาเมืองหลงในครั้งนี้ ถึงแม้เขาจะไม่ได้ใช้ปืนในการพาเธอกลับมา แต่แผนการของเขาทำให้เธอโมโห
ดังนั้นเหลิ่งรั่วปิงที่กำลังโมโหจึงพูดออกไปอย่างไม่คิด “ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นคุณก็ตายให้ฉันดูสิ!”
หนานกงเยี่ยหยุดชะงัก เขาหยุดการกระทำทั้งหมด มีเพียงแค่มือเท่านั้นที่ยังกอดเอวเธอเอาไว้ ริมฝีปากของเขายกขึ้นเล็กน้อยราวกับดอกไม้ที่งดงาม “รั่วปิง คุณอยากให้ผมตายมากขนาดนี้เลยเหรอครับ”
เหลิ่งรั่วปิงสงบสติลง เสียใจกับคำพูดเมื่อครู่ แต่ตอนนี้เธอไม่อยากยอมแพ้ “ใช่ค่ะ”
หนานกงเยี่ยมองดูผู้หญิงในอ้อมกอด ผ่านไปครู่หนึ่งเขาค่อยๆ คลายกอด “ได้ครับ รั่วปิง ผมจะให้คุณเห็น ผมยินดีให้ทุกอย่างที่คุณต้องการ ขอเพียงเป็นสิ่งที่ผมมี ผมจะให้คุณทั้งหมด”
พูดจบ หนานกงเยี่ยหมุนตัวหันหลัง เดินไปตรงริมดาดฟ้า ปีนขึ้นไปบนกำแพงกั้น เตรียมกระโดดลงไป
“หนานกงเยี่ย!”
เหลิ่งรั่วปิงวิ่งไปด้วยความร้อนใจ พุ่งตัวไปยังริมดาดฟ้า ยื่นมือออกไปคว้ามือหนานกงเยี่ย อย่างรวดเร็ว เหลิ่งรั่วปิงคว้าแขนขวาของหนานกงเยี่ยเอาไว้ น้ำหนักที่มากของเขาเกือบทำให้แขนขวาเธอแทบหัก ตัวของเธอชนเข้ากับกำแพงอย่างแรง อดทนกับความเจ็บปวดที่ร่างกายได้รับ มือซ้ายของเธอคว้าจับกำแพงตามสัญชาตญาณ เพื่อควบคุมไม่ให้ตนเองตกลงไปด้วย
มู่เฉิงซี ถังเฮ่า อวี้ไป่หันรวมถึงไซ่หย่าเซวียนและเวินอี๋ที่เมื่อครู่ช่วยกันจุดดอกไม้ไฟตรงลานกว้าง มองดูท่าทีบ้าคลั่งของทั้งสองบนดาดฟ้า ต่างพากันตกใจ
อวี้ไป่หัน “หนานกงทำอะไรของมัน”
ถังเฮ่า “ดูเหมือนขอแต่งงานไม่ราบรื่นเท่าไหร่”
มู่เฉิงซี “เหลิ่งรั่วปิงคนนี้ เธอมันไร้เยื่อใยมากแค่ไหนกัน ถึงบีบให้หนานกงกระโดดตึก!”
เวินอี๋และไซ่หย่าเซวียนไม่ได้พูดอะไรมาก ทว่าพวกเธอเป็นกังวลจนหัวใจเต้นแรงไม่หยุด โดยเฉพาะเวินอี๋ เธอกลัวจนแทบจะร้องไห้ โชคดีที่มีมู่เฉิงซีคอยโอบกอดเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเธอต้องเป็นลมหมดสติอย่างแน่นอน เธอมองดูความสุขที่กำลังจะมาถึงของเหลิ่งรั่วปิง คิดว่าแผนการขอแต่งงานที่จัดเตรียมด้วยความตั้งใจนี้จะทำให้เหลิ่งรั่วปิงประทับใจ ยอมคืนดีกับหนานกงเยี่ย แล้วมีชีวิตที่มีความสุข แต่ดูแล้ว พวกเขาก็ยังไม่คืนดีกัน
หนานกงเยี่ยไม่มีทีท่าจะขึ้นมา เขาเงยหน้าขึ้นมองผู้หญิงที่ใบหน้าถอดสี ริมฝีปากกระตุกยิ้มเล็กน้อย “ทำไมต้องช่วยผมครับ หืม?”
