เล่มที่ 8 บทที่ 225 ดอกไม้ก็เหมือนกับมนุษย์

ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต

ดอกไม้นี่ก็เหมือนกับมนุษย์ไม่ใช่หรือ มีแต่ต้องดูแลเอาใจใส่ ถึงจะแตกกิ่งก้านใบหนาทึบ กลิ่นบุปผาฟุ้งกระจายไปทั่วทุกที่

เซี่ยยวี่หลัวยิ้มพร้อมกล่าว “ดอกไม้ก็เหมือนมนุษย์ มีความชอบเช่นกัน วางมันไว้ในที่ที่มันไม่ชอบ มันย่อมต้องไม่พอใจ เติบโตได้ไม่ดี แต่หากเปลี่ยนเป็นสถานที่ที่มันชอบ ย่อมเจริญเติบโตจนแตกกิ่งก้านและใบหนาทึบ”

“ใช่ใช่ใช่ เจ้าพูดถูกแล้ว! ดอกไม้นี่ ก็เหมือนมนุษย์” ฮวาเหนียงกล่าวด้วยความตื่นเต้น “ครั้งก่อนข้าส่งวิธีการปลูกดอกไม้ที่เจ้าเขียนให้ข้าไปให้สหายของข้า ไม่กี่วันก่อนนางส่งจดหมายมา บอกว่าดอกหลิงเซียวของนางก็มีดอกตูมขึ้นเต็มแล้ว ทั้งยังบอกว่าครั้งหน้าหากมีโอกาส ต้องขอบคุณเจ้าต่อหน้าให้ได้! ”

“แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น จะรับคำขอบคุณได้อย่างไร” เซี่ยยวี่หลัวกล่าว “ข้าก็เพียงแค่เคยอ่านวิธีการปลูกดอกไม้ชนิดนี้จากตำราก็เท่านั้น หากไม่ได้อ่านตำรา ข้าก็คงไม่รู้”

“ดังนั้นเจ้าจึงชอบบัณฑิต ถูกต้องหรือไม่? ” ฮวาเหนียงขยิบตา แสดงสีหน้าลุ่มลึกยากหยั่งถึง ใบหน้าขาวเนียนของเซี่ยยวี่หลัวขึ้นสีแดงทันที

ทั้งที่กำลังสนทนากันเรื่องดอกไม้ เหตุใดถึงกลายมาเป็นเรื่องของนางกับเซียวยวี่ไปได้

เพื่อไม่ให้ฮวาเหนียงซักไซ้ไต่ถามหัวข้อสนทนานี้ต่อ เซี่ยยวี่หลัวจึงหาข้ออ้าง เพื่อหนีไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อฮวาเหนียงเห็นนางหนีไปราวกับด้านหลังมีอสรพิษสัตว์ดุร้ายอยู่ ก็หัวเราะอย่างเบิกบานใจ “แม่นางน้อยนี่ ช่างหน้าบางเสียจริง พูดแค่สองประโยคก็เขินเสียแล้ว… สมกับเป็นสามีภรรยาอายุน้อย! ”

ไม่รู้ว่าความคิดของฮวาเหนียงหลุดลอยไปถึงไหน มองดูดอกหลิงเซียวที่เลื้อยไปทั่วกำแพง จมดิ่งสู่ความคิดถึงคืนวันในอดีต

เซี่ยยวี่หลัวออกจากฮวาหม่านยีราวกับกำลังหนี เดิมทีคิดจะไปห้องหนังสือซานเว่ย แต่นางยังแต่งกายด้วยชุดสตรี ได้แต่ปล่อยไป ถึงอย่างไรก็มอบเล่มสองให้ห้องหนังสือซานเว่ยแล้ว อีกสองถึงสามวันค่อยส่งเล่มสามมาก็เหมือนกัน รอมาครั้งหน้าค่อยไปห้องหนังสือซานเว่ยแล้วกัน

เซี่ยยวี่หลัวไปแผงขายเนื้อหมูซื้อเนื้อหมูเจ็ดจิน เดิมทีเนื้อหมูเจ็ดจินคิดเป็นเงินเก้าสิบสี่อีแปะ รวมถึงกระดูกที่เลาะเนื้อออกจนไม่เหลือเนื้อแม้แต่น้อย ก็คิดเป็นเงินสองถึงสามอีแปะ แต่ท่านลุงที่ขายเนื้อหมูรู้จักเซี่ยยวี่หลัว รู้ว่านางมาซื้อเนื้อหมูที่แผงตนเองเป็นประจำ จึงโบกมือพลางบอกว่าคิดแค่เก้าสิบอีแปะ

ซื้อเนื้อหมูเสร็จ ย่อมต้องไปซื้อแป้ง รอให้นางกลับถึงบ้าน ตอนเที่ยงก็สามารถทำเกี๊ยวกินได้แล้ว

