หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.493 – ใกล้เข้าไป

 

ประตูถูกเปิดออกและปิดลง

 

ซูเซี่ยเอ๋อกลับมาที่ห้องของเธอ

 

เธอถอดเสื้อคลุม วางพาดมันลงบนหลังเก้าอี้

 

ก่อนจะนั่งลงหน้าโต๊ะขนาดใหญ่และเริ่มทำการตรวจสอบลูกแก้วอย่างระมัดระวัง

 

เจ้าสิ่งนี้ เธอพึ่งจะเคยเห็นของจริงเป็นครั้งแรก

 

เพื่อยืนยันการตัดสินใจ ซูเซี่ยเอ๋อจึงโบกมือออกไป

 

ท่ามกลางชั้นหนังสือนับพันจากตลอดทั้งห้องกว้าง ได้มีหนังสือเล่มหนึ่งลอยออกมาโดยอัตโนมัติและตกลงบนโต๊ะหน้าซูเซี่ยเอ๋อ

 

ห้องนี้ เมื่อเทียบเปรียบกับที่อยู่ของนักเรียนฝึกหัดอันคับแคบแล้ว นี่นับว่ากว้างขวางมากเกินไปจริงๆ

 

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ จอมมารทะเลเลือด เป็นคนที่ทำการสะสมหนังสือเอาไว้ไม่น้อยกว่าในห้องสมุดของสถาบันเลย

 

ในบรรดาหนังสือสะสมเหล่านี้ มีแม้กระทั่งสิ่งที่ใช้อธิบายถึงวัสดุอันทรงคุณค่าที่ภายในห้องสมุดไม่มี

 

ซูเซี่ยเอ๋อเพียงร้องขอหนังสือจากอาจารย์ที่ปรึกษาของเธอ แล้วพวกมันหลายพันเล่มก็ถูกนำมาวางไว้ในห้องของเธออย่างง่ายดาย

 

จอมมารทะเลเลือดชื่นชมในความใฝ่รู้ของเธอเป็นอย่างมาก

 

ดังนั้น เขาจึงช่วยขยายห้องพักของเธอ ให้กลายมาเป็นห้องสมุดขนาดย่อม

 

ซูเซี่ยเอ๋อหยิบหนังสือเบื้องหน้าขึ้นมา และกวาดสายตาอ่านมันอย่างรอบคอบ

 

“เจอแล้ว”

 

ซูเซี่ยเอ๋อจดจ่ออยู่กับคำอธิบายของวัตถุประหลาดนี้

 

“ลูกปัดมนตราแตกร้าว”

 

“เมื่อไหร่ก็ตามที่มันถูกซ่อนในดิน มันก็จะกลายเป็นดิน”

 

“วิธีการใช้ : ฝังลงในดิน เพื่อบันทึกการสนทนาของผู้คนบนพื้นดินชั่วระยะเวลาหนึ่ง”

 

“จำนวนการใช้ 1 ครั้ง”

 

“นี่เป็นสิ่งที่สามารถปกปิดการป้องกันตรวจสอบของตลอดทั้งหมื่นโลกาได้ มันสามารถรบกวนแทรกแซงกฏเกณฑ์มากมาย ไม่เว้นกระทั่งโชคชะตา”

 

“จำนวนคนที่ใช้มัน จะได้รับอนุญาตแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น และบุคคลนั้นจะต้องเก็บงำถึงข้อมูลที่ได้รับรู้เอาไว้กับตนเองอีกด้วย”

 

“หากผู้อื่นได้ล่วงรู้ถึงข้อมูลในลูกปัด ผู้ใช้จะต้องตายเพื่อบรรเทาความโกลาหลของกฏเกณฑ์”

 

ซูเซี่ยเอ๋อลองกะน้ำหนักลูกปัดแก้วในมือ

 

มันดูธรรมดามากