ตอนที่ 24 ด่าใครว่าสารเลว
หยุนเชวี่ยยืนอยู่ตรงหน้าเขา ก่อนจะเอียงศีรษะจ้องมองเพื่อสำรวจใบหน้าของเด็กหนุ่มจนแววตาของเขาสั่นไหว
ส่วนเด็กหนุ่มเองก็เอียงศีรษะเพื่อสังเกตนางเช่นกัน ดวงตาดอกท้อคู่นั้นหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมาจนหางตาโค้งลง
“เสี่ยวอู่ เอาอาหารให้เขา” หยุนเชวี่ยหยิบเนื้อกระต่ายที่ล้างและห่อด้วยใบไม้ออกมาจากตะกร้าด้านหลัง ในใจมั่นใจถึงแปดส่วนว่าเด็กหนุ่มนัยน์ตาดอกท้อผู้นี้ น่าจะเป็นลูกผู้ดีตระกูลใหญ่จากที่ไหนสักแห่ง
เมื่อเห็นว่าเสี่ยวอู่นั่งยอง ๆ อยู่ด้านข้างและทำท่าเหมือนจะป้อนอาหารให้เขาอีกครั้ง เด็กหนุ่มรีบส่ายหัวปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “ไม่รบกวน ข้ากินเอง ข้ากินเองได้…”
เสี่ยวอู่หันมามองหยุนเชวี่ย ในมือถือใบไม้นิ่ง
หยุนเชวี่ยพยักหน้าให้น้องชาย พร้อมกับนั่งลงบนหินสะอาดและยกมือขึ้นมาเท้าคาง “ท่านชื่ออะไร? บ้านอยู่ที่ไหน? เหตุใดถึงมานอนสลบอยู่บนภูเขาลูกนี้?”
“จำไม่ได้แล้ว” เด็กหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“จำไม่ได้แล้ว?!”
“อืม” เขาไม่เปลี่ยนสีหน้า แม้จะทานอาหารอย่างรวดเร็วแต่ก็ไม่ส่งเสียงใด ๆ
“…” หยุนเชวี่ยดีดตัวลุกขึ้นยืน เอามือเท้าสะโพก “เจ้าตอบข้าอีกที?!”
ความจำเสื่อม?
นางไม่เชื่อ เหตุใดคนที่จำไม่ได้แม้กระทั่งว่าตัวเองเป็นใคร ถึงยังมีท่าทีสงบเยือกเย็นได้เช่นนี้? จิตใจแข็งแกร่งเสียจริง!
เด็กหนุ่มเปิดเปลือกตาขึ้น กล่าวตอบอย่างใจเย็น “จำไม่ได้”
หยุนเชวี่ยงุนงนเล็กน้อย แววตาของนางจมดิ่งและเต็มไปด้วยความสงสัย
“ท่านโกหกข้า!”
“ข้าเปล่า”
“ท่านยังมีกระจิตกระใจกินอยู่อีกหรือ?”
“ข้าหิว”
เมื่อเด็กหนุ่มกินเนื้อเสร็จแล้วก็เช็ดน้ำมันออกจากมือด้วยหลังใบไม้ ก่อนจะดึงบรรยากาศที่สงบเยือกเย็นกลับมา
หยุนเชวี่ยอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปตรวจดูบาดแผลบนศีรษะของเขาทั้งด้านซ้ายและขวา
“…?” เด็กหนุ่มคว้าไปที่ข้อมือของนาง
“อย่าขยับ! ข้าจะดูว่าท่านโง่จริงหรือแกล้งโง่กันแน่!”
ข้าง ๆ กันนั้น เสี่ยวอู่สีหน้ายุ่งเหยิง
“ท่านจำอะไรไม่ได้เลยจริง ๆ หรือ?” หลังจากจับศีรษะของเด็กหนุ่มพลิกหมุนไปมาแล้วไม่พบเบาะแสใด หยุนเชวี่ยก็เอ่ยถามออกมาคล้ายไม่เต็มใจนัก
เส้นผมสีหมึกของเด็กหนุ่มกระเซอะกระเซิง แววตาสิ้นหวังราวกับชีวิตถูกทำลาย
“ข้าจะถามท่านเป็นครั้งสุดท้าย” หยุนเชวี่ยเดินเข้าไปใกล้จนปลายจมูกของคนทั้งคู่เกือบสัมผัสกัน มือข้างหนึ่งจับไหล่ซ้ายที่บาดเจ็บอยู่ พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่ “ไม่ได้โกหกข้าจริง ๆ หรือ?”
