บทที่ 230 แย่งตำลึงเงิน

จางเป่าเกินเห็นดังนั้นร้องขึ้นทันทีด้วยความตกใจ “คืนข้ามานะ”

จางซิ่วเอ๋อเก็บตำลึงเงินเข้าแขนเสื้อตัวเอง ก่อนจะหันไปมองจางเป่าเกินและบอก “คืนเจ้า? จางเป่าเกิน ในเมื่อวันนี้เจ้ามาหาเรื่องข้า ก็ต้องเตรียมพร้อมที่จะต้องชดใช้”

จางเป่าเกินโมโหจนแทบกระอักเลือด ตั้งแต่คราวก่อนที่โดนจางซิ่วเอ๋อแย่งตำลึงเงินไป เขาก็อยู่ด้วยความไม่สบายใจไปพักใหญ่

นี่อุตส่าห์เก็บสะสมตำลึงเงินไว้ได้นิดหน่อยกลับต้องโดนจางซิ่วเอ๋อแย่งไปอีกแล้ว!

จางซิ่วเอ๋อรู้ว่าการเอาตำลึงเงินของจางเป่าเกินไปทำให้เขาหงุดหงิดใจได้มากกว่าเรื่องไหน ๆ

ต่อให้อัดจางเป่าเกินสักยก พอจางเป่าเกินหายดีก็ลืมเจ็บ

แต่กับตำลึงเงินแล้วไม่เหมือนกัน ทุกครั้งที่จางเป่าเกินเห็นตำลึงเงินก็จะนึกถึงเรื่องนี้ และเจ็บใจทุกครั้ง

อย่างครั้งนี้ทำไมจางเป่าเกินถึงมาหาเรื่องนางน่ะหรือ? ไม่ใช่เพราะเขาเคยโดนหนิงอันเล่นงานไปครั้งหนึ่ง โดยมีสาเหตุหลักเพราะเจ็บใจเรื่องครึ่งตำลึงเงินนั้นหรอกหรือ?

“เอาเถอะหนิงอัน เราไม่ต้องไปถือสาหมาบ้า ปล่อยเขาไปเถอะ” จางซิ่วเอ๋อเหลือบมองจางเป่าเกิน

น่าเสียดายจริง ๆ ที่ตอนนี้นางยังไม่มีความสามารถพอจะปกป้องแม่โจวและจางซานหยา ไม่อย่างนั้นนางอยากจะหักมือของจางเป่าเกินจริง ๆ

เนี่ยหย่วนเฉียวได้ยินแล้วไม่ได้ปล่อยมือทันที กลับหรี่ตามองจางเป่าเกินและเอ่ยเสียงเข้ม “จางเป่าเกิน คราวหน้าอย่าให้ข้าเจอเจ้าอีกนะ มิฉะนั้น….เรื่องคงไม่จบง่าย ๆ เช่นนี้อีก”

“อีกอย่าง เจ้าจงจำข้าเอาไว้ หากกลับไปแล้วเที่ยวไปซี้ซั้วพูดอะไร…..ข้าไม่คิดมากกับการเด็ดหัวเจ้าออกมาหรอกนะ!” เนี่ยหย่วนเฉียวขู่เสียงเย็น

จากนั้นเนี่ยหย่วนเฉียวถึงปล่อยมือ

เวลานี้จางเป่าเกินไม่กล้าพูดจาด่าทออะไรจางซิ่วเอ๋ออีก เขาหนีหายไปลิบลิ่ว

จางซิ่วเอ๋อมองท่าทางหัวซุกหัวซุนของจางเป่าเกินที่เสมือนมีสัมภเวสีไล่ตามหลังมา แล้วก็มีรอยยิ้มกว้างขึ้นเรื่อย ๆ

เป็นเวลาเนิ่นนานกว่านางจะหุบยิ้มลง นางมองเนี่ยหย่วนเฉียวด้วยความขัดเขินเล็กน้อย เมื่อครู่นี้นางทระนงตนเกินไปหรือเปล่านะ? ถ้าไม่ได้เนี่ยหย่วนเฉียว เรื่องวันนี้คงไม่จบลงด้วยดีแน่

จางซิ่วเอ๋อพูดอย่างเอียงอาย “ต้องให้เจ้าหัวเราะเยาะแล้ว”

เนี่ยหย่วนเฉียวมองจางซิ่วเอ๋อพลางกล่าว “คำพูดพวกนั้นที่ทิ่มแทงเจ้า….ไม่ต้องเก็บไปใส่ใจ”

