เหยาเยี่ยนอวี่หันไปตวาดใส่คนที่อยู่ข้างๆ “ฟังเข้าใจหรือยัง”
ผู้ที่รับผิดชอบคั่วสมุนไพรด้านข้างจึงโค้งลำตัวตอบกลับทันที “ขอรับ ฟังเข้าใจแล้วขอรับ”
เหยาเหยียนอี้เอาของคืนให้คนๆ นั้นแล้วตวาดใส่อีกขึ้น “ถ้ายังไม่ตั้งใจทำอีก ดูว่าข้าจะลงโทษเจ้าอย่างไร!”
“ขอรับ บ่าวจะตั้งใจทำขอรับ” คนๆ นั้นรับถาดไปพร้อมโค้งลำตัวถอยไปด้านหลัง
เหยาเยี่ยนอวี่เกลี้ยกล่อม “ท่านพี่ก็อย่าโกรธเลย เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว”
“อืม ข้าก็แค่พูดเท่านั้น คนเหล่านี้หากไม่ตวาดเสียงแข็งกลับไปก็คงไม่สนใจอะไรอีก ดักแด้ดินล้ำค่าขนาดนี้ หลายวันมานี้ข้าสั่งให้คนขุดไปเกือบครึ่งหุบเขาก็ได้มาเท่านี้ ยังห่างจากจำนวนที่ฮ่องเต้ประสงค์อีกมาก หากยังให้พวกเขาทำอะไรเรื่อยเปื่อยเช่นนี้อีก เจ้าว่าข้าจะไม่ร้อนใจได้อย่างไร!”
เว่ยจางหันไปมองเหยาเยี่ยนอวี่ “ไม่ใช่ว่ายังมีดักแด้ทองอีกหรือ”
เหยาเยี่ยนอวี่ขมวดคิ้ว “ดักแด้ทองพบเห็นได้ยาก ข้าตามหามาหลายปี หาได้ทั้งหมดแค่เท่านั้น”
พวกเขาต้องตระหนักถึงเรื่องนี้ หากฮ่องเต้รู้ว่ามีดักแด้ประเภทนี้ต้องสั่งให้คนไปตามหา หากหาไม่พบต้องถูกลงโทษเป็นแน่ ถึงเวลาเหยาเหยียนอี้ยังต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบ หากเหยาเหยียนอี้ถูกลงโทษ ทั้งตระกูลเหยาก็คงไม่มีจุดจบที่ดีเช่นกัน และแน่นอนว่ารวมไปถึงเหยาเยี่ยนอวี่ด้วย
เว่ยจางไม่ใช่คนโง่ ด้วยเหตุนี้จึงปิดปากและไม่พูดถึงดักแด้ทองอีก
เหยาเหยียนอี้จะไม่รู้ได้อย่างไร ดังนั้นจึงรีบเปลี่ยนประเด็น “พอเถอะ นี่ก็ได้เวลาเที่ยงแล้วพวกเราไปกินมื้อเที่ยงกันก่อน เรื่องนี้ค่อยว่ากันภายหลัง ท่านเซียวโหวคงคอยนานแล้ว”
ดังนั้นทุกคนต่างก็ออกจากเรือน มีคนจูงรถม้ามา ทว่าเหยาเยี่ยนอวี่กลับหยุดชะงักและไม่ยอมขึ้น
“เป็นอะไรไป” เหยาเหยียนอี้เอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
“ข้าอยากขี่ม้า” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มเบิกบาน
“เจ้าไหวหรือ” เหยาเหยียนอี้ขมวดคิ้ว หากตกลงจากหลังม้าขึ้นมาคงไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
เว่ยจางจึงเอาม้าสีนิลของตนจูงไปให้นาง “เจ้าขี่มัน ม้าตัวนี้ข้าฝึกฝนเอง เป็นม้าที่เชื่องมาก”
“นี่หากตกขึ้นมาคงไม่ใช่เรื่องเล่นๆ!” เหยาเหยียนอี้เตือนอย่างร้อนใจ
“ไม่ตกหรอก” เว่ยจางยื่นบังเหียนม้าให้เหยาเยี่ยนอวี่ “ขึ้นไปเถอะ”
เหยาเยี่ยนอวี่จับบังเหียนม้า ภายในใจรู้สึกเสียใจในภายหลัง ต่อให้อยากขี่ม้าก็ควรไปฝึกในสนามฝึกม้าก่อน เหตุใดถึงพูดออกไปอย่างไม่ทันคิดเช่นนี้
ทว่า…อย่างไรก็ต้องฝึกอยู่ดี จึงยกเท้าเหยียบโกลนม้าแล้วจับแอกม้าปีนขึ้นไปอย่างเปลืองแรง
เว่ยจางลูบหน้าของม้าสีนิลอย่างใกล้ชิดและสนิทสนมพร้อมพูดด้วยเสียงต่ำ “เจ้าเฮยหลางเชื่องหน่อย” ม้าสีนิลจึงทำเสียงในจมูกแล้วส่ายหัว เว่ยจางเผยยิ้มออกมาอีกครั้งแล้วหันไปมองเหยาเยี่ยนอวี่ “ไม่เป็นไรเ จ้าปล่อยบังเหียนม้าให้หลวมหน่อย มันจะเดินไปเอง”
“อ๊ะ? อ้อ” เหยาเยี่ยนอวี่จึงปล่อยบังเหียนม้าในมือให้หลวม ม้าสีนิลก้าวขาทั้งสี่ขาไปข้างหน้า
“ม้าตัวนี้เชื่องจริงๆ” ชุ่ยเวยพูดอย่างรื่นเริงอยู่ข้างๆ
เหยาเหยียนอี้เหยียบโกลนขึ้นม้า ขณะเดียวกันก็สั่งคนจูงม้ามาอีกตัวให้เว่ยจางแล้วขมวดคิ้วสั่งการบ่าวสองคนที่อยู่ข้างๆ “ติดตามให้ดี”
เว่ยจางไว้วางใจในม้าของตนเองอย่างยิ่ง พอรับบังเหียนม้าที่คนด้านข้างยื่นมาก็กระโดดควบขี่ทันที จากนั้นก็มองเหยาเยี่ยนอวี่บนหลังม้าที่อยู่ไกลๆ เอวคอดเรียวบางดูเกร็งยิ่งนักดูก็รู้ว่าตื่นเต้นมาก
พอนึกถึงเรื่องอับอายในสนามฝึกม้าครั้งนั้น เขาถูกยัยหนูนี่กระแทกใส่บนร่าง ทำให้เขาอดยิ้มไม่ได้
อู่ฟางไจคือภัตตาคารหนึ่งในเขตชานเมืองเจียงหนิงที่ตั้งอยู่ริมน้ำเช่นกัน มองจากภายนอกเหมือนจวนที่พักอาศัยทั่วไปไม่เหมือนภัตตาคารแต่อย่างไร บานประตูสีนิลเปิดกว้าง มีบ่าวสวมใส่เสื้อสีเขียวยืนอยู่สองคน
จากจวนเหยาเหยียนอี้ไปที่นั่นแค่สี่ห้าลี้เท่านั้น ทว่าระยะทางแค่นี้เหยาเยี่ยนอวี่ที่ขี่อยู่บนหลังม้าก็รู้สึกเมื่อยเอวเมื่อยหลังมากแล้ว ตอนจะลงจากม้านางยังคงทำตัวไม่ถูก เหตุเพราะครั้งก่อนมีประสบการณ์ตกจากหลังม้า ดังนั้นคุณหนูเหยาจึงไม่กล้าประมาทอีก
เหยาเหยียนอี้เห็นสถานการณ์นี้จึงกระโดดลงม้าแล้วยื่นมือออกไป “ยื่นมือมาให้ข้า หมุนตัวแล้วกระโดดลงมาไม่ต้องกลัว”
เหยาเยี่ยนอวี่จับมือของพี่ชายแล้วลงจากม้า หลังจากกระโดดลงมาก็ถอนหายใจยาวพร้อมพูดด้วยรอยยิ้ม “ตกใจแทบแย่!”
“เจ้าหาเหาใส่หัวเอง” เหยาเหยียนอี้เยาะเย้ยด้วยรอยยิ้ม “นั่งรถม้าดีแค่ไหน? กลับดื้อรั้งขี่ม้า”
เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้ม “อนาคตหากไม่มีรถม้าให้นั่งก็ต้องขี่ม้ามิใช่หรือ นี่ข้ากำลังฝึกทักษะอย่างหนึ่งอยู่เพื่อเตรียมพร้อมยามเกิดเหตุจำเป็น”
“เช่นนั้นก็ค่อยเป็นค่อยไป” เหยาเหยียนอี้พูดขึ้นแล้วมองม้าสีนิลตัวนั้นของเว่ยจางเพียงชั่วพริบตาพร้อมเอ่ยชม “ม้าตัวนี้ของท่านแม่ทัพเว่ยดีดั่งที่คาดไว้ไม่มีผิด ทั้งสุขุมทั้งเชื่องจริงๆ”
เว่ยจางเดินเข้าไปตบม้าสีนิลแล้วพูดอย่างรื่นเริง “ไม่ผิด มันติดตามข้ามาแปดปี ตอนอยู่ในสนามรบก็ช่วยชีวิตข้ามาสองครั้ง ถือว่าเป็นสหายที่ดีของข้า”
เหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินคำพูดนี้จึงอดมองม้าตัวนั้นไม่ได้ ภายในใจกำลังครุ่นคิดว่าม้าตัวนี้ก็มีตำนานด้วยหรือ อีกทั้งยังนึกถึงที่เว่ยจางบอกว่ามันช่วยชีวิตเจ้าของมาสองครั้งก็รู้สึกหดหู่ใจขึ้นมา
เขตชายแดนนับพันลี้ที่เคล้าด้วยความอาฆาตในทุกสารทิศ เมื่อเขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่สุดทางตันกลับพึ่งพาม้าช่วยชีวิตไว้
พอเข้าประตูอู่ฟางไจ ด้านในกลับเป็นสิ่งปลูกสร้างหรูหราที่ล้อมรอบด้วยพืชพันธุ์ไม้ดอก เรือนแต่ละเรือนอยู่ติดกัน หรืออาจจะคั่นกลางด้วยต้นไม้และดอกไม้ ทุกที่สงบร่มรื่นและงดงาม
“ข้าจองชิ่นฟางหยวนไว้อยู่ฝั่งโน่น” เหยาเหยียนอี้พาเว่ยจางและเหยาเยี่ยนอวี่เดินผ่านระเบียงยาวแล้วเลี้ยวผ่านสวนดอกแปะเจียกที่กำลังเบ่งบานก็ถึงหน้าเรือนไม้หรูหรา
มีสาวใช้หน้าตาละมุนละไมเดินเข้ามาโค้งลำตัวน้อมคำนับพร้อมเลิกม่านไม้ไผ่ขึ้น
เวลานี้ เซียวหลินอยู่ด้านในแล้ว กำลังไพล่มือไว้ด้านหลังชมภาพวาดทิวทัศน์ธรรมชาติ เหยาเยี่ยนอวี่ชำเลืองมองก็แค่รู้สึกดี ทว่าพูดไม่ออกว่าดีตรงไหน ภาพวาดนี้ถูกเซียวหลินจดจ่ออย่างตั้งใจมานาน คิดว่าต้องไม่ใช่ชิ้นงานทั่วไป
ได้ยินเสียงเคลื่อนไหว ท่านเซียวโหวก็หันมายิ้ม “เหตุใดถึงเพิ่งมา ข้าคอยนานแล้ว”
เหยาเหยียนอี้บ่นอย่างไร้ความอดทน “อย่ากล่าวถึงเรื่องนี้เลย ก็เพราะบ่าวโง่เขลาพวกนั้นทำงานไม่ดีทำให้เสียเวล่ำเวลา”
“เจ้ายังจะใจร้อนอีก พูดถึงเรื่องเหล่านี้ ประเดี๋ยวข้าก็ขุ่นเคืองใจตามหรอก” เซียวหลินส่ายศีรษะอย่างประหม่าแล้วกล่าวทักทายเว่ยจางและเหยาเยี่ยนอวี่ หลังจากทุกคนนั่งลง ท่านเซียวโหวก็เอ่ยถามเว่ยจางอีกครั้ง “เจ้ากลับเมืองหลวงเมื่อใด”
เว่ยจางชำเลืองมองเหยาเยี่ยนอวี่แล้วพูดขึ้น “เกรงว่าคงอีกสักระยะ ท่านโหวมีการใดหรือ”
“ช่างเถอะ ไม่ต้องพูดแล้ว” ท่านเซียวโหวส่ายหน้าแล้วหันไปทางฝั่งเหยาเยี่ยนอวี่ “อยากกินอะไรไหม เมื่อครู่ข้าสั่งอาหารไปไม่กี่อย่าง เจ้าลองดูว่าเจ้าชื่นชอบอะไรแล้วสั่งเพิ่มอีก”
เหยาเยี่ยนอวี่ฟังบทสนทนาอันซับซ้อนเมื่อก่อนหน้านี้ของพวกเขาจึงคาดว่าคงมีเรื่องสำคัญต้องเสวนากันแน่นอน นางเลยคิดว่าหลังจากรับประทานอาหารเสร็จตนจะออกไปเดินเล่นข้างนอก จะได้ไม่ต้องเป็นก้างขวางคอตอนพวกเขาเสวนาถึงเรื่องสำคัญ จากนั้นก็รีบส่ายหน้า “ข้าไม่ใช่คนเลือกมาก อะไรก็ได้”
เหยาเหยียนอี้จึงพูดขึ้น “ท่านโหว วันนี้พวกเรามารับประทานอาหารอย่างเดียว อย่าเอาธุระทางราชการอันน่าเบื่อของเจ้ามาพูด ฟังแล้วปวดศีรษะ”
เซียวหลินพูดพลางยิ้ม “ได้ๆ! ตามใจเจ้า” ขณะที่พูดก็เรียกสาวใช้นอกประตูเข้ามา “แนะนำอาหารขึ้นชื่อของพวกเจ้าให้พวกเราที”