เหยาเยี่ยนอวี่ดื่มชาไปสองสามถ้วยก็นั่งอยู่เฉยๆ ไม่ไหวอีกต่อไป จึงพูดขึ้น “ท่านพี่และท่านแม่ทัพนั่งคุยกันไปก่อน ข้าไปดูฝั่งโน้นหน่อย”
ที่นี่เป็นจวนที่อยู่อาศัยของตระกูลตนเอง นางเดินไปไหนก็ได้ตามใจอยาก เหยาเหยียนอี้พยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ไปเถอะ”
เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้าให้เว่ยจางพร้อมลุกขึ้นเดินจากไป ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงที่อยู่ด้านหลังต่างก็น้อมคำนับกล่าวอำลาและรีบติดตามไปทันที
จวนแห่งนี้เป็นทรัพย์สินส่วนบุคคลของเหยาเหยียนอี้ เป็นจวนที่สร้างติดผืนนา ในสวนมีคลองส่งน้ำหนึ่งสาย ในคลองปลูกดอกบัวและเลี้ยงปลาไว้ เหนือคลองสร้างสะพานเล็กๆ ไว้หนึ่งสะพาน ทั้งสวนไม่ได้ปลูกพืชพันธุ์ดอกไม้ไว้มากมาย มีเพียงต้นเหมยไม่กี่ต้นที่กำลังออกผลสีเขียวและแปลงผักหนึ่งแปลง อีกทั้งยังมีไม้ไผ่สานล้อมรอบเป็นรั้วไว้เลี้ยงไก่เป็ดห่าน ช่างเป็นจวนที่สะดวกสบายและน่าสนใจยิ่งนัก
ก่อนหน้านี้ หากเหยาเหยียนอี้มีเวลาว่างเว้นก็จะมาพักอาศัยอยู่ที่นี่ ดังนั้นเรือนที่พักจึงมีของใช้ครบครัน ปกติก็มีสาวใช้และบ่าวไพร่คอยทำความสะอาดอยู่ตลอดเวลา
เหยาเยี่ยนอวี่เดินไปเล่นไป เพราะในคลองมีเป็ดสีเทาและห่านสีขาวแหวกว่ายไปมาจึงรู้สึกสนใจ เลยเก็บหินโยนลงไปในน้ำเพื่อกลั่นแกล้งสัตว์เหล่านั้น เป็ดสีเทาหนึ่งตัวถูกหินเล็กกระทบก็ร้องก้าบ ก้าบ พลางกางปีกบินหนี เหยาเยี่ยนอวี่หัวเราะร่าเริงเหมือนเด็กน้อย
เหยาเหยียนอี้ที่อยู่อีกฝั่งได้ยินเสียงหัวเราะจึงมาดูแล้วส่ายหัวพลางอุทาน “ยัยหนูคนนี้โตจนป่านนี้ยังเล่นเหมือนเด็กๆ”
เว่ยจางมองไป นัยน์ตาเคล้าด้วยรอยยิ้ม “คนเราเกิดมาแค่ครั้งเดียว มีเวลาเพียงไม่กี่สิบปี แค่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก็พอ”
“คำๆ นี้กล่าวได้ถูกต้อง!” เหยาเหยียนอี้พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ต่อให้มีกิจการเป็นร้อยเป็นพันก็ยังไม่สุขสบายเช่นนี้เลย ผู้ที่เปิดใจกว้างเฉกเช่นแม่ทัพเว่ยนั้นไม่มากเลยจริงๆ ทำให้ข้านับถืออย่างยิ่ง”
เว่ยจางส่ายหัวพลางเผยยิ้ม “ใต้เท้าเหยาพูดจาขบขันแล้ว ข้าไม่ได้มีชีวิตที่สุขสบายเลย”
“แม่ทัพเว่ยได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้ คนมากมายปรารถนาและขวนขวายก็ยังไม่ได้มันมา” เหยาเหยียนอี้พูดไปก็รินน้ำชาให้เว่ยจาง
“ฮ่องเต้ก็ให้ความสำคัญกับใต้เท้าเหยาเช่นกัน” เว่ยจางรีบยกมือคารวะเพื่อแสดงการขอบคุณ
เหยาเหยียนอี้ชะงักมือมือที่กำลังรินน้ำชาไปเล็กน้อยแล้วพูดอย่างรื่นเริง “เช่นนั้นก็เพราะว่าวาสนาที่ข้ามีน้องสาวที่ดี”
เว่ยจางเผยยิ้มแล้วไม่มากความอะไรอีก
ทางฝั่งเหยาเยี่ยนอวี่เที่ยวเล่นไปสักพักหนึ่งทั้งร่างก็ซึมด้วยเหงื่อและค่อนข้างกระหายน้ำเลยหันหลังเดินกลับมา เหยาเหยียนอี้เห็นสภาพของนางจึงอดหัวเราะไม่ได้ “ดูเหงื่อบนหัวของเจ้าสิ เหตุใดถึงชอบกลั่นแกล้งสัตว์ปีกเหล่านั้น ตอนเที่ยงอยากกินแกงเป็ดตุ๋นหรือ”
เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้มน้อยๆ แล้วดื่มชาหนึ่งถ้วยหมดภายในคำเดียว พูดขึ้น “ที่ไหนกันเล่า! ข้าเห็นพวกมันขี้เกียจเกินไปเลยอยากให้พวกมันยืดเส้นยืดสายหน่อย”
“เหลวไหล” เหยาเหยียนอี้ยิ้มจนตาหยี
เว่ยจางเห็นถ้วยชาของนางว่างเปล่าจึงรินน้ำชาให้นาง
เหยาเยี่ยนอวี่ดื่มหมดภายในหนึ่งคำแล้วส่งยิ้มให้เว่ยจาง “ขอบใจเจ้ามาก”
“ไร้มารยาทสิ้นดี เหตุใดถึงพูดจาเช่นนี้กับท่านแม่ทัพ” ถึงแม้เหยาเหยียนอี้จะตำหนิ ทว่ายังคงยิ้มจนตาหยี
“ตามใจนางเถอะ” เว่ยจางเผยยิ้มแล้วรินน้ำชาให้เหยาเยี่ยนอวี่อีก
บังเอิญมีคนมาขอความช่วยเหลือจากเหยาเหยียนอี้ เหยาเหยียนอี้เห็นคนๆ นั้นค่อนข้างร้อนใจจึงเหยียดกายลุกขึ้นพลางออกจากศาลาทันที
เหยาเยี่ยนอวี่ดื่มชาไปสามถ้วยแล้ว เพิ่งสังเกตเห็นว่าตอนนี้เหลือแค่นางกับเว่ยจางอยู่กันสองคน จะว่าไปก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจอะไร นางไม่ใช่คนขี้อาย แค่ว่านางนั่งตรงกันข้ามกับคนๆ นี้เลยรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเท่านั้น
เหยาเยี่ยนอวี่เงยหน้ามองเขาเพียงชั่วพริบตา ประจวบกับที่เขากำลังมองตนเองพอดี ดังนั้นจึงถลึงตามองเขาแล้วละสายตาไปทางอื่น กลับเห็นเหยาเหยียนอี้จากไปพร้อมกับบ่าวคนนั้น คุณหนูเหยาเลยอดขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้
เว่ยจางอดหัวเราะเสียงเบาไม่ได้ ดวงหน้าของเหยาเยี่ยนอวี่แดงระเรื่อขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
“ข้าจะไปทูลขอฮ่องเต้” เว่ยจางพูดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ทูลขออะไร” เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกประหลาดใจ
“ทูลของานสมรสพระราชทาน” สายตาของเว่ยจางจับจ้องใบหน้าเขินอายของนางไว้ เขาชื่นชอบใบหน้าเกลี้ยงเกลาดั่งฟ้าหลังฝนอันโปร่งใสเช่นนี้ของนาง
“พระราชทาน…งานสมรสอะไร” หัวใจของเหยาเยี่ยนอวี่เต้นแรง ดวงหน้ายิ่งแดงกว่าเดิม
“คำพูดที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้ ข้าไปขบคิดมาแล้ว” เว่ยจางพูดด้วยเสียงนิ่งเฉย “เจ้าบอกว่าเจ้าเย็บปักถักร้อยไม่เป็น ไม่ปราดเปรื่องในศิลปะ กิริยามารยาทและรูปโฉมของเจ้าก็แสนจะธรรมดา ทั้งยังไม่เหมาะแก่การสร้างครอบครัว ไม่เหมาะแก่การออกเรือน และไม่คู่ควรกับบุรุษที่ดี”
เหยาเยี่ยนอวี่นิ่งงัน ภายในใจครุ่นคิดว่า คำพูดพวกนี้ผ่านมานานเพียงใดแล้ว คนๆ นี้ยังจดจำได้?
เว่ยจางกลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุด “ข้ายังได้ยินมาว่าเ จ้ารู้สึกว่าการหาบุรุษมาเป็นคู่ครองเป็นการหาเรื่องใส่หัว?”
เหยาเยี่ยนอวี่ถลึงตามองคนตรงหน้า คำพูดนี้ใครบอกเขา! ใช่แล้ว ต้องเป็นหันหมิงชั่น! เจ้ากลับหักหลังสหายคนสนิท เหอะ!