“คุณรีบขึ้นมาเดี๋ยวนี้!” เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกเหมือนกำลังจะหมดแรง เธอจับมือหนานกงเยี่ยแน่น แต่เขากลับไม่ยอมจับมือของเธอ ขอเพียงแค่เธอหมดแรง เขาก็จะตกลงไปทันที เขาไม่กลัวความตายจริงๆ เหรอ
เหลิ่งรั่วปิงร้อนใจจนแทบจะร้องไห้ น้ำตาเริ่มคลอเบ้า
ทว่าหนานกงเยี่ยกลับไม่ร้อนใจแม้แต่น้อย เขายิ้ม “คุณรักผมไหมครับ”
เหลิ่งรั่วปิงกัดฟันแน่น เธอไม่ชอบการถูกคนอื่นบีบบังคับที่สุด “คุณหนานกง คุณอย่าบีบบังคับฉัน!”
“ผมไม่ได้บีบบังคับคุณ ผมแค่อยากให้คุณพูดความจริง”
หนานกงเยี่ยดื้อดึง ทว่าเหลิ่งรั่วปิงดื้อดึงยิ่งกว่า “ไม่รัก ฉันไม่รักคุณแม้แต่น้อย”
“แล้วคุณจะสนทำไมว่าผมจะอยู่หรือตาย ปล่อยมือผม!” ขณะพูด หนานกงเยี่ยทุ่มตัวลงไป พยายามจะแกะมือเหลิ่งรั่วปิงออก
“คุณหนานกงเยี่ย คุณมันสารเลว!” เหลิ่งรั่วปิงร้องตะโกนสุดเสียง เสียงของเธอสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ทุกคนในปราสาทพากันตกใจ
“บอกผมมา คุณรักผมหรือเปล่า?!” หนานกงเยี่ยจ้องมองลึกเข้าไปในแววตาของเหลิ่งรั่วปิง ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาจะต้องทำให้เธอพูดความจริงให้ได้
“รักค่ะ ฉันรักคุณ” น้ำตาของเหลิ่งรั่วปิงรินไหล น้ำตาเม็ดโตหยดลงบนใบหน้าหนานกงเยี่ย
น้ำตาของเธอ มีรสเค็มเล็กน้อย ไหลเข้าไปในปากของเขา ทำให้หัวใจของเขาพองโต ด้วยเหตุนี้เขาจึงคลี่ยิ้ม “พูดอีกครั้ง”“ฉันรักคุณ คุณหนานกง” น้ำตาของเหลิ่งรั่วปิงไหลลงมา ราวกับน้ำที่ไหลเชี่ยวในแม่น้ำ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจหยุดมันเอาไว้ได้ ถูกต้อง เธอรักเขา ความเป็นจริงเธอรักเขามาโดยตลอด เพียงแต่เธอไม่อยากยอมรับก็เท่านั้น ช่วงเวลาความเป็นความตาย เธอยอมรับแล้ว
หนานกงเยี่ยดีใจมาก และรู้สึกปวดใจมากเหมือนกัน เขาไม่อาจทรมานเธอต่อไปแล้ว ลงน้ำหนักที่เท้า แตะไปที่กำแพง แล้วกระโดดขึ้นมาบนดาดฟ้า ตอนที่เท้าทั้งสองข้างของเขาขึ้นมาอย่างปลอดภัย เหลิ่งรั่วปิงหมดซึ่งเรี่ยวแรง ล้มตัวถอยหลังด้วยอย่างแผ่วเบา
หนานกงเยี่ยวิ่งไปสวมกอดเธอ พูดกระซิบที่ข้างหู “รั่วปิง รั่วปิง รั่วปิง…”
เสียงร้องเรียกนั้น ราวกับเสียงขลุ่ยที่ห่างไกล คล้ายกับเสียงไพเราะของน้ำพุบนหุบเขา