เซี่ยยวี่หลัวสะพายตะกร้าสาน เร่งฝีเท้าเดินไปยังร้านน้ำมันอาหารแห้งฟ่างซิน

ตอนนี้ท่านปู่เซียวอาศัยอยู่ในตัวเมืองเป็นประจำ ตามที่เซียวเหลียงกล่าวไว้ ก็คือต้องการรับเขามาอยู่ในตัวเมืองเพื่อให้ได้อยู่อย่างสุขสบาย แต่เขามีหรือจะยอมพักผ่อน ตื่นมาตอนเช้าก็ไปนั่งหน้าประตูร้านน้ำมันอาหารแห้งฟ่างซิน ถึงแม้จะบอกว่าอาบแดด แต่มีคนคอยดูอยู่นอกร้าน ผู้คนที่เดินผ่านไปมาก็ไม่กล้าเล่นลูกไม้แล้ว

ต้องรู้ว่า ร้านน้ำมันอาหารแห้งฟ่างซินตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ หากต้องการวางสินค้าบางอย่างเพื่อให้ลูกค้าดู ก็ต้องวางไว้ริมถนนใหญ่ ฝูงชนเดินไปมาขวักไขว่ หากแสร้งทำเป็นดูสินค้าอย่างไม่สนใจนัก ดูเสร็จก็ไปทันที มือที่อยู่ภายในแขนเสื้อ ไม่แน่ว่าอาจหยิบจับแป้งไปหนึ่งกำมือก็เป็นได้

หากหยิบไปสักหนึ่งหรือสองกำก็ยังไม่เท่าไร แต่ใครจะทนถูกหยิบของไปอย่างละกำสองกำอย่างต่อเนื่องได้ ผ่านไปห้าถึงหกวัน ก็จะพบอย่างชัดเจนว่าแป้งเหลือน้อยกว่าน้ำหนักจริงสามถึงสี่จิน

ทำการค้านั้นว่ายากแล้ว ป้องกันโจรยากยิ่งกว่า

หากจงใจจับผิด ลูกค้าก็จะบอกว่าถูกปรักปรำ บอกว่าแค่ดูสินค้า ครั้งหน้าจะไม่กลับมาอีก แต่หากไม่ทำอะไรเลย ทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่? เช่นนั้นเท่ากับส่งเสริมการกระทำผิดไม่ใช่หรือ?

ในจังหวะที่เซียวเหลียงคิดหาวิธีแก้ไข ท่านปู่เซียวก็มาพอดี พอได้ฟังเรื่องนี้ เขาไม่กล่าวอะไร และไม่ทำอะไร เพียงคาบกล้องยาสูบไว้ในปาก นั่งลงตรงหน้าประตูใหญ่ หลังจากผ่านไปห้าถึงหกวัน ก็ไม่มีใครกล้าเล่นลูกไม้เอารัดเอาเปรียบอีกแม้แต่น้อย

ดังนั้น ท่านปู่เซียวจึงอาศัยอยู่ในตัวเมือง กลับบ้านน้อยครั้ง

“ท่านปู่เซียว…” เซี่ยยวี่หลัวเห็นท่านปู่เซียวหลับตาพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้นอนตรงหน้าประตูแต่ไกล จึงรีบเอ่ยเรียก

ท่านปู่เซียวลืมตา เห็นแม่หนูที่เดินมาจากตำแหน่งที่ไม่ห่างนัก ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยย่นก็แย้มรอยยิ้มอย่างเบิกบาน “แม่หนูมาแล้วหรือ…”

ก่อนเซี่ยยวี่หลัวจะมาได้ไปซื้อใบยาสูบมาจำนวนหนึ่ง มอบให้ท่านปู่เซียว “ท่านปู่เซียว นี่คือใบยาสูบที่ข้าเพิ่งซื้อเจ้าค่ะ”

ท่านปู่เซียวกล่าวเป็นเชิงตำหนิ “เจ้าจะมาก็มา ซื้อใบยาสูบให้ข้าทำไม? ไม่ต้องเสียเงินหรืออย่างไร เอากลับไป เอากลับไป! ”

เซี่ยยวี่หลัวกล่าวด้วยท่าทางลำบากใจ “เอากลับไปก็ไม่มีคนสูบนี่เจ้าคะ หากเอาไปเผาต่างฟืน ก็สิ้นเปลืองยิ่งกว่าไม่ใช่หรือ? ”

ท่านปู่เซียวได้ฟังดังนั้น ก็รีบแย่งใบยาสูบมา โอบไว้ในอ้อมอกราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างไรอย่างนั้น “เผาต่างฟืน? เจ้าไม่กลัวว่าไฟจะอ่อนไปหรืออย่างไร? ”

เมื่อเห็นท่านปู่เซียวเหมือนเฒ่าทารกก็มิปาน นางก็หัวเราะพรืดออกมา

“วันนี้เจ้ามาในตัวเมืองได้อย่างไร? ” ท่านปู่เซียวเก็บใบยาสูบเสร็จ จึงเอ่ยถาม

เซี่ยยวี่หลัวหันตัวพร้อมกล่าว “ข้าเข้าตัวเมืองมาซื้อเนื้อหมูเจ้าค่ะ กลับไปจะห่อเกี๊ยวให้เด็กสองคนกิน ข้าซื้อเนื้อหมูเสร็จแล้ว จึงมาซื้อแป้งเจ้าค่ะ”

ทำเกี๊ยวกินอย่างนั้นหรือ?