จางซิ่วเอ๋อถามยิ้ม ๆ “เจ้ากำลังปลอบใจข้าอยู่หรือ? ถ้าเป็นเช่นนั้นเจ้าไม่ต้องห่วงหรอก เพราะข้าไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลยสักนิด”

จากนั้นนางก็ชะงักไปเล็กน้อย “แน่นอนว่าข้าโมโห อย่างไรเสียไม่ว่าใครโดนด่าก็คงอารมณ์ดีอยู่ไม่ได้ แต่ข้าไม่มีทางเก็บคำพูดพวกนี้มาใส่ใจหรอก ตั้งแต่วันที่ข้ากลายเป็นแม่ม่าย มีคนในหมู่บ้านจำนวนไม่น้อยเลยที่ด่าข้า หากข้าเก็บมาใส่ใจหมดคงแขวนคอตัวเองตายไปนานแล้ว”

จางซิ่วเอ๋อพูดด้วยท่าทางสบาย ๆ แต่คำพูดแบบนี้กลับเข้าหูเนี่ยหย่วนเฉียว ทำให้ความรู้สึกในใจของเนี่ยหย่วนเฉียวนั้นมากขึ้นกว่าเดิม

เขาเงียบไปนานก่อนจะเอ่ยปากถาม “หากคุณชายเนี่ยไม่ตาย เจ้าจะมีความสุขกว่านี้ไหม?”

จางซิ่วเอ๋อฟังแล้วกระโดดไปด้านหลังหนึ่งก้าวทันที “เจ้าอย่าพูดแบบนี้อีกนะ! หากคุณชายเนี่ยยังไม่ตาย…..ข้าว่าข้ายอมเป็นแม่ม่ายยังจะดีกว่า! สภาพแวดล้อมอย่างบ้านตระกูลเนี่ย ข้าไปแล้วได้โดนกลืนกินทั้งเป็นน่ะสิ สู้อยู่กับน้องสาวอย่างตอนนี้ดีกว่า แม้จะไม่ถึงขั้นร่ำรวย แต่ทุก ๆ วันก็ผ่านมาได้อย่างมีความสุขและเปี่ยมไปด้วยความหวัง”

นัยน์ตาของเนี่ยหย่วนเฉียวลึกล้ำขึ้น

นาง……คิดแบบนี้เองหรือ?

ชั่วขณะเมื่อครู่นี้เขาตั้งใจจะเปิดเผยฐานะจริงของตนเองให้จางซิ่วเอ๋อรู้แล้ว เขาไม่อยากให้จางซิ่วเอ๋อเอาแต่คิดว่าตัวเองเป็นแม่ม่าย

ความวู่วามในชั่วพริบตาเมื่อครู่ทำให้เขาไม่ทันแม้แต่จะคิดว่าถ้าตนบอกทุกอย่างกับจางซิ่วเอ๋อแล้ว ทั้งสองจะอยู่ด้วยกันในฐานะอะไร

ทว่ายังไม่ทันได้บอกอะไร ประโยคนี้ประโยคเดียวก็ทำเอาเนี่ยหย่วนเฉียวพูดอะไรไม่ออกอีก

ถ้าจางซิ่วเอ๋อรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ คงไม่ได้รู้สึกดีใจแต่น่าจะตกใจเสียมากกว่า

เนี่ยหย่วนเฉียวถามเสียงเข้ม “ถ้าเนี่ยหย่วนเฉียวมีชีวิตกลับมา เจ้าจะทำอย่างไร?”

จางซิ่วเอ๋อมองเนี่ยหย่วนเฉียวอย่างแปลกใจ “ทำไมเจ้าถึงถามคำถามประหลาดเช่นนี้ล่ะ เขาตายไปแล้วก็คือตายไปแล้ว จะมีชีวิตกลับมาได้อย่างไร?”

คิดมาถึงตรงนี้ จางซิ่วเอ๋อก็รู้สึกว่าตนเองพูดจามั่นใจเกินไป นางเองก็ตายแล้วมีชีวิตฟื้นกลับมาไม่ใช่หรือ? ใครก็รับประกันไม่ได้หรอกว่าเนี่ยหย่วนเฉียวจะสิงสู่ร่างผู้อื่นกลับมาหรือไม่

จางซิ่วเอ๋อจึงกล่าวขึ้น “หากเขามีชีวิตกลับมา ขอให้ไม่มารบกวนชีวิตของข้าจะดีที่สุด ให้ข้าได้เป็นแม่ม่ายน้อยอย่างสงบเถอะ ถ้าเขามา…..ข้าจะไม่เกรงใจเขาแน่!”

