ตอนที่ 210 เสี่ยงต่อการถูกเล่นงาน (3)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

ตอนที่ 210 เสี่ยงต่อการถูกเล่นงาน (3)

ตอนแรก เว่ยจางฟังอย่างมึนงง หลังๆ มาถึงจะค่อยเข้าใจขึ้นมาบ้าง ก่อนจะจากไปก็อดหันกลับไปเหลือบมองไม่ได้ เขาถอนหายใจ ยังคงพูดอะไรออกมาไม่ได้

พอกลับถึงในอาราม เหยาเยี่ยนอวี่เข้าเรือนไปด้วยสีหน้าเลือดเย็น จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าด้วยตัวเอง

ชุ่ยเวยรีบเดินเข้าไปปรนนิบัติรับใช้แล้วเกลี้ยกล่อมด้วยเสียงต่ำ “คุณหนูอย่าโกรธเลยเจ้าค่ะ”

เหยาเยี่ยนอวี่แสยะยิ้ม “ข้ากลับไม่ได้โกรธ แค่รู้สึกหดหู่ใจ” พูดจบแล้วพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ ทว่ากลับอดกลั้นไม่ไหว เอ่ยต่อ “คนเหล่านี้มีแผนการในใจมากเกินไปแล้ว! กลับไม่คำนึงถึงอะไรสักอย่าง!”

ชุ่ยผิงก็แสยะยิ้มตาม “เวลานี้นางจะต้องไม่สวดมนต์อยู่ในอารามนี้อย่างนิ่งสงบแน่นอน นางคาดการณ์ไว้อย่างแม่นยำว่าคืนนี้คุณหนูต้องพักอยู่ที่นี่ ไม่มีทางไม่ช่วยเหลือผู้ใกล้ตาย จึงกล้ากระทำเช่นนี้”

“ข้าไม่มีทางไม่ช่วยเหลือคนที่ใกล้จะสิ้นใจจริงๆ! ทว่าข้าก็ไม่ใช่เทพเจ้า!” การถูกคนเล่นงานและหลอกใช้ความรู้สึกเช่นนี้ย่ำแย่เหลือเกิน! คุณหนูเหยาเครียดจนยกมือถอดตุ้มหูออกโยนลงบนโต๊ะเล็กตรงหน้าตั่งไม้จนเกิดเสียงกระแทก ยกเท้าขึ้นตั่งไม้แล้วค่อยนอนลงไป

ชุ่ยเวยจึงรีบเอาเสื้อกันลมของเหยาเยี่ยนอวี่ไปคลุมบนเรือนร่างนางแล้วเอาผ้าห่มผืนบางคลุมทับไปด้วย

เหยาเยี่ยนอวี่หลับใหลไปอย่างขุ่นเคืองใจ ส่วนทางฝั่งอารามเรือนหลัก เหยาเหยียนอี้กำลังขมวดคิ้วนั่งอยู่ใต้แสงไฟ เขากำลังมองหญ้าห้ามเลือดและดักแด้ดินเหล่านั้นที่ได้กลับมาในวันนี้ ขณะเดียวกันก็กำลังรอให้ซานว่างมารายงานข่าวคราว

แท้จริงแล้วเขาคาดเดาออกได้คร่าวๆ ถึงเหตุผลที่เถียนซื่อล้มป่วยกะทันหันแต่เขาอยู่ที่นี่ เมียบ่าวของบิดาเกิดเรื่องอะไรขึ้น ผู้ที่เป็นบุตรชายแล้วยังเป็นนายคงพูดวาจาไร้น้ำหนักหรือรุนแรงมากเกินไม่ไป ดังนั้นทำได้เพียงระบายอารมณ์กับสะใภ้ซานว่าง จากนั้นก็รอให้นางไปสืบหาเรื่องมาอย่างกระจ่างแจ้ง