ท่านปู่เซียวได้ฟังดังนั้น ก็แทบน้ำลายสอเลยทีเดียว แม่หนูนี่ทำอาหารเก่ง เกี๊ยวที่ห่อออกมาต้องอร่อยแน่

“ได้ เจ้าต้องการเท่าไร ข้าจะให้คนชั่งให้เจ้า”

เซี่ยยวี่หลัวประเมินครู่หนึ่ง กินเกี๊ยวสักสองมื้อ ปกติช่วงเช้าก็สามารถทำแผ่นแป้งใส่ไข่ได้ เซี่ยยวี่หลัวบอกกล่าวตัวเลข “ท่านปู่เซียว ให้ข้ายี่สิบจินก่อนเจ้าค่ะ! ”

“เซียวยวี่มาด้วยหรือไม่? ” ท่านปู่เซียวกล่าวด้วยความกังวล “เจ้าซื้อเนื้อหมูเยอะขนาดนี้ หากซื้อแป้งอีกยี่สิบจิน เจ้าจะแบกกลับไปไหวหรือ? ”

ย่อมแบกกลับไปไม่ไหว เซี่ยยวี่หลัวได้แต่กลับฮวาหม่านยี ไปหาฮวาเหนียง เพื่อเช่ารถม้า “อ่อ ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าจะไปเช่ารถม้าที่ผ่านทางนั้นเพื่อกลับไป”

ท่านปู่เซียว “เช่นนั้นเจ้าจะเช่ารถม้าไปไย ให้เซียวเหลียงส่งเจ้ากลับไปก็ได้”

เซี่ยยวี่หลัว “ไม่ต้องเจ้าค่ะ ท่านอาเซียวเหลียงงานยุ่งถึงเพียงนั้น ข้าไม่รบกวนเขาจะดีกว่าเจ้าค่ะ”

“เขาจะยุ่งอะไรได้ ตอนนี้ลงนามในสัญญากับเซียนจวีโหลวแล้ว แต่ละวันก็เอาแต่ยิ้มจนตาหยี เหมือนเก็บเงินได้อย่างไรอย่างนั้น” พอเอ่ยถึงบุตรชายของตนเอง ท่านปู่เซียวปากก็พูดประหนึ่งดูแคลน แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

ท่านปู่เซียวเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ชั่วชีวิตนี้ทำเป็นแต่เรื่องอย่างการหาเลี้ยงชีพกับท้องไร่ท้องนา แต่บุตรชายของเขามีความสามารถ ล่าสัตว์เป็น ทั้งยังทำการค้าเป็น มาบัดนี้ยังได้ลงนามในสัญญาจัดหาวัตถุดิบกับเซียนจวีโหลว ต่อไปกิจการของร้านน้ำมันอาหารแห้งฟ่างซินมีแต่จะดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ

เซี่ยยวี่หลัว “ท่านอาเซียวเหลียงร่วมงานกับเซียนจวีโหลวหรือเจ้าคะ? ”

“ใช่แล้ว เพิ่งลงนามในสัญญาไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ท่านอาเซียวเหลียงของเจ้า ดีใจเสียยิ่งกว่าอะไร บอกว่าจู่ๆ สวรรค์ก็ปาขนมเปี๊ยะใส่ไส้ชิ้นใหญ่ลงมาโดนเขาพอดี*”

“ร้านน้ำมันอาหารแห้งฟ่างซินดีมากไม่ใช่หรือเจ้าคะ? ท่านอาเซียวเหลียงเองก็มีคุณสมบัติร่วมงานกับเซียนจวีโหลวได้อยู่แล้ว” เซี่ยยวี่หลัวเอ่ยถามด้วยความสงสัย

จะถือว่าเป็นเรื่องดีที่สวรรค์ประทานให้ได้อย่างไร!

——————————–

เชิงอรรถ

*ขนมเปี๊ยะใส่ไส้หล่นจากฟ้า/สวรรค์ เป็นสำนวนเชิงเปรียบเปรยของจีน หมายถึงมีเรื่องดีที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ใกล้เคียงกับสำนวนส้มหล่นของไทย