“ไม่มีอะไร ข้าแค่คิดเรื่องอะไรบางอย่างเท่านั้น”
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจทำยาถอนพิษขึ้นมา
หากเจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ไม่ยอมกิน นางจะจับเขากรอกยาเอง
“เรื่องกลุ่มสามสหาย เจ้ากับหยุนจู๋ดำเนินการไปถึงไหนแล้ว?”
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจถามเรื่องกลุ่มสามสหาย
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเส้นทางหลังจากถอนตัวจากตำแหน่งของนาง
“หยุนจู๋มีวิธีการทำงานที่ยอดเยี่ยม ตอนนี้หาคนเข้ากลุ่มได้มากมาย แต่มีบางส่วนที่ต้องคัดออก”
เมื่อพูดถึงการจัดการ วิธีการของชิงหูยังเทียบไม่ได้กับหยุนจู๋
ทว่าวิทยายุทธ์ของเขาทำให้คนของเจียงหูต้องสั่นสะท้าน
เหตุเพราะใบหน้าที่เปลี่ยนไปของหยุนจู๋ พวกเขาจึงคิดว่านางเป็นเพียงคนแก่คนหนึ่ง
ส่วนเขาทำได้เพียงนั่งอยู่ในห้องอย่างเบื่อหน่าย
“อืม ก็จริง กลุ่มสามสหายรับเฉพาะคนมีความสามารถเท่านั้น”
หลินเมิ้งหยายกแก้วชาขึ้นจิบ
“จริงสิ เจ้าเด็กน้อย เจ้าคงมิได้หาพวกยอดฝีมือมาเลี้ยงไว้เฉยๆ โดยไร้ประโยชน์ใช่หรือไม่ เช่นนั้นพวกเรามาหาธุรกิจทำกันดีกว่า หรือว่า…พวกเรารับจ้างวานฆ่าดีหรือไม่?”
นางถลึงตาใส่ชิงหู นี่เขาคิดจะสร้างเถาฮวาอู๋สาขาสองหรืออย่างไร?
“เบื้องหน้าของกลุ่มสามหสายคือร้านขายยา ฉะนั้นคนที่เบื่อเจียงหูก็ให้ไปหายาสมุนไพรมา ส่วนเบื้องหลังข้าจะใช้กลุ่มสามสหายเป็นหน่วยข่าวกรอง”
หลินเมิ้งหยารู้ดี การกรองข่าวเป็นสิ่งสำคัญ
ไม่ว่าจะแก้แค้น ตอบแทนบุญคุณ สิ่งที่คนของเจียงหูต้องทำให้เคยชินคือการกรองข่าวก่อนเสมอ
นางลองวิเคราะห์ดูแล้ว การคมนาคมของสมัยโบราณยังด้อยพัฒนา
ฉะนั้นขอเพียงนางกุมความลับในการส่งข่าวได้ เช่นนั้นโอกาสของนางจะมาถึงก่อนใครเสมอ
ฟังดูเป็นทางเลือกที่ไม่เลวสำหรับคนของเจียงหู
“ได้ เช่นนั้นเอาแบบนี้ล่ะ”
ชิงหูเห็นด้วยอย่างยิ่ง หลินเมิ้งหยาใช้ร้านขายยาปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดสงสัยอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น วิชาแพทย์พิษของนางล้ำเลิศดั่งนางพญาแพทย์พิษ เชื่อว่าอีกไม่นานชื่อเสียงของนางจะโด่งดังไปทั้งเจียงหู
ถอนพิษอย่างนั้นหรือ จะต้องใช้ตัวยาเป็นจำนวนมาก แน่นอนว่าหากคนของนางออกตามหายาทั่วทั้งประเทศ เช่นนั้นการกรองข่าวก็จะเป็นไปอย่างราบรื่นตามไปด้วย
“อืม”
หลินเมิ้งหยาพยักหน้ารับ มือข้างที่บาดเจ็บใกล้จะหายดีแล้ว
โชคดีที่เจียงหรูฉินรับหน้าที่ดูแลจวนไปแทน
มิเช่นนั้น นางจะมีเวลารักษาบาดแผลได้อย่างไร
เจียงหรูฉินแสดงความโอหังได้อีกเพียงแค่สามวัน ก่อนจะพาคนมายังตำหนักหลิวซินเพื่อยอมรับความผิด
น่าเสียดาย หลินเมิ้งหยาอ้างว่าร่างกายของนางไม่แข็งแรง ดังนั้นจึงไม่ยอมแม้แต่จะเปิดประตูให้
ยิ่งไปกว่านั้น หลายวันมานี้จวนอวี้เกิดความโกลาหลอย่างใหญ่หลวง
แม้แต่เรื่องอาหารสามมื้อต่อวันยังเป็นปัญหาใหญ่
ตอนนี้นอกจากตำหนักหลิวซินที่ยังคงสงบเงียบดั่งเดิม ตำหนักฉินหวู่และหยาเสวียนใกล้จะขาดเสบียงอาหารเต็มที
คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น พระสนมเต๋อเฟยมองดูอาหารเย็นชืดบนโต๊ะ ดวงตาเผยให้เห็นความโกรธเกรี้ยว
“นี่คือวิธีการดูแลจวนของเจ้าหรือ? เจ้าจะให้เปิ่นกงกินแต่ผักหรืออย่างไร? หรือเจ้าคิดว่าเปิ่นกงเป็นม้า?”
