พูดถึงเรื่องนี้ ท่านปู่เซียวก็มีเพลิงโทสะทันที “ต้องโทษท่านอาเซียวเหลียงของเจ้า ไม่รู้จักเดินทางตรงดีๆ กลับคิดจะใช้ทางลัด ใช้ตำราโบราณไปเข้าหาเถ้าแก่ซ่ง คิดว่าอาศัยสิ่งที่อีกฝ่ายชอบจะได้ลงนามในสัญญา ใครจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย ไม่ใช่แค่ถูกตีกลับ ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นคนใจคด จากนั้นเซียนจวีโหลวก็ไม่ร่วมงานกับท่านอาเซียวเหลียงของเจ้าอีก เถ้าแก่ร้านเซียนจวีโหลวก็เป็นคนหัวแข็ง เป็นคนเถรตรง พูดคำไหนคำนั้นไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อเจ้าฝ่าฝืนกฎ ก็ให้เจ้าไม่มีโอกาสอีกตลอดไป! ”
ซ่งฉางชิงเป็นคนมีหลักการจริง ทว่า ก่อนหน้านี้ยึดมั่นในหลักการถึงเพียงนั้น เหตุใดในกรณีของท่านอาเซียวเหลียงถึงไม่ยึดมั่นเล่า?
“ต้องเป็นเพราะท่านอาเซียวเหลียงทำการค้าขายดี เป็นคนมีสัจจะและจิตใจดี ทำให้เถ้าแก่ซ่งยอมใจอ่อนเป็นแน่เจ้าค่ะ! ” เซี่ยยวี่หลัวพูดจาน่าฟัง
ท่านปู่เซียวเบ้ปากทีหนึ่ง ก่อนส่ายหน้า “ที่ไหนกัน ไม่ใช่เช่นนั้นเลย แต่เพราะมีขนมเปี๊ยะใส่ไส้ชิ้นใหญ่หล่นมาจากฟ้า ไม่รู้ว่าท่านอาเซียวเหลียงของเจ้าโชคดีมาจากไหน ขนมเปี๊ยะใส่ไส้นั่นหล่นลงมา ก็ร่วงใส่ตัวท่านอาเซียวเหลียงของเจ้าพอดี”
เมื่อเห็นเซี่ยยวี่หลัวยังไม่เข้าใจ ท่านปู่เซียวจึงกล่าวตามตรง “เถ้าแก่ซ่งให้ท่านอาเซียวเหลียงของเจ้าไปคุยเรื่องการร่วมงาน มอบโอกาสเป็นผู้จัดหาวัตถุดิบให้ท่านอาเซียวเหลียงของเจ้าทั้งอย่างนั้นเลย เจ้าว่าเป็นเรื่องดีที่สวรรค์ประทานหรือไม่? ”
เซี่ยยวี่หลัวได้ฟังดังนั้นจึงยิ้มพร้อมกล่าว “อาจใช่ก็เป็นได้! แต่หากไม่ใช่เพราะท่านอาเซียวเหลียงทำการค้าอย่างซื่อสัตย์ไม่หลอกลวง สินค้าคุณภาพดีแต่ราคาถูก อีกฝ่ายก็คงไม่มา! ”
วาจานี้ท่านปู่เซียวฟังแล้วรู้สึกชอบใจ กล่าวด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “เจ้าเด็กโง่นั่นก็เหมือนกับข้า ทำอะไรก็จริงใจ เป็นคนซื่อสัตย์”
ซื้อแป้งยี่สิบจินเสร็จ ท่านปู่เซียวยืนกรานจะรั้งเซี่ยยวี่หลัวไว้ บอกว่าอีกเดี๋ยวให้เซียวเหลียงส่งนางกลับไป เซี่ยยวี่หลัวไม่มีหนทางอื่น ได้แต่นั่งลงตรงหน้าประตู พูดคุยสนทนากับท่านปู่เซียวพลางรอเซียวเหลียงกลับมา
