ตอนที่ 633 จริงหรือปลอม

แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย

เรื่องจริงก็แสดงให้เห็นแล้วว่า การเปิดเผยอย่างจริงใจให้กับสิ่งที่ทุกคนอยากรู้ก็ไม่ได้สร้างความตื่นตกใจมากเท่าไร

 

 

ยิ่งทำตัวทำตัวมีลับลมคมในยิ่งทำให้ผู้คนอยากรู้อยากเห็นมากยิ่งขึ้น

 

 

นี่ก็เหมือนกับการให้ความรู้เรื่องเพศศึกษากับเด็ก ความคิดแบบโบราณคือต้องหลีกเลี่ยงการพูดเรื่องพวกนี้กับเด็ก ถึงขนาดที่ว่าหากพบเจอการสอนเรื่องเพศศึกษาในตำราเรียนผู้ปกครองก็จะไปโวยวายให้ทางโรงเรียนหยุดใช้สื่อการสอนพวกนั้นเสีย ดังนั้นในโรงพยาบาลบางแห่งถึงได้มีเด็กวัยรุ่นไปทำแท้งกันมากมาย

 

 

เรื่องบางเรื่องถ้าสุดท้ายแล้วยังไงมันก็ต้องเกิด ไม่สู้ใช้วิธีที่ถูกต้องให้ความรู้เสียแต่เนิ่นๆ พอรู้เรื่องแล้วก็จะเข้าใจว่ามันก็เป็นแค่เรื่องธรรมดา

 

 

ด้วยเหตุนี้เสี่ยวเชี่ยนใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีก็จัดการเรื่องที่ทำให้ทางสถานีวุ่นวายมาสองวันยุติลง สายด่วนจากผู้ฟังประโยคแรกที่พูดก็คือแสดงความยินดีกับเหม่ยเหวย เสี่ยวเชี่ยนเองก็ตอบอย่างใจกว้างขอบคุณที่เป็นพยานความสุขของเธอ บรรยากาศแห่งความประทับใจนี้เกิดขึ้นในรายการก็ได้ทำให้ผู้ฟังที่มีเรื่องกลุ้มใจอารมณ์ผ่อนคลายลงไปมาก

 

 

อารมณ์ของมนุษย์เราเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์ อารมณ์ร้ายๆก็แพร่ออกไปได้ ดังนั้นอัตราการฆ่าตัวตายของจิตแพทย์หลายคนกับพิธีกรที่จัดรายการตอนกลางคืนจึงสูงมาก แต่อารมณ์ด้านบวกก็แพร่ไปสู่คนอื่นได้ง่ายเช่นกัน หลังจากที่วันๆต้องเจอกับชีวิตน่าเบื่อซ้ำซาก อยู่ๆก็มีเรื่องเข้ามาให้ตื่นเต้น จากนั้นก็เจอกับการจัดการด้วยวิธีที่อ่อนโยน เผยแพร่พลังบวกออกไปก็ทำให้คนที่กำลังอารมณ์ขุ่นมัวดีขึ้นมาบ้าง

 

 

จากการแก้ปัญหาในเรื่องนี้ได้สะท้อนให้เห็นอีคิวที่สูงของเสี่ยวเชี่ยน

 

 

เธอไม่เพียงแต่ไม่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าการที่เธอใช้สายด่วนเพื่อเรื่องส่วนตัวของตัวเองเป็นเรื่องน่ารังเกียจ อีกทั้งยังได้รับคำอวยพรจากคนแปลกหน้าอีกด้วย

 

 

และภายใต้สถานการณ์ที่เธอไม่รู้เรื่องราวนี้เธอก็ได้ถูกนำไปเปรียบเทียบกับเย่เสียวอวี่คนอีคิวต่ำ จนตอนนี้เธอได้เป็นนักจัดรายการหญิงที่ดังที่สุดของช่องวิทยุจราจรไปแล้ว

 

 

ผู้บริหารของสถานีที่ฟังรายการอยู่ถอนหายใจยาวออกมา ดูท่าเรื่องนี้ไม่เพียงแต่จะจบสวย ยังดึงดูดให้คนมาฟังรายการตอนกลางคืนของทางสถานีได้อีกไม่น้อย เหม่ยเหวยนี่เป็นแม่ทัพแห่งความสุขจริงๆ น่าเสียดายที่เป็นแค่พนักงานชั่วคราว อยากจับมาเซ็นสัญญาถาวรเสียจริง พวกผู้บริหารตัดสินใจจะเรียกเสี่ยวเชี่ยนมาคุยตอนกลางวัน ดูว่าเธอจะยอมมาทำงานด้วยกันต่อหรือไม่ แต่นั่นก็เป็นเรื่องในตอนหลัง