แผ่นหลังของเด็กหนุ่มถูกดันชิดติดผนังถ้ำ คางของเขาเชิดขึ้นเล็กน้อย ดวงตาดอกท้อจ้องลึกลงไปในแววตาสดใสของนาง “ข้าเปล่า”
เสี่ยวอู่สติแตกกระเจิง เขาผุดลุกขึ้นทันที ก่อนจะคว้าตะกร้าใบเล็ก แล้วเทหญ้าสมุนไพรลงไปตรงหน้าพวกเขา
ถึงเวลาเปลี่ยนผ้าพันแผลแล้ว เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่หยุนเชวี่ยกับเสี่ยวอู่ สีหน้าอึดอัดเล็กน้อย
“ท่านทำหน้าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” หยุนเชวี่ยกลอกตาเมื่อได้กลิ่นฉุนของหญ้าสมุนไพร “รังเกียจหรือ? ข้าก็ไม่อยากจะทำนักหรอก!”
ขณะที่พูดก็คายต้นหญ้าที่เคี้ยวอยู่ออกมา “เพ้ยๆๆ ดูเหมือนว่าตอนนี้ท่านจะไม่เป็นอะไรแล้ว เช่นนั้นก็ใส่ยาเองแล้วกัน!”
เสี่ยวอู่หยุดทำตามทันที
เด็กหนุ่มหยิบหญ้าสมุนไพรสองสามใบขึ้นมาถูตรงเสื้อผ้าของเขา กลิ่นเหม็นเขียว ให้ความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีนัก
“เจ้าชื่ออะไร?” เขาถามขึ้น
“หยุนเชวี่ย”
“หยุนเชวี่ย” เด็กหนุ่มกล่าวตาม พร้อมกับจดจำชื่อนี้ไว้ในใจ “พรุ่งนี้เจ้าจะมาหรือไม่?”
“ท่านกลัวจะอดตายอยู่ที่นี่หรือ?”
เด็กหนุ่มกัดฟัน กดหญ้าสมุนไพรไปที่บาดแผลของเขาและยิ้มออกมาอย่างไม่ยอมรับ
“บนภุเขานี้มีพุทรา ผลไม้ป่า ไก่ฟ้าและกระต่าย” หยุนเชวี่ยคว้าตะกร้าขึ้นมาและกวักมือเรียกเสี่ยวอู่ “ไปกันเถอะ”
“หยุนเชวี่ย” เด็กหนุ่มเรียกนางจากด้านหลัง ฉับพลันดวงตาล้ำลึกคู่นั้นก็จ้องมองนางด้วยแววตาแปลกประหลาดอย่างอธิบายไม่ได้
“บุญคุณที่ช่วยชีวิต ต้องได้รับการตอบแทน เช่นนั้น…”
อีกแล้ว!
หยุนเชวี่ยรีบวิ่งออกไป น้ำเสียงตื่นตระหนกดังก้องอยู่ตรงปากถ้ำ “ผู้ท่องไปในยุทธภพ ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีบาดแผล ท่านผู้กล้ารักษาตัวด้วย!”
เด็กหนุ่ม…
สองพี่น้องขนฟืนกลับไปเช่นเคย
กองฟืนที่อยู่ถัดจากห้องฝั่งตะวันตกถูกวางซ้อนกันเป็นพะเนิน หยุนเชวี่ยก้มลงไปเลือกฟืนอยู่นาน สุดท้ายก็ดึงท่อนไม้ที่หนากว่าแขนตัวเองออกมา และกระพริบตาให้เสี่ยวอู่
เสี่ยวอู่เข้าใจในทันทีว่านางมีแผนอยู่นานแล้ว
“ฮิฮิ” หยุนเชวี่ยหัวเราะและซ่อน ‘ไม้ตีหมา’ ในตำนาน ก่อนจะหันหน้ามองห้องชั้นบน
“ทุกวันก่อนเข้านอน หยุนชิ่วเอ๋อมักจะไปที่กระท่อมมุงจากเพื่อทำธุระส่วนตัว” หยุนเชวี่ยวาดท่อนไม้เป็นวงกลมลงบนพื้น “เมื่อนางเข้าไป เราจะซ่อนอยู่ตรงนี้ ข้าง ๆ นั้นมีกองมูลขี้อยู่ หึๆๆ…”
เสี่ยวอู่เบ้ปาก
“เรียกได้ว่าหากลงมือทำก็ต้องทำให้ถึงที่สุด จำเอาไว้ อย่าพูดอะไรออกมา หลังจากโจมตีเสร็จให้รีบหนีทันที ไม่ว่าหลังจากนี้ใครจะถามอะไร เจ้าต้องยืนกรานอย่างเดียวว่าไม่รู้…”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หยุนเชวี่ยทำอย่างนี้ เมื่อนึกย้อนกลับไปในตอนนั้น…
ช่างเถิด เพียงแค่นึกถึงตอนนั้นก็กินอะไรแทบไม่ลง…
ทั้งสองเฝ้ารอให้ถึงยามราตรีด้วยจิตใจโหดเหี้ยม
หยุนชิ่วเอ๋อที่พวกเขารอคอยกลับมาแล้ว นางกระแทกเท้าเล็ก ๆ ของนางเข้ามา ในมือถือตะกร้า ตวัดหางตาก่อนจะพ่นคำผรุสวาท “นังสารเลว คอยดูเถอะ ข้าจะเอาอาหารหมูยัดปากเจ้า!”