หมู่บ้านสกุลเซียวในยามนี้ ดวงอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนขึ้น ท่ามกลางหมอกพร่ามัว เช้าวันใหม่ได้เริ่มต้นแล้ว
เซียวยวี่ตื่นเช้ามาก หลังจากล้างหน้าบ้วนปากที่ห้องแล้วจึงอ่านตำราอย่างตั้งใจ จนเสียงพูดคุยของเด็กสองคนดังขึ้นจากด้านนอก
“พี่ใหญ่ ท่านรีบออกมากินอาหารเช้าได้แล้ว”
เซียวยวี่วางตำราในมือลง ผลักเปิดประตูห้อง เด็กสองคนยืนอยู่หน้าประตู ผมของเซียวจื่อเมิ่งยุ่งเหยิงเล็กน้อย เพียงถักเปียสองข้างปล่อยลู่ลงด้านหลังศีรษะ แค่ดูก็รู้ว่าเซียวจื่อเซวียนเป็นคนทำ
“ทำไมวันนี้ถึงไม่ได้ผูกผม? ” เซียวยวี่เอ่ยถามเสียงเบา
เซียวจื่อเซวียน “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ไม่อยู่บ้านขอรับ”
“ไม่อยู่บ้าน? ” เซียวยวี่ขมวดคิ้ว “นางไปที่ไหน? ”
“พี่สะใภ้ใหญ่ไปในตัวเมืองเจ้าค่ะ เมื่อคืนนางบอกพวกเราแล้ว นางไม่ได้บอกท่านหรือเจ้าคะ? ” เซียวจื่อเมิ่งกล่าวเสียงใส “พี่สะใภ้ใหญ่จะไปซื้อเนื้อหมูและแป้งในตัวเมือง กลับมาจะห่อเกี๊ยวให้พวกเรากินเจ้าค่ะ”
เซียวจื่อเซวียนกลืนน้ำลายอย่างอดไม่ได้ พร้อมแสดงสีหน้าตะกละ “พี่ใหญ่ เกี๊ยวที่พี่สะใภ้ใหญ่ทำอร่อยมากขอรับ ท่านกินคนเดียวก็สามารถกินได้หนึ่งจานใหญ่แน่นอน”
เกี๊ยว?
ภายในปากเซียวยวี่มีของเหลวไหลออกมา แค่ได้ยินชื่อ ก็ทำให้น้ำลายสอแล้ว เซียวยวี่ไม่ได้บอกเด็กๆ ว่าเขาก็น้ำลายสอแล้วเหมือนกัน จูงมือเด็กสองคนไปยังห้องครัว เดินพลางกล่าว “พี่ใหญ่ทำอาหารเช้าให้พวกเจ้าแล้วกัน เช้านี้อยากกินอะไร? ”
เซียวจื่อเซวียน “พี่สะใภ้ใหญ่ทำอาหารเช้าเสร็จแล้วขอรับ พี่ใหญ่ ตอนเช้ากินโจ๊ก กินไข่ไก่ พี่สะใภ้ใหญ่ยังผัดผักสดใหม่ไว้ด้วยขอรับ! ”
เซียวยวี่ได้ฟังดังนั้น ก็พูดโพล่งออกมาอย่างอดไม่ได้ “เช่นนั้นตอนเช้านางตื่นเช้าเพียงใดกัน? ”
เซียวจื่อเซวียนคิดครู่หนึ่ง “ตอนพี่สะใภ้ใหญ่บอกข้าว่าทำอาหารเช้าเสร็จแล้ว นางกำลังจะไปในตัวเมือง ท้องฟ้าด้านนอกยังไม่สว่างเลยขอรับ! ”
มือของเซียวยวี่กำแน่นเล็กน้อย
นางเป็นสตรี ออกบ้านตั้งแต่ช่วงฟ้ายังไม่สว่าง หากระหว่างทางพบเจอกับคนเลวจะทำอย่างไร?
ระหว่างที่เซียวจื่อเมิ่งกินอาหารเช้า จู่ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างออก นำของสิ่งหนึ่งออกมาจากอกเสื้อยื่นให้เซียวยวี่ พร้อมกล่าวเสียงใส “พี่ใหญ่ นี่เป็นของที่พี่สะใภ้ใหญ่ให้ข้ามอบให้ท่านเจ้าค่ะ! ”
เซียวยวี่เพ่งมองดู เป็นลูกกุญแจดอกหนึ่ง
“นี่เป็นกุญแจจากไหนกัน? ” เซียวยวี่ผงะไป
เซียวจื่อเซวียนมองแวบหนึ่ง ก่อนกล่าว “นี่คือกุญแจตู้เสื้อผ้าในห้องพี่สะใภ้ใหญ่ จื่อเมิ่ง พี่สะใภ้ใหญ่มอบกุญแจดอกนี้ให้เจ้าทำไม? ”
“ในตู้นั่น…” เซียวยวี่เอ่ยถามด้วยท่าทีสงสัย
“เงินของบ้านเราล้วนอยู่ในตู้นั้น พี่สะใภ้ใหญ่มอบของมีค่าทั้งหมดให้พี่ใหญ่ขอรับ” เซียวจื่อเซวียนกล่าว
ครั้งก่อนพี่สะใภ้ใหญ่ก็จะมอบกุญแจให้เขา เขาปฏิเสธไปทันที ในนั้นมีเงินไม่น้อย ทรัพย์สินทั้งหมดในบ้านล้วนอยู่ในนั้น
เซียวยวี่กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “นางมอบกุญแจให้ข้าทำไม? ”
เซียวจื่อเมิ่งไม่รู้เช่นกัน พี่สะใภ้ใหญ่เพียงบอกเช่นนี้ “พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่า เกรงว่าวันนี้นางอาจไม่อยู่ จึงให้ข้ามอบกุญแจให้ท่านเจ้าค่ะ! ทั้งยังบอกว่าในตู้ของนางมีของ ให้ท่านเปิดดูก็จะเข้าใจเอง”
“นางมอบให้เจ้าเมื่อใด? ” น้ำเสียงของเซียวยวี่แฝงเร้นด้วยความสั่นเครือที่เขาเองก็ยังไม่รู้ตัว
“เมื่อวานเจ้าค่ะ”
“เมื่อวานเวลาใด? ” เซียวยวี่ซักถามต่อ
“ก่อนที่พี่สะใภ้ใหญ่กับท่านจะไปศาลบรรพชน ตอนที่พี่สะใภ้ใหญ่เปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องเจ้าค่ะ” เซียวจื่อเมิ่งกล่าวตามตรง “นางยังบอกข้าว่า ให้ข้าเป็นเด็กดีเชื่อฟังคำสั่ง กินข้าวดีๆ ทั้งยังบอกว่าเด็กผู้หญิงก็ต้องอ่านตำราให้มาก ต่อไปจะได้ไม่โดนรังแกเจ้าค่ะ! ”
เซียวยวี่กำหมัดไว้แน่น เส้นเลือดบนมือปูดนูนขึ้น
เขาเข้าใจแล้ว
มิน่าล่ะเมื่อวานเซี่ยยวี่หลัวถึงได้ไปศาลบรรพชนอย่างสบายใจ ที่แท้ นางเตรียมพร้อมในกรณีที่นางจะไม่ได้กลับมาแล้ว หากเมื่อวานเขาไม่เชื่อนาง นางคงไปโดยไม่หันหลังกลับด้วยซ้ำ
ดังนั้นจึงทิ้งกุญแจในบ้านไว้ให้เซียวจื่อเมิ่ง ส่วนนางเองก็จากไปโดยไม่มีความอาลัยอาวรณ์ใดๆ ขอเพียงนำหนังสือแยกทางฉบับนั้นออกมา ต่างก็เป็นชายหญิงที่ยังไม่ออกเรือน นางก็ถือว่าไม่มีความผิด ย่อมไม่ทำให้พวกเขาเดือดร้อนไปด้วย
เซียวจื่อเมิ่งไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติเรื่องนี้แม้แต่น้อย ส่วนเซียวจื่อเซวียนหันมองพี่ใหญ่ เซียวยวี่ส่ายหน้าให้เขา “กินข้าวเถอะ! ”
เซียวจื่อเซวียนก้มหน้ากินข้าวเช้าต่อ
อย่างไรเสียพี่สะใภ้ใหญ่ก็ไม่ไปแล้ว เขาเองก็ไม่กังวลใจ
แต่ในห้วงความคิดของเซียวยวี่กลับเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย ภายในหัวมีเพียงเรื่องเดียวที่คอยวนเวียนไม่หยุด หากเมื่อวานเขาไม่เชื่อนาง เซี่ยยวี่หลัวก็คงไปแล้ว
เซี่ยยวี่หลัวคงไปแล้ว!
พอคิดว่าเซี่ยยวี่หลัวอาจจากไป ภายในใจเซียวยวี่รู้สึกบีบคั้นอย่างรุนแรง ราวกับตกลงไปในเหวลึกที่เย็นเยียบ
อาหารเช้าที่เดิมทีหอมกรุ่น แต่เพราะภายในใจมีเรื่องครุ่นคิด เซียวยวี่กินอย่างไร้รสชาติ จิตใจไม่สงบ กินเสร็จเมื่อใด กลับห้องเมื่อใด ตัวอักษรบนตำราเขียนว่าอย่างไรบ้าง เขาไม่รู้เลยแม้แต่น้อย
เซียวยวี่นั่งอยู่บนเก้าอี้ มองดูกุญแจในมือ ขมวดคิ้วจนเป็นปมอีกครั้ง เขาขมวดคิ้วมุ่นอยู่นาน