 

 

เสี่ยวเชี่ยนในเวลานี้จัดรายการอย่างสบายๆ อวี๋หมิงหลางเองก็นั่งฟังอยู่ ได้ฟังว่าที่ภรรยาจัดรายการ ความเหนื่อยล้าที่มีมาทั้งวันก็หายไปไม่น้อย

 

 

สองวันมานี้เขายุ่งอยู่กับปรับตัวให้เข้ากับที่ทำงานใหม่ เนื่องจากหน่วยนี้เพิ่งก่อตั้ง นอกจากเขาและผู้ช่วยที่เขาพามาด้วยแล้วก็ไม่มีอะไรเลย เขามีเรื่องต้องจัดการเยอะ ทำงานจนถึงดึกดื่นเที่ยงคืนกว่าจะมีเวลาพักผ่อน เลยโทรหาเสี่ยวเชี่ยนไม่ทัน

 

 

แต่การได้ยินเสียงเธอก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดีเหมือนกัน แฟนเขาเหมือนภูตตัวน้อยของเมืองที่คอยรับฟังยามค่ำคืนช่วยแก้ปัญหาความกลัดกลุ้มของผู้คน มีทัศนคติที่เป็นกลางให้คำปรึกษาที่ได้ผล ได้ฟังเสียงเธอก็แทบไม่อยากหลับตานอน

 

 

นอกจากตอนช่วงเริ่มต้นที่อาจมีตะกุกตะกักบ้าง สายต่อๆมาก็พูดคุยกันตามปกติเหมือนอย่างที่เคยเป็น ท่ามกลางเมืองใหญ่แต่ละคนล้วนมีความกลุ้มใจที่ต่างกันออกไป สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนเดิมก็คือ คืนนี้เหม่ยเหวยมีความอดทนมากเป็นพิเศษ เป็นมืออาชีพเหมือนเดิม แต่กลับใจเย็นยิ่งกว่าทุกวัน ว่าที่เจ้าสาวเอาชนะโรคหวาดกลัวการแต่งงานได้แล้ว กำลังดื่มด่ำกับความสุขพร้อมทั้งส่งผ่านความรู้สึกดีๆนี้ออกไป

 

 

ตอนพักโฆษณาเสี่ยวเชี่ยนเดินออกไปยืดเส้นยืดสายนอกห้อง ผู้กำกับแสดงสีหน้าชื่นชม

 

 

“เหม่ยเหวยฉันล่ะนับถือเธอจริงๆ คนพวกนี้วันๆเอาแต่เรื่องกลุ้มใจมาให้ทำไมเธอถึงอดทนได้ขนาดนี้?”

 

 

“ก็แค่ทุกครั้งที่รับสายใช้หัวใจแห่งความเป็นมืออาชีพไปเผชิญหน้ากับมัน แก้ไขให้ตรงจุด อันที่จริงก็ไม่มีอะไรยากหรอก”

 

 

ตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนเข้าใจถึงความหวังดีของอาจารย์แล้ว ศาสตราจารย์หลิวกลัวว่าหลังจากที่เธอได้เป็นจิตแพทย์แล้วอาจเกิดอาการซึมเศร้าได้ ถึงได้โยนเธอให้มาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สุดโต่งเจอแต่ปัญหาของผู้คนแบบนี้ก็เพื่อฝึกฝนจิตใจของเธอ

 

 

“งั้นต่อไปเธอรักษาคนก็ทำเหมือนแบบนี้หรือเปล่า?” ผู้กำกับสงสัยในงานของจิตแพทย์มาก รู้สึกเหมือนเป็นโลกที่ลึกลับ

 

 

“ไม่ใช่หรอกค่ะ อย่างผู้ฟังที่โทรเข้ามาไม่ได้ถือเป็นโรคจิตเวชเลยด้วยซ้ำ พวกเราจะไม่เรียกคนพวกนี้ว่าผู้ป่วย แต่เรียกว่าผู้เข้ารับคำปรึกษา คนเหล่านี้อีกหน่อยจะคิดเป็น80%ของงานฉัน มีส่วนน้อยมากๆที่จะเป็นโรคจิตเวชที่จำเป็นต้องรักษาเฉพาะทาง”

 

 

ถึงบางคนจะชอบพูดติดตลกบ่อยๆว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า เป็นโรคไบโพลาร์ เป็นโรคผัดวันประกันพรุ่ง เป็นโรคหวาดกลัว…อันที่จริงพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นการเพ้อเจ้อของคน ถึงแม้คนเป็นโรคจิตเวชจะมีไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวถึงขนาดจะเป็นกันทุกคน

 

 