เจียงหรูฉินคุกเข่าลงกับพื้น ร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ท่านป้า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดของหลินเมิ้งหยา หลายวันมานี้จวนอวี้ไม่มีเงินซื้อเนื้อสัตว์ ดังนั้นจึงซื้อได้เพียงฟักทองและหัวไชเท้าเจ้าค่ะ”
เมื่อพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เจียงหรูฉินรู้สึกหดหู่เหลือเกิน
นางมิรู้ว่าเงินสำหรับซื้อผักและเนื้อสัตว์ในจวนสามารถใช้ได้กี่วัน
คราวก่อน เงินเดือนของพวกคนรับใช้ถูกแจกจ่ายหมดแล้ว
คราวนี้หลินเมิ้งหยาไม่ใจดีอีกต่อไป
“เจ้าบอกว่ากุญแจทุกดอกในจวนอยู่ที่เจ้ามิใช่หรือ? กุญแจคลังเก็บเงินเล่า?”
พระสนมเต๋อเฟยฟาดตะเกียบลงบนโต๊ะ มองดูเด็กสาวตรงหน้า
ตอนแรกคิดว่าการมอบอำนาจในการดูแลจวนให้เด็กคนนี้จะทำให้หลินเมิ้งหยาต้องทุกข์ระทม
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่ต้องทนทุกข์จะกลายเป็นตัวเอง
“นางเอ่ยว่าคลังเก็บเงินไม่มีเงินแล้ว แต่ข้าได้ยินมาว่าอันที่จริงนางย้ายเงินจากคลังไปเก็บไว้ในห้องเก็บของเล็กของตนเองทั้งหมด ฉินเอ๋อร์โกรธมาก เคยไปถามไถ่อยู่หลายครั้ง แต่นางกลับบอกว่าของเหล่านั้นคือสินเดิมของนาง ไม่ว่าใครก็ห้ามแตะต้อง”
เจียงหรูฉินเอ่ยด้วยท่าทางน่าสงสาร เรื่องพวกนี้หลิวเอ๋อร์เป็นคนแต่งขึ้น
ตอนแรกนางคิดจะไปฟ้องท่านป้าแต่กลับถูกหลิวเอ๋อร์ห้ามเอาไว้
หากทำเช่นนี้ ท่านป้าจะยิ่งโกรธเกรี้ยว
สบตากับหลิวเอ๋อร์เพื่อชื่นชมนาง
ตอนนี้คนที่กำลังจะซวยคือหลินเมิ้งหยา
ท่านป้าหาใช่คนที่หลินเมิ้งหยาจะต่อกรด้วยได้
“เจ้าว่าอะไรนะ? ไร้เหตุผลยิ่งนัก ไปตำหนักหลิวซินกับข้า ข้าอยากรู้เหลือเกินว่าใครบังอาจสั่งให้นางนำเงินของจวนไปไว้ที่นั่น”
พระสนมเต๋อเฟยผุดลุกขึ้น พาสาวใช้และคนทั้งหมดไปยังตำหนักหลิวซิน
เพียงเดินมาถึง พวกนางทันเห็นสาวใช้กำลังยกอาหารอันโอชะเข้าไปในตำหนักหลิวซิน
ตลอดสามวันที่ผ่านมา พวกนางที่มิได้ลิ้มรสอาหารชั้นเลิศต่างพากันน้ำลายสอ
“ร้ายนักนะนังลูกสะใภ้ตัวดี ปล่อยให้ข้ากินแต่อาหารหมู แต่ตัวเองกินอาหารอร่อย”
เจียงหรูฉินรู้ว่าโอกาสมาถึงแล้ว ในที่สุดสีหน้าของพระสนมเต๋อเฟยก็ถมึงทึงกว่าเดิมหลายเท่า
“พระสนมเต๋อเฟยเสด็จ…”
เสียงขันทีร้องประกาศ
บางทีอาจเพราะไม่ได้กินอาหารดีๆ มาหลายวัน ดังนั้นเสียงของเขาจึงราวกับคนหมดแรง
“ลูกสะใภ้ขอถวายคำนับหมู่เฟย”
หลินเมิ้งหยากลับไร้ซึ่งท่าทางกระวนกระวาย นางยังคงมีกิริยาท่าทางเหมือนเดิมทุกประการ
มองดูเจียงหรูฉินที่กำลังขบฟันเข้าหากันแน่น
“คุณหนูสกุลหลินตัวดี เปิ่นกงขอถามเจ้าหน่อยว่าเจ้าขนเงินของจวนทั้งหมดมาไว้ที่ห้องเก็บของเล็กของเจ้าใช่หรือไม่”