เว่ยจางเผยยิ้มบางๆ แล้วพูดขึ้น “เจ้าวางใจเถอะ ข้าใช้ชีวิตตามลำพังมาตั้งแต่เด็ก ชีวิตการเป็นอยู่ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาดูแล ข้าจะปกป้องและดูแลเจ้าอย่างถี่ถ้วน ให้เจ้ามีชีวิตที่ไร้ความกังวล อยากทำอะไรก็ทำสิ่งนั้น ข้าไม่บีบบังคับให้เจ้าอยู่แต่ในจวน อีกทั้งสิ่งที่สำคัญที่สุด…ข้าจะไม่สร้างภาระให้เจ้าเป็นอันขาด”
“นอกจากนี้ข้ามีศักดินาที่ดินหมื่นแปดพันกว่าไร่ คลังเสบียงหนึ่งพันคลัง เรือนที่อยู่อาศัยของจวนแม่ทัพอยู่หกร้อยเรือน ทรัพย์สมบัติล้ำค่านับหมื่น อีกทั้งยังมีบ่าวไพร่อยู่หกร้อยคน และทหารประจำจวนอยู่พันสองร้อยนาย ทั้งหมดนี้เป็นของเจ้า หากเจ้าไม่มีความเห็นอื่นใด วันพรุ่งนี้ข้าจะไปทูลขอพระราชทานงานสมรสจากฮ่องเต้”
เวลานี้ภายในใจของเหยาเยี่ยนอวี่มีความคิดผุดขึ้นมาเป็นร้อยเป็นพัน
เขาคือแม่ทัพผู้โดดเด่นและสร้างผลงานมากมายในสนามรบ คือขุนนางคนสนิทของจักรพรรดิ แม้กระทั่งอวิ๋นเหยาจวิ้นจู่ยังต้องเคารพนับถือ และเจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อยังขานเรียกเขาว่าน้องชาย เฉิงอ๋องซื่อจื่อยังให้ความสำคัญอย่างมาก มีอำนาจและอิทธิพลในค่ายทหาร ทหารยอดฝีมือนับพันนายอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเขา
และคนเยี่ยงนี้กลับหมายปองตนเอง!
เขากลับครุ่นคิดอย่างเปลืองสมองแล้วค่อยมาพูดคำพูดเหล่านี้กับตนเอง?
คนอย่างเขากลับใส่ใจตนเองมากถึงขั้นนี้!
เว่ยจางเหมือนไม่ร้อนใจ กลับเอากาน้ำดินเผามาชงชา
ท่าทางที่เขาชงชานั้นค่อนข้างโง่เขลา ไม่ได้คล่องแคล่วและสง่าเผยเผยดั่งปัญญาชนอย่างเหยาเหยียนอี้ มือของเขาหยาบกระด้างเล็กน้อย ปลายมือปกคลุมด้วยชั้นผิวหนังหยาบกร้าน
มือสองข้างนี้เคยจับข้อมือของตน แขนคู่นี้ไม่ได้โอบกอดตนเองเพียงครั้งเดียว…
เหยาเยี่ยนอวี่แค่รู้สึกว่าแก้มทั้งสองข้างกำลังแผดเผาด้วยเปลวไฟ เผาจนสมองของนางเลอะเลือนและครุ่นคิดอย่างชาญฉลาดไม่ได้
เว่ยจางยื่นชาถ้วยนั้นให้นางตรงหน้าแล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “หรือว่าเจ้ายังต้องการเวลาครุ่นคิดอย่างละเอียด?”
เหยาเยี่ยนอวี่เม้มปากแล้วยกมือรับถ้วยชานั้นมา สุดท้ายก็เอ่ยพูด ทว่าน้ำเสียงกลับแหบพร่าและไม่รู้ความ “ข้า…”
“น้องรอง!” เสียงของเหยาเหยียนอี้ดังขึ้นจากด้านข้าง “เจ้ามาดูที!”
“อ๊ะ?” เหยาเยี่ยนอวี่หันกลับไปมองเหยาเหยียนอี้ที่กำลังยกถาดใบหนึ่งเดินมาอย่างประหลาดใจ
“เจ้าดู ดักแด้ดินนี้ถูกเกลือคั่วแล้วกลายเป็นเช่นนี้ ทำแบบนี้ไม่ถูกใช่หรือไม่” เหยาเหยียนอี้ขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม
เหยาเยี่ยนอวี่ยื่นมือไปจับดักแด้ดินหนึ่งตัวแล้วบีบให้กลายเป็นผงพลางขมวดคิ้ว “ไฟแรงเกินไป ต้องใช้ไฟอ่อนๆ ให้พวกเขาใช้หม้อดินเผาที่หนากว่านี้ ห้ามทำให้ไหม้ หากคั่วจนไหม้ สรรพคุณก็หาย”