“ด่าใครว่าสารเลว?” หยุนเชวี่ยสวนกลับอย่างรวดเร็ว
หยุนชิ่วเอ๋อแผดเสียงขึ้นมาทันที “เจ้าไง นังสารเลว!”
“พรืด…” หยุนเชวี่ยยิ้มพร้อมกับก้มหน้า ส่วนเสี่ยวอู่กลั้นขำจนหน้าแดง ไหล่เล็ก ๆ ของเขาสั่นเทา
หยุนชิ่วเอ๋อยังไม่เดินเลี้ยวจากไป แต่เด็กทั้งสองหน้าแดงก่ำจนลามไปถึงคอ ดังนั้นนางจึงคว้าไม้กวาดที่อยู่ข้างประตูขึ้นมา “นังเด็กบ้า โดนข้าด่าแล้วยังจะหัวเราะ! นังชั้นต่ำ!”
ก่อนที่นางจะทันได้ยกมือขึ้นฟาด หยุนเชวี่ยก็ลากเสี่ยวอู่วิ่งตะโกนไปทั่วลานบ้าน “ท่านปู่ ช่วยด้วย! อาหญิงจะตีข้าอีกแล้ว!”
ผู้เฒ่าหยุนเพิ่งเดินกลับมาจากทุ่งนา ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าประตูก็มองเห็นว่าหยุนชิ่วเอ๋อกำลังวิ่งตามเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ไปรอบ ๆ อย่างโง่งม ฉับพลันสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีดำราวกับก้นหม้อทันที
“ท่านปู่…” หยุนเชวี่ยร้องเรียกก่อนจะวิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังของเขา
ชายชราเอื้อมมือไปด้านหลังและยืนนิ่ง
“นังสารเลว เก่งจริงก็อย่าวิ่งหนี!” หยุนชิ่วเอ๋อกางเขี้ยวกางเล็บพร้อมกับเหวี่ยงแขนของนาง
“เพี๊ยะ…” ทันทีที่หยุนลี่เซี่ยวเดินเข้ามาถึงธรณีประตู ไม้กวาดก็ฟาดเข้าที่หน้าของเขาอย่างจัง
“เจ้าทำอะไร!” หยุนลี่เซี่ยวเบิกตาโพลง ก่อนจะโก่งคอตะโกนและผลักนางจนเซถลาออกไป
หลังจากแยกบ้านกันไม่กี่วันที่ผ่านมา ปรากฏว่างานทั้งหมดของหยุนลี่เต๋อตกมาเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว เขาถูกบิดาบังคับให้ตื่นแต่เช้ามืด ในตอนนี้ไฟโทสะของเขาได้ลุกท่วมถึงขีดสุด
“บัดซบ! ข้าทำงานหาเลี้ยงครอบครัวก็เหนื่อยมาพอแล้ว เจ้ายังจะสู้กับข้าอีกใช่หรือไม่?!” หยุนลี่เซี่ยวม้วนแขนเสื้อขึ้น ชี้นิ้วไปที่หน้าของหยุนชิ่วเอ๋อพร้อมกับพ่นคำด่าออกมา
ขิงก็ราข่าก็แรง หยุนชิ่วเอ๋อไม่มีทางยอมแพ้ นางเท้าสะเอวโต้เถียงกับเขา “ท่านพ่ออยู่ที่นี่ ท่านกล้าพูดหยาบคายกับใคร? ไม่กลัวตายหรือ!”
“เจ้ายังจะกล้าพูดอีกหรือ? ข้าจะสั่งสอนเจ้าให้รู้สำนึก”
“ข้าพูดแน่ หยุนลี่เซี่ยว ผู้ใดบ้างไม่รู้จักเจ้า! ทั้งหยาบคายและเจ้าเล่ห์ ตระกูลหยุนจะอดตายอยู่แล้ว! เจ้ายังไม่รู้จักละอายใจ ถุย!”
ทั้งสองต่างโต้เถียงกันอย่างไม่มีใครยอมใคร เมื่อหยุนเชวี่ยเห็นว่าเพลิงอารมณ์ของทั้งคู่กำลังลุกโชน นางจึงขยิบตาให้เสี่ยวอู่และพากันเดินย่องเลียบกำแพงออกไป
“เสียงดังโวยวายอะไรกัน! ในสายตาของพวกเจ้ายังเห็นว่าข้าเป็นพ่ออยู่หรือไม่!” ชายชราโกรธจนปากสั่น มือไม้โบกขึ้นลง ในที่สุดเขาก็เตะถังไม้ในลานบ้านล้มคว่ำเพื่อระบายโทสะ
“ไม่เคยมีสักวันที่จะได้สบายใจ! หากผู้ใดไม่อยากอยู่อย่างสงบก็ไสหัวออกไป!”