“งั้นคนไข้จริงๆที่พวกเธอเจอเป็นยังไงเหรอ? ใช่แบบที่ถือมีดไล่ฟันคนไปทั่วหรือเปล่า?”ผู้กำกับถือโอกาสที่เหม่ยเหวยอารมณ์ดีถามในสิ่งที่สงสัยมานาน

 

 

เสี่ยวเชี่ยนยิ้ม

 

 

หลายคนแยกไม่ออกระหว่างอารมณ์ด้านลบกับโรคจิตเวช และคนจำนวนเยอะยิ่งกว่าที่ไม่รู้ความแตกต่างระหว่างผู้ป่วยจิตเวชกับผู้ป่วยโรคประสาทแบบจือหมิง

 

 

“คนที่ถือมีดไล่ฟันคนพบว่าเป็นโรคจิตเวชก็มี แต่ส่วนใหญ่ต้องพาไปหาหมอแผนกประสาท อีกทั้งไม่ใช่ว่าผู้ป่วยทุกคนจะทำแล้วไม่ผิดกฎหมาย ต้องดูว่าขณะที่เขาก่อเหตุมีสติสมประกอบหรือไม่ อย่างเช่นคนบางคนคิดว่าโรคซึมเศร้าคืออาการทางประสาท คนเป็นโรคซึมเศร้าไปไล่ฟันคนไม่ผิดกฎหมาย แบบนี้คือเข้าใจผิด”

 

 

“โรคซึมเศร้าไม่ใช่โรคที่เอะอะก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วไม่ใช่เหรอ?” วันนี้ผู้กำกับเต็มไปด้วยคำถาม พอมีโอกาสก็ถามไม่หยุด

 

 

“ไว้มีโอกาสจะเล่าให้ฟังนะคะ ฉันต้องเข้าไปจัดรายการต่อแล้ว”

 

 

พอเสี่ยวเชี่ยนเข้าไปแล้ว ผู้กำกับก็หัวเราะฮี่ๆ รู้สึกเหมือนตัวเองกำไร

 

 

ได้ยินว่าการเข้าพบจิตแพทย์เหมือนกับทนายตรงที่คิดค่าปรึกษาตามเวลา เธอได้คุยกับเหม่ยเหวยทุกวันโดยไม่ต้องเสียเงิน กำไรชัดๆ~

 

 

“สวัสดีค่ะ นี่คือรายการพาสเวิร์ดหัวใจ ไม่ทราบว่าต้องการปรึกษาเรื่องอะไรคะ?” ผู้กำกับรับสาย มีเสียงผู้หญิงร้องไห้ดังออกมา

 

 

“ฉันเป็นโรคซึมเศร้า ฉันอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว ฮือๆๆๆ!”

 

 

“โอเคค่ะรอสักครู่นะคะ เดี๋ยวจะโอนสายให้เหม่ยเหวย”

 

 

ผู้กำกับโอนสายเข้าไปพลางคิดในใจว่า พูดถึงเรื่องโรคซึมเศร้าก็มีมาเลยเหรอ?

 

 

นี่คือผู้หญิงวัยกลางคนที่คิดมากเพราะสามีไปยุ่งกับผู้หญิงอื่น เสี่ยวเชี่ยนใช้เวลาสามนาทีก็ทำให้สงบสติอารมณ์ลงได้

 

 

ผู้กำกับถามเสี่ยวเชี่ยนแบบไม่มีเสียง โรคซึมเศร้าจริงเหรอ?

 

 

เสี่ยวเชี่ยนผายมือออก ซึมเศร้ากับผีสิ ก็แค่ใจแคบคิดไม่ตก โลกนี้มักจะมีคนที่คิดว่าตัวเองป่วยเสมอ ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่แท้จริงไม่ใช่แบบนี้

 

 

มีอีกสายโทรเข้ามา เป็นเสียงผู้หญิงที่ดูเด็ก

 

 

“พี่เหม่ยเหวย ยินดีด้วยนะคะที่จะแต่งงานแล้ว”

 

 

“ขอบคุณค่ะ ไม่ทราบว่าวันนี้มีปัญหาอะไรจะมาปรึกษาคะ?”

 

 

“ก็ไม่ได้มีอะไรจะถามหรอกค่ะ…พี่คะ ฉันนอนไม่หลับมาสามวันแล้ว ฉันลืมไปแล้วว่าความฝันเป็นยังไง ฉันทำความสุขหล่นหาย แต่ตอนที่ได้ยินว่าพี่จะแต่งงานฉันดีใจมากเลย นานแล้วที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้ ฉันอยากไปแสดงความยินดีกับพี่ด้วยตัวเองจัง เพราะฉันไม่รู้ว่าตัวเองจะอยู่ถึงวันที่พี่แต่งงานได้หรือเปล่า…”