ไป่เซียงพยักหน้าอย่างกระจ่างแจ้งและอุทานขึ้นอีก “เช่นนี้ว่าไปแล้วทางฝั่งฮูหยินผู้เฒ่า…”
“เกรงว่าต้องเกิดเรื่องขุ่นเคืองใจแน่นอน” เจียงซื่ออุทานแล้วหันหลังเดินออกไปข้างนอก “ทว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับพวกเรา แค่รอดูเท่านั้นก็พอ”
ทั้งสองนายบ่าวออกจากประตู เหล่าสาวใช้กลางสวนก็รีบติดตามเจียงซื่อมุ่งหน้าไปยังเรือนที่พักของฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง
เวลาผ่านหนึ่งวันอย่างว่างเว้น เหยาเยี่ยนอวี่อุดอู้อยู่ในเรือนอย่างเบื่อหน่าย แต่ก่อนนางยังปลูกสมุนไพรในสวนของตนเองอย่างสบายใจ ทว่าเพราะว่าครั้งนี้ที่เข้าเมืองหลวงไป สมุนไพรเหล่านั้นถูกเก็บเกี่ยวและนำไปแปรรูปหมดไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้ในสวนมีเพียงดอกไม้ไร้ประโยชน์ แม้กระทั่งแมวและสุนัขก็ยังไม่มีเลี้ยงไว้ ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก
โชคดีที่เหยาเหยียนอี้ไม่ลืม นางกลับสั่งให้เสวี่ยเหลียนมาส่งสารบอกว่าตอนเที่ยงจะพาคุณหนูรองออกไปและได้บอกฮูหยินแล้ว
ดังนั้นเหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกปลื้มปริ่มขึ้นมา เลยสั่งให้ชุ่ยเวยเอาเสื้อผ้าออกจวนมา ชุ่ยเวยจึงอุ้มชุดบุรุษมาสามชุดอย่างร่าเริง เหยาเยี่ยนอวี่เห็นจึงยิ้มจนตาหยีแล้วเลือกชุดคลุมสีขาวนวล
เสื้อผ้าบุรุษพวกนี้เฝิงโมโม่แก้ตามรูปร่างของเหยาเยี่ยนอวี่ ตอนสวมใส่เลยพอดีตัว คุณหนูรองแห่งตระกูลเหยาจึงกลายเป็นบุรุษนัยน์ตาแววใสและอ่อนโยนดั่งหยกรูปงามในพริบตา
“พวกเราติดตามคุณหนูออกไปก็ต้องเปลี่ยนชุดบุรุษด้วยเจ้าค่ะ” ชุ่ยผิงพูด ไปเอาเสื้อแขนสั้นสีเขียวและกางเกงสีนิลออกมาสองชุด นี่เป็นชุดตามมาตรฐานของจวนข้าหลวงใหญ่ผู้ปกครองสองเมืองที่พวกบ่าวสวมใส่ นางแบ่งให้ชุ่ยเวยหนึ่งชุด ทั้งสองจึงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมกัน
เหยาเยี่ยนอวี่ขมวดคิ้วแล้วอุทานขึ้นมาทันที “พวกเราออกไปในสภาพนี้ หากบังเอิญเจอนายท่านผู้เฒ่าเข้าจะทำเช่นไร”
หลานเหลียนพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณชายรองบอกว่ารถม้าคอยอยู่หลังสวนพฤกษาตรงประตูทิศตะวันออกเจ้าค่ะ ตอนคุณหนูรองออกจากสวน นายท่านผู้เฒ่ากำลังพบปะกับแขกที่ห้องอักษรเรือนหน้าอยู่เจ้าค่ะ ต้องไม่ได้เจอกันแน่นอนเจ้าค่ะ”
“เช่นนี้ก็ดี” เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจแล้วกำชับชุ่ยเวยให้นำของจำเป็นไปด้วยแล้วเดินออกไปอย่างเร่งรีบ
จริงๆ แล้วความแตกต่างระหว่างชายหญิงในราชวงศ์ต้าอวิ๋นไม่ได้เคร่งครัดถึงเพียงนั้น แม่นางที่ยังไม่ออกเรือน ออกไปข้างนอกเจอะเจอกับบุรุษนอกจวนได้ แค่ต้องมีพี่ชายคอยอยู่ข้างๆ เท่านั้น
ทว่าเหยาเยี่ยนอวี่ยังคงรู้สึกสวมใส่เสื้อผ้าบุรุษคงจะสะดวกยิ่งกว่า อย่างน้อยก็หลีกเลี่ยงเรื่องซับซ้อนที่เกี่ยวกับกฎระเบียบและมารยาทอันพิธีรีตองที่แม่นางต้องปฏิบัติ ประสานมือคารวะอย่างและเรียกคนอื่นว่าสหายอย่างเปิดเผยได้ จึงหลีกเลี่ยงเรื่องซับซ้อนไปได้ไม่น้อย
ก่อนเหยาเยี่ยนอวี่จะขึ้นรถม้าก็เห็นเว่ยจางพาทหารรักษาการณ์มาสองสามนาย แล้วยังมีที่ไม่รู้จักอีกไม่กี่คนยืนอยู่ตรงนั้น นางแค่พยักหน้าพลางส่งยิ้ม จากนั้นก็ขึ้นรถม้าไม่ต้องน้อมคำนับ ไม่ต้องน้อมทักทาย ช่างดียิ่งนัก
ครั้งนี้เหยาเหยียนอี้พาเหยาเยี่ยนอวี่ไปจวนอีกจวนของตระกูลเหยา จวนแห่งนี้ตั้งอยู่ริมน้ำ พื้นที่ไม่ใหญ่ ทว่าสิ่งปลูกสร้างกลับหรูหราอลังการมาก
รถม้าหยุดลงหลังถึงที่หมาย เหยาเยี่ยนอวี่ลงไปแล้วมองสภาพแวดล้อมโดยรอบจึงอุทานขึ้นไม่หยุด เมืองหลวงอวิ๋นเจริญรุ่งเรืองเกินไป แม้กระทั่งเขตชานเมืองยังหาสภาพแวดล้อมที่สงบสุขเช่นนี้ไม่ได้ ว่าไปหากจะเกษียณอายุแล้ว ยังคงเป็นเจียงหนานที่ดีกว่า
เหยาเหยียนอี้เดินมาแล้วพูดขึ้น “สมุนไพรเด็ดมาได้บางส่วนแล้ว วันนี้พาน้องสาวมาก็เพื่อให้เจ้ามาดูงาน หากไม่มีอะไรผิดพลาดใดๆ ก็ขนชุดสมุนไพรนี้ไปที่เมืองหลวงก่อน”
“ข้าเข้าใจแล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า ที่แท้นางเป็นพนักงานตรวจสอบคุณภาพนี่เอง
ยอมรับว่าความสามารถในการทำงานของเหยาเหยียนอี้ไม่เลวจริงๆ แค่ระยะเวลาภายในสามวันก็ได้หญ้าห้ามเลือดไม่น้อยกว่าหนึ่งพันจินมาแล้ว อีกทั้งยังมีดักแด้ดินมากมาย และยังเลี้ยงพวกดักแด้ดินไว้ในตะกร้าสานไม้ไผ่ แต่ละตัวยังมีชีวิตอยู่
เหยาเยี่ยนอวี่มองไปแล้วพูดกับเหยาเหยียนอี้ “หญ้าห้ามเลือดต้องอบให้แห้ง ดักแด้ดินต้องใช้น้ำเกลือล้างแล้วค่อยคั่วให้สุกถึงจะง่ายต่อการขนส่ง”
เหยาเหยียนอี้พยักหน้า “สำหรับกระบวนการแปรรูปโดยรวมยังต้องให้น้องสาวสอนพวกเขา”
“แน่นอนเจ้าค่ะ ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย” เหยาเยี่ยนอวี่ต้องไม่เรียกร้องอะไรจากกระบวนการเหล่านี้อยู่แล้ว อีกอย่างคือยังไม่มีจิตใจจะไปเรียกร้องอะไรพวกนี้ด้วย
เหยาเหยียนอี้สั่งให้คนสองคนเข้ามาแล้วบอกให้พวกเขาฟังคำสั่งของเหยาเยี่ยนอวี่ ทั้งสองคนนี้เป็นบ่าวรุ่นที่สามของตระกูลเหยา พอเห็นเหยาเยี่ยนอวี่จึงน้อมทำความเคารพแล้วขานเรียก “คุณหนูรองขอรับ”
เหยาเยี่ยนอวี่บอกวิธีการอบแห้งให้กับพวกเขาไปหนึ่งรอบ จากนั้นก็ให้พวกเขาลองปฏิบัติ ทั้งสองจึงขานรับ
เหยาเหยียนอี้ชี้ไปยังศาลาข้างๆ แล้วพูดขึ้น “พวกเราไปรอตรงนั้นเถอะ”
ทั้งสองพี่น้องและเว่ยจางเดินไปในศาลาแล้วนั่งลงบนเก้าอี้หิน จากนั้นก็มีสาวใช้ยกขนมและผลไม้มา เหยาเหยียนอี้สั่งให้สาวใช้เอาเตาเผาดินแดงไปต้มชามาหนึ่งกา
เหยาเหยียนอี้เป็นคุณชายที่สง่าผ่าเผยและพิถีพิถันในเรื่องชา เว่ยจางกลับเป็นบุรุษที่เติบโตในค่ายทหารเขตทิศตะวันตกเฉียงเหนือจึงไม่ได้ใส่ใจสิ่งเหล่านี้
เหยาเหยียนอี้ยกกาจื่อซา[1]ขนาดเล็กพลางรินน้ำชาด้วยตัวเอง จากนั้นก็ยกถ้วยน้ำชาจื่อซาอันหอมกรุ่นไปให้ตรงหน้าเว่ยจาง เว่ยจางจึงขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วยกมือใหญ่ประคองถ้วยน้ำชาขนาดเล็กไว้พลางปรายตามองเหยาเยี่ยนอวี่
เหยาเยี่ยนอวี่ก็ยกถ้วยน้ำชาของตนเองขึ้นมาสูดกลิ่นหอมของชาและลิ้มลองพลางขบคิดถึงรสชาติอย่างประณีต
เว่ยจางขมวดคิ้วอีกครั้งแล้วจิบน้อยๆ…ให้ตายเถอะ ร้อนชะมัด!
