หลังจากที่ออกจากชุ่ยยินเกอแล้วเดินหักมุมก็จะเจอภูเขาจำลองและสวนไผ่
ตอนนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ ต้นไผ่กำลังเติบโตเป็นต้นสูงเรียวหนาแน่น เมื่อมีลมพัดโชยอ่อนๆ จึงเกิดเสียงซู่ๆ ของใบไผ่เหมือนเสียงร้องคำรามของมังกรและหงส์
เหยาเยี่ยนอวี่เจอหินสีนิลหนึ่งก้อนจึงใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดและหมุนตัวพิง
ชุ่ยเวยรีบพูดขึ้น “คุณหนูเจ้าคะ หินก้อนนี้เย็นเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไร นั่งประเดี๋ยวเดียวก็ลุกขึ้นแล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่นั่งอยู่ข้างบนหินโดยไม่สนใจ ร่างกายเอนไปด้านหลัง ใช้สองมือเป็นหมอนหนุนท้ายทอยพร้อมหรี่ตามองช่องว่างระหว่างใบไผ่ที่ดุจดั่งเมฆสีเขียว
เสียงเสียดสีของใบไผ่ส่งเข้าหู รวมไปถึงเสียงหัวเราะอันมีความสุขสอดแทรกเข้ามา เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าทางโน้นกำลังหัวเราะสังสรรค์เริงรื่นแค่ไหน ต้องเป็นบรรยากาศที่แสนครึกครื้น
นางคลี่ยิ้มน้อยๆ ภายในใจก็รู้สึกดี ท่านบิดาและพี่ชายต่างก็มีอนาคตที่ดี ทั้งครอบครัวก็มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ถึงแม้คนเหล่านี้จะไม่สนิทสนมกับตนเองมากมาย ทว่าอย่างน้อยเรื่องที่ควรปกป้องดูแลนางก็มีอยู่
ต่อให้พวกเขาจะหวังผลประโยชน์จากตนเอง แท้จริงแล้วก็เพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมของทุกคน
มีคำๆ หนึ่งกล่าวว่า หากไม่มีผิวหนังขนจะไปอาศัยอยู่ที่ใด
พอคิดถึงตรงนี้ เหยาเยี่ยนอวี่ก็สะลึมสะลือ แต่แล้วกลับได้สติกลับมา มีเสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยกันดังขึ้น
เดิมทีชุ่ยเวยก็เฝ้าอยู่ข้างกายเหยาเยี่ยนอวี่เพื่อไล่แมลงให้นาง พอเห็นนางลืมตาขึ้นกะทันหันก็เอ่ยถามอย่างแปลกใจ “คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ”
“ชู่ว…” เหยาเยี่ยนอวี่ทำท่าสื่อให้เงียบแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นพลางมองไปยังทิศทางที่ได้ยินเสียง
ไม้ไผ่ตรงหน้าเหมือนดั่งกำแพงที่บดบังทิวทัศน์ข้างนอกจนหมด ที่นี่ก็คือสถานที่ส่วนตัวพื้นที่เล็กๆ เท่านั้น
“คุณหนูเจ้าคะ เป็นอะไรไป” ชุ่ยเวยขยับเข้ามากระซิบถามข้างหูเหยาเยี่ยนอวี่เบาๆ “มีคนมา” เหยาเยี่ยนอวี่กดเสียงต่ำที่สุด “เชวี่ยหวา ข้าได้ยินนางพูดถึงข้า”
ชุ่ยเวยเบิกตาโตอย่างแปลกใจ ไม่ใช่หรอกกระมัง คุณหนูนี่ช่างอัศจรรย์เกินไปแล้วหรือเปล่า นางยังไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
ทว่าไม่นานชุ่ยเวยก็ได้ยินเสียง
“ข้าเห็นพี่สาวมาที่นี่จริงๆ” เหยาเชวี่ยหวากำลังพูด ทว่าไม่รู้ว่าพูดกับใคร “เอ๊ะ? เหตุใดถึงไม่เห็นใครล่ะ? หลบอยู่ในดงไผ่หรือเปล่า”
เหยาเยี่ยนอวี่เกิดลางสังหรณ์ไม่ค่อยดี ไม่ว่าเหยาเชวี่ยหวาจะพาใครมาหาตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร นางแค่คิดอยากจะหลบน้องสาวที่ดูไร้เดียงสาและดูไม่มีพิษภัยคนนี้จึงดึงชุ่ยเวยแอบถอยเข้าไปในป่าไผ่ที่อยู่ข้างๆ จนไปถึงดงไผ่ที่มีไผ่ปกคลุมหนาแน่นและแน่ใจว่าต่อให้เหยาเชวี่ยหวาเห็นหินสีนิลก้อนนั้นก็ไม่เห็นว่านางอยู่ที่ใด
เสียงใบไผ่เสียงสีดังซู่ๆ ดังขึ้น เหยาเชวี่ยหวาเดินตามถนนที่กว้างฉื่อกว่าจนเห็นหินสีนิลที่เงาเรียบและเกลี้ยงเกลาก้อนนั้น เห็นว่าข้างหินมีผ้าผืนหนึ่งหล่นไว้เลยเข้าไปเก็บด้วยความตื่นเต้นดีใจ “นี่เป็นผ้าเช็ดหน้าของชุ่ยเวย”
ผู้ที่ตามนางมาก็ยื่นมือรับผ้าเช็ดหน้าไว้แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “นี่เจ้าก็รู้ด้วยหรือ”
เหยาเยี่ยนอวี่ที่หลบอยู่ในดงไผ่ไม่เห็นสถานการณ์ข้างนอกทว่าได้ยินน้ำเสียงนั้นกลับทำให้เรือนร่างเกร็งขึ้นเรื่อยๆ เหตุใดถึงเป็นเสียงของบุรุษ เหยาเชวี่ยหวากำลังคิดจะทำอะไร!