ถึงแม้เว่ยจางจะไม่เคยเจอกับเรื่องเหล่านี้ด้วยตัวเองมาก่อน ทว่าในกองกำลังทหารก็ถือว่าเป็นสถานที่เสาะหาลาภยศ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเสาะหาลาภยศโดยส่วนมากก็เป็นเช่นนี้ แล้วมีอะไรที่มองไม่ออกอีก แค่เรื่องนี้เป็นเรื่องในครอบครัวคนอื่น เขาที่เป็นเพียงแม่ทัพผู้หนึ่งก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยว จึงกล่าวราตรีสวัสดิ์เหยาเหยียนอี้แล้วกลับไปนอนพักทันที

จนถึงยามสี่[1] ซานว่างถึงจะมาด้อมๆ มองๆ ในมือถือของอย่างหนึ่งไว้

เหยาเหยียนอี้สังเกตมองจึงเอ่ยถามด้วยเสียงเย็นชา “ยาปาโต้ว?”

“เจ้าค่ะ” ซานว่างพูดอย่างขุ่นเคืองใจ “คุณชายรอง ท่านคิดว่าอันนี้บ่าวหาเจอจากไหนเจ้าคะ”

เหยาเหยียนอี้แสยะยิ้ม “เจ้ากลับมีเกียรติยิ่งนัก ให้ข้ามาเดาอะไรพวกนี้?”

“คุณชายรองได้โปรดอภัยเจ้าค่ะ” ซานว่างรีบยิ้มอย่างประจบเพื่อขอโทษที่ตนทำตัวไม่เหมาะสม “บ่าวหาเจอจากห่อผ้าของสะใภ้อี๋เจ้าค่ะ! ทว่านางกลับไม่ยอมรับ บอกว่ามีคนใส่ความนาง! แล้วยังร้องไห้โวยวายอยู่ตรงนั้นเจ้าค่ะ!”

เหยาเหยียนอี้แสยะยิ้ม “เจ้าอยากพูดอะไร”

ซานว่างกัดฟันตอบกลับ “นางบอกว่าที่นี่มีคนต้องการทำร้ายนางแล้วเอาชีวิตนาง นางไม่กล้าอยู่ต่ออีก บอกว่าจะกลับจวนเจ้าค่ะ”

เหยาเหยียนอี้ยิ้มบางๆ พลางถามกลับ “เจ้าคือคนของฮูหยิน เจ้าว่าหากฮูหยินรู้เรื่องนี้แล้วจะคิดอย่างไร”

ทันใดนั้นซานว่างก็ไม่แน่ใจว่าจะพูดอย่างไรออกมา ดังนั้นจึงยิ้มพูดขึ้น “ฮูหยินมีจิตใจโอบอ้อมอารีดั่งพระโพธิ์สัตว์กวนอิม แน่นอนว่าต้องไม่เรียกร้องอะไรกับนางอยู่แล้วเจ้าค่ะ”

“พูดก็ถูก” เหยาเหยียนอี้พยักหน้าแล้วพึมพำ สักพักถึงจะเอ่ยขึ้น “แค่พระโพธิ์สัตว์กวนอิมก็ทรงมีนิสัยดื้อรั้ง อารามเป็นสถานที่ที่เงียบสงบและศักดิ์สิทธิ์ นางเกิดความคิดอธรรมเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นการไม่เคารพพระโพธิ์สัตว์กวนอิม เจ้าไปบอกพระอาจารย์ในอารามให้นางสวดมนต์ต่อหน้าพระพักตร์พระโพธิ์สัตว์เป็นเวลาสองชั่วยามทุกวัน อ้อ ใช่แล้ว…ฮูหยินยังบอกว่าให้นางพักสงบจิตใจอยู่ที่นี่หนึ่งเดือนใช่หรือไม่ เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ต่อที่นี่อีกหนึ่งเดือน ผู้ที่มีความคิดอธรรมก็ควรสารภาพความผิดบาปต่อหน้าพระพักตร์พระโพธิ์สัตว์กวนอิม”

ซานว่างได้ยินดังกล่าวจึงยิ้มไม่ออกทันที เดิมทีให้นางอยู่ดูเถียนซื่อที่นี่เป็นเวลาหนึ่งเดือนก็ทำให้นางฝืนทนมากพอแล้ว ตอนนี้ยังเพิ่มอีกหนึ่งเดือน? ครั้งนี้คงจะต้องร้องไห้จวนตายจริงๆ!