ใต้เท้าเหยายังเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ทัพเว่ย ชานี้เป็นอย่างไรบ้าง”
เว่ยจางพยักหน้า “อืม ไม่เลว” ขณะที่พูดก็เป่าน้ำชาในถ้วยแล้วดื่มน้ำชาที่เหลือหมดไปในคำเดียว
เหยาเหยียนอี้หัวเราะอย่างดีใจ “นี่เป็นชาที่พวกเราปลูกเอง ท่านปู่ชื่นชอบชา ทางตระกูลจึงเก็บสวนชาไว้หนึ่งผืน ขอพูดถ้อยคำที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำหน่อยเถอะ เกรงว่าชาชั้นดีเหล่านั้นก็คงประมาณนี้”
นี่ก็คือข้อดีของตระกูลที่มั่งมี? เพียงบรรพบุรุษชื่นชอบในการดื่มชา ก็มีสวนชาและผู้เชี่ยวชาญในการทำชาเป็นของตนเอ งอีกทั้งฝีมือการทำชายังสืบทอดมานับร้อยปี คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องคุณภาพ ระดับตระกูลเหยาย่อมไม่เลวไปกว่าราชวงศ์อยู่แล้ว
เว่ยจางแอบถอนหายใจ มิน่าล่ะ เหยาหย่วนจือเป็นเพียงปัญญาชนคนหนึ่ง กลับได้รับการให้ความสำคัญเป็นพิเศษจากกั๋วกง อ๋องโหวในเมืองหลวงอวิ๋น แม้ว่าตระกูลเหยาจะไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นโหวหรืออัครเสนาบดี ทว่ากลับมีรากฐานที่ไม่น้อยหน้าไปกว่าตระกูลพวกอ๋องและโหวเลย
ระหว่างที่เว่ยจางอุทานในใจ เหยาเหยียนอี้ก็เผยยิ้มอีกครั้ง “หากแม่ทัพเว่ยโปรดปราน ตอนขากลับก็นำชาสักสองจินกลับไป”
“จะทำแบบนั้นได้อย่างไร” เว่ยจางยิ้มบาง “ข้าเป็นเพียงคนหยาบกระด้าง คงไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้”
เหยาเหยียนอี้พูดด้วยรอยยิ้ม “ก็แค่ชาเล็กๆ น้อยๆ ดื่มแล้วถูกปากก็พอ ตลอดการเดินทางมานี้ท่านแม่ทัพคอยปกป้องพวกเราสองพี่น้องจากสิ่งอันตราย นี่ก็แค่สินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น น้องรอง เจ้าว่าใช่ไหม”
เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้มจาง “พี่รองกล่าวถูก ก็แค่สิ่งที่ปลูกในสวนของตระกูล เทียบไม่ได้กับของล้ำค่าเหล่านั้น ท่านแม่ทัพไม่ต้องเกรงใจหรอก”
ได้ยินเช่นนี้ เว่ยจางจึงมองเหยาเยี่ยนอวี่เพียงพริบตาแล้วพยักหน้า “ก็ได้ เช่นนั้นข้าก็จะไม่เกรงใจแล้ว”
เหยาเหยียนอี้พูดขึ้นอีก “ตอนเที่ยงพวกเราไปกินมื้อเที่ยงที่อู่ฟางไจเถอะ ข้าชวนท่านเซียวโหวด้วย ท่านแม่ทัพเว่ยเรียกรองแม่ทัพถังไปด้วย ทุกคนรวมตัวกันจะได้ครึกครื้นหน่อย”
“เซียวอี้มีธุระทางราชการเลยไปจวนใต้เท้าเจียง ขุนนางสังเกตการณ์หยางโจว วันนี้เกรงว่าคงไปไม่ได้แล้ว”
ขุนนางสังเกตการณ์หยางโจวคือพ่อตาของเหยาเหยียนเอิน มีหน้าที่รักษาความปลอดภัยในหยางโจว และยังครองอำนาจกองทัพเรือของเจียงหนาน เหยาเหยียนอี้จึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มแล้วพูดขึ้น “ไหนๆ ก็เป็นเช่นนี้แล้ว ก็คงมีเพียงท่านเซียวโหวกับพวกเราไม่กี่คน”
[1]กาจื่อซา คือ ดินสีม่วง แต่จริงๆ แล้วกาน้ำชาดินจื่อซานี้ จะออกสีน้ำตาลไหม้