“แน่นอน” เหยาเชวี่ยหวาเดินล้อมรอบหินสีนิลแล้วถอนหายใจ “พี่สาวต้องเคยมาที่นี่ ทว่าเวลานี้อาจจะจากไปแล้ว”
“เจ้าทำอะไรก็มักจะไม่ได้เรื่องเช่นนี้ตลอด” บุรุษผู้นั้นแสยะยิ้มเย็นชาแล้วหันหลังเดินไปข้างนอก
“พี่เหยียน!” เหยาเชวี่ยหวาขานเรียกอย่างอัดอั้นใจ “ข้าไม่ได้โกหกเจ้า!”
“โกหกหรือไม่โกหกก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลย” ชายหนุ่มว่าเสียงเบาแล้วเดินจากไปไกล
เหยาเชวี่ยหวาโกรธจนขยี้เท้าแล้วก็เดินตามออกไปอย่างเร่งรีบ
เหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินว่าข้างนอกไม่มีเสียงเคลื่อนไหวใดๆ จึงออกจากดงไผ่อย่างสบายใจ นางหยุดยืนอยู่ข้างหินสีนิลพลางครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้วเอ่ยถามชุ่ยเวย “พี่เหยียน? ใครกันแน่”
ชุ่ยเวยกัดฟันกรอดอย่างเคร่งครียด “ต้องเป็นคุณชายใหญ่แห่งตระกูลจิ้งหนานปั๋วแน่นอน!”
“ซ่งเหยียนชิง?” เหยาเยี่ยนอวี่เข้าใจขึ้นมาทันที “เหตุใดเขาถึงคลุกคลีกับเชวี่ยหวา”
กับซ่งเหยียนชิง ชุ่ยเวยไม่เคยรู้สึกดีด้วยแม้แต่น้อย จึงพร่ำบ่นด้วยเสียงเลือดเย็น “คุณชายใหญ่แห่งตระกูลซ่งเป็นบุรุษที่สง่างามทำตัวน่าเลื่อมใส คุณหนูสามถูกเขาหลอกลวงก็ไม่น่าแปลกอะไร”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มอ่อน “เรื่องตอนเด็กเจ้ายังจดจำไว้อีกหรือ?”
“ต่อให้ผ่านไปร้อยปีบ่าวก็จะจดจำไว้!” ชุ่ยเวยจึงพร่ำบ่นอย่างเคร่งเครียดแล้วพูดขึ้น “วันนี้ไม่รู้ว่าคนๆ นี้ยังมีความคิดเลวๆ อะไรอีกหรือไม่ ในมุมมองของบ่าวอย่างไรเสียก็ต้องรายงานฮูหยินอย่างจริงจัง จะได้ไม่ต้องเกิดเรื่องในภายหลังจนทำให้ชื่อเสียงของคุณหนูจะเสื่อมเสีย!”
เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดขึ้น “เรื่องวันนี้เจ้าห้ามพูดถึง”
“คุณหนู!” ชุ่ยเวยขยี้เท้าอย่างเคร่งเครียด
“เจ้าคิดอย่างละเอียดสิ หากเรื่องวันนี้ถึงหูฮูหยิน ฮูหยินจะคิดอย่างไร เชวี่ยหวาอายุแค่สิบเอ็ดปียังเป็นเด็กอยู่ ส่วนข้า…” เหยาเยี่ยนอวี่กัดฟัน ภายในใจย่อมโกรธอยู่แล้ว
ไอลีนโนเวล ตนเองอายุสิบเจ็ดปีแล้ว หากซ่งเหยียนชิงแอบออกมาตามหาตัวเอง เช่นนั้นเรื่องนี้หากถูกแพร่ออกไปคนอื่นจะวิจารณ์อย่างไร เหยาเชวี่ยหวาที่มีอายุสิบเอ็ดปีไม่รู้เรื่องอะไรก็บอกได้ว่านางแค่เดินเล่นกลางสวนแล้วก็บังเอิญเจอกับลูกพี่ลูกน้องแห่งตระกูลซ่ง ทว่าตัวเองกลับมีอายุสิบเจ็ดปีแล้ว!
