เมื่อพระสนมเต๋อเฟยต้องโน้มตัวลงมาพยุงนางด้วยตนเอง หลินเมิ้งหยาจึงรู้สึกว่านางได้รับชัยชนะในสงครามชิงอำนาจการปกครองจวนอย่างแท้จริง
แม้เจียงหรูฉินจะไม่ยินยอม แต่ก็มิอาจทำอะไรได้
เหตุเพราะพระสนมเต๋อเฟยเป็นคนรับสั่งด้วยตนเอง
แต่สิ่งที่เจียงหรูฉินไม่อยากจะยอมรับที่สุดคือทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความตั้งใจของพระสนมเต๋อเฟย แต่เพราะเหตุใดท้ายที่สุดแล้วคนที่ต้องพ่ายแพ้กลับเป็นนาง
ทำไมเหตุการณ์จึงกลับตาลปัตรเช่นนี้?
ทำได้เพียงจำยอม เหตุเพราะนางมิอาจโต้เถียงพระสนมเต๋อเฟยได้
“หมู่เฟยกับน้องหรูฉินยังมิได้เสวยใช่หรือไม่เพคะ หม่อมฉันจะรีบสั่งโรงครัวให้ทำอาหารเพิ่มอีกสองสามอย่าง เชิญทั้งสองรับประทานร่วมกันเถิด”
หลินเมิ้งหยาจงใจเอ่ยเช่นนี้ออกมา
ทว่าเพื่อรักษาหน้า พระสนมเต๋อเฟยและเจียงหรูฉินไม่มีทางรับประทานอาหารด้วย
“ไม่ต้องหรอก เปิ่นกงกินมาแล้ว ฉินเอ๋อร์ พวกเรากลับ”
เจียงหรูฉินกลับไปพร้อมกับพระสนมเต๋อเฟยด้วยความจำใจ สีหน้ายังคงแข็งทื่อ ทว่านางกลับไม่มีทางเลือก
“ถวายคำนับเหนียงเหนียง”
หลินเมิ้งหยานำคนทั้งหมดออกไปส่งพระสนมเต๋อเฟยและเจียงหรูฉิน
“นายหญิง ลุกขึ้นเถิดเจ้าค่ะ พวกเขาไปกันหมดแล้ว”
ป๋ายซ่าวพยุงนายหญิงของตนขึ้นมา ประตูใหญ่ของตำหนักปิดสนิทอีกครั้ง
เรื่องนี้จะพาลโกรธนางไม่ได้ หากพระสนมเต๋อเฟยไม่หาเรื่องหลินเมิ้งหยาก่อน วันนี้คงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
ทว่าแม้แต่นางยังรู้สึกประหลาดใจ
สรุปแล้วนายหญิงทำความผิดอะไร เหตุใดพระสนมเต๋อเฟยจึงได้เกลียดชังนายหญิงถึงเพียงนี้?
“อืม ทุกคนแยกย้ายกันเถิด วันนี้ลำบากพวกเจ้าแล้ว ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป พวกเราต้องเพิ่มการระวังตัวให้มากขึ้น”
วันนี้ไม่เพียงแต่สาวใช้ทั้งสี่และหลินเมิ้งหยา แม้แต่พวกผอจื่อก็ถูกร่างแหไปด้วย
การกลับมาดูแลจวนในคราวนี้จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จ หลินเมิ้งหยานั่งก้มหน้าครุ่นคิดเพียงลำพังที่ข้างหน้าต่าง
บางทีอาจเพราะความเหนื่อยล้า นางจึงเกิดอาการสะลึมสะลือก่อนจะหลับไป
แม้เงาดำของร่างหนึ่งจะปรากฏต่อหน้า นางก็ไม่รู้สึกตัว
หลังจากถอนหายใจเบาๆ แล้ว เจ้าของเงาดำก็เดินเข้าไปหยิบผ้าห่มมาคลุมร่างของนาง
หลินเมิ้งหยาที่ตกใจตื่นลืมตาโพลง
ก่อนจะต้องรู้สึกประหลาดใจที่ได้เห็นหลงเทียนอวี้
“พระสนมเต๋อเฟยมิให้พระองค์มาที่นี่ แล้วเหตุใดพระองค์จึงมาที่นี่ได้เพคะ?”
เสียงหวานเจือความขุ่นเคือง
หากมิใช่เพราะหลงเทียนอวี้ นางก็ไม่จำเป็นต้องสู้รบปรบมือกับใคร
“หมู่เฟยนาง…เจ้า…อดทนอีกหน่อยนะ ได้หรือไม่?”