เหยาเหยียนอี้มองใบหน้าขมขื่นของซานว่างแล้วยิ้มน้อยๆ “เจ้าทำงานแทนฮูหยินอย่างตั้งอกตั้งใจ ฮูหยินต้องปฏิบัติกับเจ้าอย่างเป็นธรรมแน่นอน อีกอย่างครั้งนี้ข้ากลับมามีเรื่องบางอย่างที่สำคัญมากต้องสะสาง บุตรชายของเจ้าปีนี้อายุสิบหกแล้วใช่หรือไม่ ก็ถึงอายุแก่การทำงานแล้ว หลายวันมานี้บอกให้เขามาตามข้าก่อน รอให้อนาคตข้ากลับเมืองหลวงไปตามคำรับสั่งต้องพาเขาไปด้วยแน่นอน”

“แหม! เช่นนั้นบ่าวคงต้องขอบพระคุณคุณชายเป็นอย่างสูงเจ้าค่ะ!” ซานว่างรีบยิ้มอย่างเบิกบานแล้วหมอบลงบนพื้นพลางน้อมก้มกราบเหยาเหยียนอี้ทันที “บ่าวขอบพระคุณคุณชายรองที่เมตตากรุณา ขอบคุณคุณชายรองจากใจจริงเจ้าค่ะ!”

เหยาเหยียนอี้ไม่อยากมากความจึงผายมือแล้วสั่งการ “พอแล้ วข้าเหนื่อยแล้ว เจ้ากลับไปตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเถอะ”

“เจ้าค่ะ บ่าวขออำลาเจ้าค่ะ” ซานว่างน้อมก้มกราบด้วยความเคารพแล้วออกจากเรือนที่พักของเหยาเหยียนอี้กลับอารามชีด้วยสีหน้าเบิกบาน

เช้าวันที่สองอากาศโปร่งใส แสงแดดยามเช้าส่องผ่านต้นไม้เก่าแก่ในสวนอารามเข้าไปในลานกว้าง ลมยามเช้าเคล้าด้วยกลิ่นอายของผืนป่าและดอกไม้ทำให้รู้สึกสดชื่นยิ่งนัก

เหยาเยี่ยนอวี่นอนหลับสบายทั้งคืน ตอนเช้าเมื่อตื่นนอนก็เดินออกจากประตูไปยังกลางสวน สูดอากาศบริสุทธิ์พร้อมกับบิดขี้เกียจ บังเอิญเจอเว่ยจางที่เข้ามาจากข้างนอกพอดีจึงรู้สึกร้อนใจขึ้นมา นางจึงหยุดบิดขี้เกียจลงทันที

เว่ยจางมองผมยาวสลวยที่ปล่อยสยาย ชุดกระโปรงสีขาวนวลถูกลมยามเช้าพัดจนโบกสะบัด ดวงหน้าขาวผุดผ่องยังมีรอยแดง อาจเพราะว่าตอนนอนหลับไม่ระวังไปกดทับโดน สภาพแบบนี้เหตุใดถึงดูน่าเกลียดน่าชังเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงอารมณ์ดียิ่งนัก ขยับยิ้มบาง “อรุณสวัสดิ์”

เหยาเยี่ยนอวี่ได้สติกลับมาแล้วมองรอยยิ้มชื่นบานของเขา ทันใดนั้นก็จนหน้าเริ่มแดง

“หนาวหรือเปล่า” เว่ยจางมาตรงหน้าเหยาเยี่ยนอวี่แล้วมองเสื้อผ้าไหมตัวบางบนเรือนร่างของนางพลางถามขึ้น

“ยุ่งอะไรด้วย” คุณหนูเหยาพูดอย่างโหดเหี้ยมแล้วกลอกตามองบนใส่ท่านแม่ทัพพร้อมหมุนตัวกลับเข้าเรือน