ไร้ซึ่งเยื่อใย ดูท่าพระสนมเต๋อเฟยคงเกลียดชังนางแล้วจริงๆ จึงเอ่ยถามตามตรงโดยไม่ถนอมน้ำใจกันเช่นนี้
หลินเมิ้งหยาคุกเข่าลงตรงหน้าพระสนมเต๋อเฟยอย่างว่านอนสอนง่าย
“เป็นเช่นนั้นเพคะ ท่านอ๋องเอ่ยว่าคลังเก็บเงินเก่ามากแล้ว ฉะนั้นจึงให้หม่อมฉันนำเงินทั้งหมดมาไว้ที่ห้องเก็บของเล็ก”
เมื่อได้เห็นท่าทางอารมณ์ดีของหลินเมิ้งหยา แม้แต่พระสนมเต๋อเฟยและเจียงหรูฉินก็นึกไม่ถึง
สายตาเย็นชาจับจ้องมองทางหลินเมิ้งหยา พระสนมเต๋อเฟยเอ่ยสำทับ
“หากเจ้ายอมรับก็ดี ตอนนี้จงนำเงินออกมาให้หมด”
พระสนมเต๋อเฟยมองหลินเมิ้งหยาด้วยหางตาพร้อมออกคำสั่งเสียงเย็น
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับแย้มยิ้ม ก่อนจะเอ่ยปฏิเสธ
“เหนียงเหนียงอาจลืมไป พระองค์เคยรับสั่งว่าแม้แต่พระองค์ก็ไม่อาจนำเงินออกไปได้ หากมิแสดงตราประทับคู่ของพระองค์และท่านอ๋องที่ประทับไว้ด้วยกัน หากพระองค์แสดงตราประทับ เช่นนั้นหม่อมฉันก็จะหยิบเงินออกมาให้เพคะ ลูกสะใภ้พยายามปกป้องดูแลตามคำสั่งของหมู่เฟย หากหมู่เฟยนำตราประทับมาแสดงต่อหน้าหม่อมฉัน เช่นนั้นหม่อมฉันจะมอบเงินทุกตำลึงให้แก่หมู่เฟยโดยไม่ขาดแม้แต่อีแปะเดียวเพคะ”
คำโต้เถียงของหลินเมิ้งหยาทำให้พระสนมเต๋อเฟยพูดไม่ออก
นางเพิ่งจำได้ว่าตนเองเคยพูดเช่นนั้น
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะนำมันมาใช้ประโยชน์เช่นนี้
“ได้ เช่นนั้นเปิ่นกงจะไปนำตราประทับมาให้เจ้า จิ้งเยว่ จงไปนำตราประทับมา”
ทว่าท่านน้าจิ้งเยว่ซึ่งยืนอยู่ด้านข้างกลับเอี้ยวตัวเข้าไปกระซิบข้างหูพระสนมเต๋อเฟย
“เจ้าว่าอะไรนะ?”
คิ้วของพระสนมเต๋อเฟยขมวดเข้าหากัน สายตามองทางจิ้งเยว่
“ทูลเหนียงเหนียง นับตั้งแต่วันที่ออกจากวัง หนู่ปี้ก็ไม่เคยเห็นตราประทับอันนั้นเลยเพคะ”
ครู่ต่อมา อย่าว่าแต่หลินเมิ้งหยา แม้แต่พระสนมเต๋อเฟยยังแทบไม่อยากจะเชื่อ
ไม่มีตราประทับ หากบังคับให้หลินเมิ้งหยาเปิดประตูเพื่อเอาเงิน เช่นนั้นก็มิต่างอะไรจากการที่นางกลืนน้ำลายตัวเอง
ตอนนี้นางเริ่มนึกเสียใจภายหลังเสียแล้วที่พูดเรื่องนี้ต่อหน้าทุกคน
“เจ้า…เจ้าทำได้ดีมาก เจ้าจำคำพูดของเปิ่นกงได้ทุกกระเบียดนิ้ว ฉินเอ๋อร์ จงนำกุญแจและสมุดบัญชีคืนให้แก่พี่สะใภ้ของเจ้า”
เรื่องราวกลับตาลปัตร
ไม่มีใครคาดคิด เจียงหรูฉินที่เพิ่งจะครองอำนาจในจวนได้เพียงสามวัน แต่กลับถูกยึดอำนาจคืนให้แก่พระชายาเสียแล้ว
“ท่านป้า ข้า…”
เรื่องราวเป็นเช่นนี้ไปแล้ว เมื่อถึงเวลาคืนก็ต้องคืน
ทว่าในสายตาของทุกคน เจียงหรูฉินไม่มีแม้แต่หน้าให้รู้สึกอับอาย
“เปิ่นกงบอกว่าเอาคืนพี่สะใภ้เจ้าไป ไม่ได้ยินหรือ?”