หลินเมิ้งหยาที่มิเคยเสียน้ำตาต่อหน้าผู้อื่นง่ายๆ มิรู้ว่าเพราะเหตุใด หลังจากที่ได้ยินประโยคนี้ของหลงเทียนอวี้ ขอบตาของนางพลันแดงก่ำ
ราวกับพยายามจะหยุดยั้งหยดน้ำตาเอาไว้มิให้หยาดหยด แต่นางพบว่ายิ่งทำเช่นนี้ นางก็ยิ่งรู้สึกทรมาน
หยดน้ำตารินไหลลงเปรอะเปื้อนใบหน้านวล
ร้องไห้ประหนึ่งแมวน้อยน่าสงสาร
“พระองค์รู้หรือไม่ หม่อมฉันไม่อยากดูแลจวนแห่งนี้ หม่อมฉันไม่อยากสู้รบปรบมือกับใคร หม่อมฉันเพียงแค่อยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุข เพราะอะไร…เหตุใดทุกคนจึงปฏิบัติกับหม่อมฉันเช่นนี้? เหตุใดจึงเคียดแค้นหม่อมฉันนัก? หรือเพราะหม่อมฉันเป็นพระชายาของพระองค์กระนั้นหรือ? เช่นนั้น…หม่อมฉันก็ไม่อยากเป็นพระชายาอีกต่อไปแล้ว”
ราวกับเด็กน้อยร้องไห้กระจองอแง
เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น นางคือพระชายาอวี้ผู้ชาญฉลาดและสุขุมรอบคอบ
แต่ทุกคนย่อมมีช่วงเวลาอ่อนแอมิใช่หรือ?
นางมิใช่หุ่นยนต์ไร้หัวใจ นางยังมีมุมอ่อนไหวอยู่
“ข้า…”
เขาสามารถอดทนต่อความโหดเหี้ยมอำมหิตของนาง หรือแม้แต่ยอมรับความฉลาดเฉลียวผิดมนุษย์ของนางได้
แต่สิ่งเดียวที่เขาไม่อาจเผชิญหน้าและอดทนได้ก็คือหยดน้ำตาของนาง
หยดน้ำตาสีใสน่าทะนุถนอมดั่งไข่มุกล้ำค่า
แต่เพราะเปราะบางเกินไป เขาไม่มีความสามารถแม้แต่จะหยุดยั้งได้
“ข้าจะปล่อยเจ้าไป”
นางพูดถูก เหตุเพราะนางเกี่ยวข้องกับเขา ชีวิตของนางจึงไม่มีวันสงบสุข
“พระองค์พูดอะไร?”
หลินเมิ้งหยาลืมตาโต มองทางหลงเทียนอวี้
“ข้าจะปล่อยเจ้าไป เมื่อถึงเวลา ข้าจะ…”
“ปัง” เสียงดังขึ้น ชั่วขณะที่หลงเทียนอวี้มิทันตั้งตัว แก้วชาใบเล็กถูกยกขึ้นมา
“ไล่ข้าอย่างนั้นหรือ!”
แก้วชาลอยขึ้นกลางอากาศ ลอยหวือไปทางดวงตาข้างขวาของหลงเทียนอวี้
เขายกมือรับแก้วชาใบนั้นไว้อย่างรวดเร็ว ทว่ากลับเห็นหญิงสาวตรงหน้าปิดหน้าต่างลงไปแล้ว
“ต่อจากนี้ไปอย่ามาที่นี่อีก! ไป จะไปไหนก็ไป!”
หลินเมิ้งหยาหันหลังเข้าหาหน้าต่าง ขอบตาเปียกชื้นอีกครั้ง
เหตุใดเขาจึงเอ่ยเช่นนี้ออกมา? จะไล่นางไป? เขาพูดออกมาได้อย่างไร
นางสะอื้นไห้เพราะความโศกเศร้า
ที่แท้หัวใจของหลงเทียนอวี้ไม่เคยมีที่ว่างให้นางเลยแม้แต่น้อย
ไล่นางไป จากนั้นจะเปลี่ยนพระชายาคนใหม่มาแทนที่?
หลงเทียนอวี้…แผนสูงนักนะ!
ได้ เช่นนั้นนางจะไป นางจะรีบไปจากเขาให้เร็วที่สุด
เสียงร้องไห้ในห้องทำให้หัวใจของหลงเทียนอวี้บีบตัวเข้าหากันแน่น
ยกมือขึ้น คิดอยากเคาะหน้าต่าง แต่สุดท้ายก็ปล่อยแขนให้ตกลงข้างตัวดังเดิม
บางที…การจากไปอาจดีกับหลินเมิ้งหยาที่สุด
มือกำแก้วชาแน่น หลงเทียนอวี้หมุนตัวเดินออกจากตำหนักหลิวซิน
“เจ้าหนู เจ้าจะไปไหน?”