พูดไปจางซิ่วเอ๋อก็กัดฟันกรอด ราวกับอยากจะกัดเนี่ยหย่วนเฉียวให้ตายอีกครั้ง

เนี่ยหย่วนเฉียวรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาในบัดดล เขาคิดว่าที่ตอนนี้ยังอยู่กันดี ๆ กับจางซิ่วเอ๋อได้ก็เพราะนางยังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา ถ้านางรู้เข้า……

เขากับเถี่ยเสวียนคงต้องเก็บข้าวเก็บของออกไปจากบ้านในทันที!

แน่นอนว่าที่เขาอยู่ร่วมบ้านจางซิ่วเอ๋อก็ไม่ใช่เพราะเขาไม่มีที่ให้พำนักจริง ๆ ถึงต้องอยู่ที่นี่

เขาแค่อยากช่วยดูแลจางซิ่วเอ๋อผ่านวิธีนี้

เขาไม่อยากให้ฮูหยินเนี่ยทำอะไรลับหลัง

และไม่ต้องการให้คนประเภทหวังกลากเกลื้อนมาหาเรื่องจางซิ่วเอ๋อ

“หนิงอัน เรื่องวันนี้ข้าไม่รู้จะตอบแทนเจ้าอย่างไรดี” จางซิ่วเอ๋อแสดงความขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า

เนี่ยหย่วนเฉียวเหลือบตามองจางซิ่วเอ๋อ และพูดด้วยท่าทางจริงจัง “เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”

จางซิ่วเอ๋อรีบบอก “สมควรไม่สมควรอะไรกัน ที่ข้าช่วยเจ้าไว้เป็นแค่เรื่องง่ายเหมือนยกมือ เรื่องนี้ผ่านไปนานมากแล้ว เจ้าเลิกเก็บมาใส่ใจเถอะ…….”

จางซิ่วเอ๋อไม่รู้ว่าคำว่าสมควรแล้วของเนี่ยหย่วนเฉียว เป็นเพราะเขาคิดว่าที่ชีวิตของจางซิ่วเอ๋อลำบากขนาดนี้ก็มีสาเหตุจากเขาทั้งนั้น

บอกตามตรงก็คือ แม้ว่าในใจของจางซิ่วเอ๋อจะไม่ชอบไอ้ขี้โรคที่ดวงชงกับนางจนตาย แต่ก็ไม่ได้เหมารวมว่าความโชคร้ายทั้งหมดของตัวเองนั้นเกิดจากเขา

และจางซิ่วเอ๋อไม่คิดว่าชีวิตตัวเองโชคร้ายอะไรมากมาย

แม้จะชอบมีคนมาหาเรื่องก็เถอะ

แต่ก็ดีกว่าตายไปแล้วนี่นา! นี่เป็นชีวิตครั้งที่สองของนาง นางรู้สึกว่าขอแค่มีชีวิตอยู่ก็ดีกว่าต้องตาย

ถึงต้องถอยออกมาหนึ่งก้าว อย่างไรก็ดีกว่าต้องอยู่ที่บ้านตระกูลจางนะ

ถ้าไม่มีไอ้ขี้โรคนั่น นางก็คงไม่ได้เป็นแม่ม่าย ตอนนี้คงไม่อาจออกมาตั้งตัวได้ และอาจจะยังอยู่ในกำมือของแม่เฒ่าจาง ไม่รู้ว่าจะโดนแม่เฒ่าจางพาไปขายให้ใคร!

เป็นบ่าวรับใช้ถือว่าดีโขแล้ว แต่ถ้าโดนขายให้คนชั่ว จางซิ่วเอ๋อคิดว่าแบบนั้นสิโชคร้ายของจริง

เทียบกันแล้วการเป็นแม่ม่ายนับว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดของนาง

ทั้งสองต่างคนต่างมีเรื่องในใจ แน่นอนว่าทั้งคู่ก็คงไม่เปิดเผยสิ่งที่คิดอยู่ในใจเหล่านี้กับอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา

ทว่าหลังจากผ่านเรื่องวันนี้มาแล้ว จางซิ่วเอ๋อก็มองหนิงอันเปลี่ยนไปอีกเล็กน้อย นางรู้สึกว่าถึงหนิงอันคนนี้จะดูเย็นชาและไม่ค่อยเหมือนคนธรรมดาทั่วไป แต่ก็เป็นคนที่มีน้ำใจคนหนึ่ง

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ทำไมอ่านตรงช่วงความรู้สึกของคุณชายเนี่ยแล้วเจ็บแทน แง พ่อเตาผิง พ่อไมโครเวฟ ลูกเรือเฉียวเอ๋ออยู่ไหนคะ มาช่วยกันกู้เรือด่วนค่ะ

ไหหม่า(海馬)