เหยาเยี่ยนอวี่แอบเสียใจขึ้นมาทันที ตัวเองไม่ควรหนีออกมาเช่นนี้ โชคดีที่เมื่อครู่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหว ไม่เช่นนั้นซ่งเหยียนชิงเห็นตนเองนอนอยู่บนก้อนหิน…แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็คงอธิบายออกมาได้ไม่ชัดเจนแน่นอน!
โกรธเคืองไปก็ไม่มีประโยชน์ คิดๆ ดูแล้ว ตนเองเป็นสตรีที่ข้ามภพมา ทั้งสองโลกรวมกันก็ถือว่าเป็นคนที่มีประสบการณ์ด้านการใช้ชีวิตมาสี่สิบปีแล้ว ยังต้องเสี่ยงกับการถูกเล่นงานจากเด็กอายุสิบเอ็ดปีคนนี้ก็ถือว่าโง่เขลาเกินพอแล้ว
ได้ ยัยหนูคนนี้ เจ้ากล้าทำเยี่ยงนี้กับข้า ถึงแม้ข้าจะไม่รู้เหตุผล ทว่าอย่างไรก็ย่อมต้องให้เจ้ารับผิดชอบอะไรหน่อยหรือเปล่า
ระหว่างทางกลับชุ่ยยินเกอ เหยาเยี่ยนอวี่ก็ค่อยๆ ปรับอารมณ์ตัวเอง
เจียงซื่อเห็นเหยาเยี่ยนอวี่กลับมาจึงรีบยื่นมือกวักเรียกนางไปแล้วพูดด้วยความรื่นเริง “หรือว่าเจ้าจะกลับไปพักผ่อน? กลับไปนานขนาดนี้”
“ข้ารู้สึกง่วงนอนจริงๆ ดังนั้นจึงกลับไปล้างหน้าล้างตามาเจ้าค่ะ” เหยาเยี่ยนอวี่พูดพลางคลี่ยิ้มน้อยๆ หันไปมองเหยาเชวี่ยหวาเพียงพริบตาเดียว
เหยาเชวี่ยหวายังคงทำหน้าตาไร้เดียงสา พอเห็นเหยาเยี่ยนอวี่มองนางก็คลี่ยิ้มพลางพูดขึ้น “พี่สาวเมื่อครู่ละครเพลง ‘ป่วนแหลกตำหนักสวรรค์’ ช่างเพลิดเพลินยิ่งนัก ละครที่เจ้าเลือกกลับไม่ได้รับชมเอง ช่างน่าเสียดายจริงๆ”
“อ้อ? เจ้าได้รับชมก็พอแล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มบาง “ก็แค่ละครเท่านั้น หากพลาดครั้งนี้แน่นอนว่ายังมีครั้งหน้า ไม่แน่อาจจะดูน่าตื่นตาตื่นใจมากกว่า”
“อ้อ? พี่สะใภ้ใหญ่ ละครต่อไปคือเรื่องอะไร” เหยาเชวี่ยหวาหันไปถามเจียงซื่อ
เจียงซื่อพูดด้วยรอยยิ้ม “ละครต่อไปคือ ‘กุ้ยเฟยจุ้ยจิ่ว’ ต้องตั้งใจฟังให้ดี นี่เป็นการแสดงที่ขับร้องโดยตู้เสี่ยวเซิง นางเป็นนักแสดงอันดับหนึ่งของเมืองเจียงหนิงของพวกเรา เพื่อที่จะเชิญนางมาต้องทุ่มเทแรงกายและทรัพย์ไปค่อนข้างมาก”
ดังนั้นทุกคนจึงเริ่มตั้งใจรับชมละคร
ต่อจากนี้ไม่ว่าจะรู้สึกน่าเบื่อมากเพียงใด เหยาเยี่ยนอวี่ก็จะไม่ออกจากงาน จึงอดทนรอคอยอย่างเงียบๆ จนถึงตอนสุดท้าย
งานเลี้ยงจัดถึงยามเซินถึงจะแยกย้ายกันกลับจวน ทุกคนต่างกินดื่มเล่นกันอย่างสนุกสนาน เหยาเยี่ยนอวี่ไปส่งบรรดาแขกเหรื่อกับเจียงซื่อหนิงซื่อและคนอื่นๆ จากนั้นถึงจะเตรียมตัวกลับเรือนของตนเอง ทว่ากลับเห็นเสวี่ยเหลียนโน้มลำตัวน้อมคำนับด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ ให้กับตนเอง “คุณหนูรองเจ้าคะ”