ที่มุมหนึ่งของตำหนัก หลินจงอวี้ที่เฝ้ามองเหตุการณ์ทุกอย่างคิดจะเข้าไปในห้องเพื่อปลอบโยนหลินเมิ้งหยา
ทว่าเขากลับถูกชิงหูที่กำลังจับตามองอยู่เช่นเดียวกันรั้งเอาไว้
“ปล่อยข้า ข้าจะไปหาพี่สาว”
หลินจงอวี้ไม่เคยเห็นพี่สาวร้องไห้เสียใจมากมายขนาดนี้มาก่อน คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่น คิดอยากจะเข้าไปพูดคุยกับพี่สาว
“ข้ารู้ว่าเจ้าเจ็บปวดใจ ข้าเองก็เช่นเดียวกัน แต่ตอนนี้เจ้าเด็กน้อยไม่อยากพบหน้าใครทั้งนั้น”
ชิงหูเองก็อารมณ์ไม่ดีไม่ต่างอะไรจากหลินจงอวี้
เจ้าบ้าหลงเทียนอวี้ เขาควรจะถูกแล่เนื้อเถือหนังออกมาให้สิ้นซาก!
เจ้าเด็กน้อยของเขามิควรถูกใครหน้าไหนรังแกทั้งนั้น
“พวกเรามาคิดหาวิธีปลอบใจเจ้าเด็กน้อยกันดีกว่า หรือว่าพวกเราจะไปจัดการเจ้าคนหน้าไม่อายคนนั้นเพื่อขจัดเสี้ยนหนามให้เจ้าเด็กน้อยดี?”
ข้อเสนอของชิงหูตรงกับหนึ่งในความคิดชั่วร้ายของหลินจงอวี้
มองดูประตูห้องนิ่ง สายตาของทั้งคู่ปรากฏร่องรอยความเจ้าเล่ห์
หลงเทียนอวี้ วันนี้เจ้าต้องตาย!
เมื่อร้องไห้จนเหนื่อยหลินเมิ้งหยาก็หลับไปบนพื้น
ขณะที่กำลังสะลึมสะลือ นางรู้สึกว่ามีมือของใครบางคนกำลังลูบไล้ใบหน้าของตน
ตาปิดสนิท เบือนหน้าหนีสัมผัสที่ไม่คุ้นเคยบนใบหน้า
“อย่าเล่นน่า เจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ข้ายังอยากนอน”
ทว่าฝ่ายตรงข้ามไม่สนใจ ทั้งยังหลุดหัวเราะออกมาแผ่วเบา
“บนพื้นเย็นนะ ลุกขึ้นมานอนด้านบนเถิด”
เสมือนเสียงออดอ้อนของหนุ่มน้อย น้ำเสียงเจือความเจ้าเล่ห์
“ไม่เป็นไร…”
หลินเมิ้งหยาที่กำลังตกอยู่ในอาการสะลึมสะลือเบิกตาโพลง มองดูคนที่อยู่ตรงหน้าของตนเอง ทว่านางกลับเห็นไม่ชัด
เอ๋? ทำไมเวลาเพียงแค่คืนเดียว เสี่ยวอวี้ถึงโตขึ้นมากขนาดนี้เล่า?
ไม่ใช่!
หลินเมิ้งหยารีบตั้งสติ มองดูคนตรงหน้าด้วยความหวาดระแวง
เขา…ไม่ใช่เสี่ยวอวี้!
“เจ้าเป็นใคร?”
ขยับตัวไปชิดผนัง หลินเมิ้งหยากอดผ้าห่ม มองดูหนุ่มน้อยตรงหน้าด้วยความระแวดระวัง
เพราะเหตุนี้นางจึงเข้าใจผิดคิดว่าเขาคือเสี่ยวอวี้
ชายหนุ่มตรงหน้าดูอายุมากกว่าเสี่ยวอวี้หลายปี
ชุดสีฟ้าน้ำทะเลทำให้เขาดูมีเสน่ห์เย้ายวน
ใบหน้าขาวนวลสะอาดสะอ้าน โครงหน้าคมเข้มหล่อเหลาเหมือนกับหลินจงอวี้ ทว่าใบหน้าของชายหนุ่มคนนี้ดูเจ้าเล่ห์กว่ามาก
“ข้าเป็นใคร? เจ้าลองเดาดูเถิด หากเจ้าเดาถูก ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า หากเจ้าทายผิด ข้าจะกรีดหน้าของเจ้าให้เสียโฉม”
ชายหนุ่มหัวเราะ หยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งออกมาจากวงแขน
ทว่าสีหน้าของหลินเมิ้งหยากลับไร้ซึ่งความหวาดกลัว
“หากเจ้ากล้าทำร้ายข้า ข้าสาบานเลยว่าเจ้าไม่มีทางออกไปจากตำหนักแห่งนี้ได้แน่”
เย่กับชิงหูมัวทำอะไรอยู่ ห้องของนางมีคนบุกรุกเข้ามา เหตุใดพวกเขาจึงไม่รู้สึกตัว?