เจียงหรูฉินคิดไม่ถึงเลยว่าท่านป้าจะทำเช่นนี้
นางเบิกตากว้าง จ้องมองหลินเมิ้งหยาด้วยความโกรธแค้น ราวกับต้องการจะจับนางกินอย่างไรอย่างนั้น
“เจ้าค่ะ หลิวเอ๋อร์ จงนำของไปคืนให้พี่สะใภ้”
เจียงหรูฉินกัดฟันออกคำสั่ง แสดงถึงความโกรธเกรี้ยวในใจของนางอย่างชัดเจน
“พี่สะใภ้ เก็บเอาไว้ให้ดีล่ะ อย่าทำหาย”
ป๋ายซ่าวก้าวขึ้นมาข้างหน้าเพื่อรับ ใครจะรู้ว่าเจียงหรูฉินต้องพ่ายแพ้อย่างน่าอดสูเช่นนี้
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับยังไม่หยุดเรื่องราวแต่เพียงเท่านี้ กลับกันนางเข้าไปหยิบของในมือของป๋ายซ่าว ก่อนจะเอ่ย
“การดูแลจวนนั้นไม่ง่าย การเป็นผู้ดูแลก็ไม่ง่ายเช่นเดียวกัน ลูกสะใภ้อายุยังน้อย มิรู้ความเท่าไรนัก ด้วยเหตุนี้เชิญหมู่เฟยรับของเหล่านี้กลับไปเถิดเพคะ”
ไม่ว่าใครต่างก็คิดไม่ถึงว่าหลินเมิ้งหยาจะดันของเหล่านั้นกลับ
มีเพียงพระสนมเต๋อเฟยคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าหลินเมิ้งหยากำลังประท้วง
อำนาจในการดูแลจวน ใช่ว่านางบอกว่าจะคืนก็คืนกลับไปได้
ราวกับว่านางมิเคยปรึกษาหรือนึกถึงหัวใจของหลินเมิ้งหยาเลย
ฉะนั้นเด็กคนนี้จึงมีปฏิกิริยาแข็งขืนเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้น นางพิจารณาคนข้างกาย แต่ไม่มีใครจะทำหน้าที่นี้แทนได้
หลินเมิ้งหยาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพระสนมเต๋อเฟยกำลังลำบากใจ
“นี่เจ้ากำลังจะทำอะไร?”
แม้จะเกลียดชังหลินเมิ้งหยาจับจิตจับใจ
ทว่าสีหน้าของนางกลับอ่อนโยนลง
ยื่นมือเข้าไปประคองหลินเมิ้งหยา ก่อนจะจ้องมองนางด้วยความรักใคร่
“พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เหตุใดจึงพูดเหมือนเป็นคนอื่นเช่นนั้นเล่า เปิ่นกงเพียงแค่อยากให้ฉินเอ๋อร์เรียนรู้งานบ้านงานเรือนเพื่อที่จะได้ช่วยเจ้าในอนาคต ทว่าฉินเอ๋อร์กลับไม่ได้เรื่อง ยังไม่ทันไรก็ทำงานในจวนวุ่นวายยุ่งเหยิง เจ้าเป็นพี่สะใภ้ของนาง เช่นนั้นช่วยดูแลนางหน่อยเถิด”
ไม่ว่าใครก็มองออก เวลานี้พระสนมเต๋อเฟยทำได้เพียงพูดจาเสียงอ่อนเสียงหวานแต่เพียงเท่านั้น
หลินเมิ้งหยามิใช่ลูกพลับนุ่มนิ่มที่คิดจะหยิกนางก็สามารถทำได้ง่ายๆ
แต่ถ้าหากนางยังดึงดันต่อไป เกรงว่าพระสนมเต๋อเฟยคงหมดความอดทน
หลินเมิ้งหยายกยิ้มเชิงขอโทษ
“หมู่เฟยอย่ารับสั่งเช่นนั้นเลยเพคะ ไม่ว่าอย่างไร คุณหนูเจียงก็เป็นญาติสนิทของพวกเรา หม่อมฉันต้องคอยดูแลนางอยู่แล้ว หมู่เฟยโปรดวางพระทัย”