นางเหมือนกระต่ายน้อยพองขน เว่ยจางมองเรือนร่างของนางแล้วส่ายหัวด้วยรอยยิ้มบาง

หลังจากทานมื้อเช้าที่เรียบง่ายเสร็จ เหยาเหยียนอี้ก็สั่งให้บ่าวสองสามคนที่ไว้ใจได้อยู่ขุดหนอนและเด็ดสมุนไพรกลางหุบเขาต่อ ตนเองพาเหยาเยี่ยนอวี่เดินทางกลับเมือง

ถึงแม้เป็นการเดินทางลงเขา ใช้เวลาน้อยกว่าขามา ทว่าตอนที่ถึงจวนข้าหลวงใหญ่ก็ถึงเวลายามซื่อสามเค่อร์แล้ว

วันนี้บรรยากาศในจวนข้าหลวงใหญ่ครึกครื้นกว่าวันที่พวกเขากลับมา บรรดาสหายนั่งกันเต็ม พูดคุยและหัวเราะกันเสียงดัง ครั้งนี้สองพี่น้องตระกูลเหยาไม่ได้เข้าประตูใหญ่ ทว่ากลับเข้าไปจากประตูทิศตะวันตก ต่างคนต่างแอบกลับเรือนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า

เหยาเยี่ยนอวี่กลับเรือนของตนเอง เฝิงหมัวมัวพาสาวใช้เดินมาจากด้านหน้าอย่างเร่งรีบ หนึ่งคนก็คอยหวีผม คนหนึ่งคอยเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วอีกคนคอยแต่งเติมใบหน้าให้เหยาเยี่ยนอวี่ ผ่านไปไม่นานก็แต่งกายให้คุณหนูเหยากลายเป็นบุษบาเบ่งบานที่มีไว้ให้ผู้คนชื่นชมเสร็จ จากนั้นก็ถูกชุ่ยเวยและชุ่ยผิงจับเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ แล้วก็พยุงนางไปพบปะกับแขกเหรื่อในเรือนที่พักของซ่งฮูหยินผู้เฒ่า

ตอนนี้ในเรือนของซ่งฮูหยินผู้เฒ่า จิ้งหนานกั๋ว ซ่งฮูหยิน พาบุตรีซ่งหย่าอวิ้นมาด้วย ฮูหยินจวนจือจ้าวแห่งเจียงหนิงนามว่าหลี่ซื่อพาสะใภ้ซูอวี้เหอมาเยือน อีกทั้งมารดาและน้องสาวของเจียงซื่อ มารดาพี่สะใภ้และน้องสาวของหนิงซื่อ ฯลฯ ล้วนเป็นสตรีที่เป็นเครือญาติที่กลายเป็นทองแผ่นเดียวกันต่างก็นั่งล้อมรอบอยู่ด้วยกันแล้วกำลังฟังซ่งฮูหยินผู้เฒ่าและหวางฮูหยินพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

เหยาเยี่ยนอวี่เข้ามา ซ่งหย่าอวิ้นจึงเห็นนางทันที ด้วยเหตุนี้จึงยิ้มขึ้น “นี่ไม่ใช่พี่รองหรือ หนึ่งปีที่ไม่ได้เจอกันข้ากลับมองเจ้าไม่ออก”

ทุกคนต่างก็หันไปมอง เหยาเยี่ยนอวี่เดินเข้าไปอย่างสง่างาม แน่นอนว่าต้องถูกผู้อื่นชื่นชมอยู่แล้ว

ซ่งฮูหยินผู้เฒ่ายื่นมือไปทางฝั่งเหยาเยี่ยนอวี่เ หยาเยี่ยนอวี่รีบเดินเข้าไปน้อมทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่า ซ่งฮูหยินผู้เฒ่าจึงดึงมือนางไปนั่งข้างกายแล้วยิ้มพูดขึ้น “เมื่อวานนางไปแก้บนให้ข้าที่วัด เหตุเพราะฝนตกจึงกลับจวนไม่ได้ เลยพักค้างแรมที่นั่นหนึ่งคืน”

[1]ยามสี่ คือ เวลา 01:01 – 03:00 น.