“ฉลาดยิ่งนัก ถูกต้อง ตำหนักของเจ้าเข้ามามิได้ง่ายๆ เลย สายตาของเจ้าขยะนั่นแหลมคมยิ่งนัก แม้แต่ข้ายังอดที่จะหวั่นไหวกับเจ้าไม่ได้”
ชายตรงหน้าแสดงความคิดชั่วร้ายออกมา
หลินเมิ้งหยามองทะลุเข้าไปในดวงตาของเขา นางได้เห็นความโหดเหี้ยมอำมหิตในนั้น
ผู้ชายคนนี้โหดเหี้ยมกว่าชิงหูสมัยก่อนมาก
เขา…มิใช่คู่ต่อสู้ที่จะประมือด้วยได้ง่ายๆ
“เจ้ามีความแค้นกับเสี่ยวอวี้อย่างนั้นหรือ? ไม่ ตกลงเจ้าเป็นอะไรกับเขากันแน่?”
หลินเมิ้งหยาเริ่มรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมา
เจ้าขยะอย่างนั้นหรือ? ตอนนี้เสี่ยวอวี้เป็นคนของนาง เขาไม่ควรถูกผู้อื่นเรียกเช่นนี้
“ข้ากับเจ้าขยะนั่นเกี่ยวข้องกันเช่นไร? เขา…ก็แค่พวกไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงก็เท่านั้น ฐานะของเขามิอาจเทียบข้าได้”
ชายตรงหน้าใช้ปลายมีดเชยคางหลินเมิ้งหยาขึ้น
สายตาเย็นชาดุจน้ำแข็ง
“แม่นาง หากเจ้าไม่อยากให้เขาตาย เจ้าจงจับตาดูเขาให้ดี อย่าให้เขาเข้ามายุ่งกับสิ่งที่มิใช่ของของตนเอง”
หลินเมิ้งหยาจ้องตาของเขานิ่ง ไม่เอ่ยอะไร
ทั้งสองจ้องตากันไม่ไหวติง ไม่ว่าใครต่างก็ไม่คิดจะเป็นฝ่ายละสายตาก่อน
“คิก คิก น่าสนใจ น้องสาวของหลินหนานเซิง หากมีโอกาส ข้าอยากลองชิมหัวใจของเจ้าเหลือเกิน”
เมื่อพูดจบเขาก็ชักมีดกลับ
มองดูหลินเมิ้งหยาอย่างสนอกสนใจ ก่อนจะผลุบหายไปจากประตูห้อง
หลังจากร่างของชายคนนั้นหายไปแล้ว
หลินเมิ้งหยาสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ว่าแผ่นหลังของตนเองมีเหงื่อออกท่วมขนาดไหน
เกือบหัวใจวายตายแล้ว! หลินเมิ้งหยาตบหน้าอก หากมิใช่เพราะประตูยังเปิดอยู่ หลินเมิ้งหยาคงคิดว่าตนเองกำลังฝันร้าย
ภายในห้อง กลิ่นหอมเย็นๆ เตะจมูก หลินเมิ้งหยาผินหน้าไปมอง ก่อนจะเห็นเป็นกุหลาบดอกหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ
ชิ เจ้าโรคจิต!
หยิบดอกกุหลาบขึ้นเพ่งพิศ กลิ่นหอมเย็นๆ โชยมาจากดอกกุหลาบดอกนี้
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจซ่อนดอกกุหลาบดอกนี้เอาไว้
หัวใจหนักอึ้ง
ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก
ดูเหมือนเสี่ยวอวี้จะยังไม่รู้เรื่องนี้ นางควรปิดบังเอาไว้
ฐานะของหลินจงอวี้จะต้องเหนือความคาดหมายของนางอย่างแน่นอน
สวรรค์โปรด เหตุใดต้องเกิดเรื่องกับนางทุกที?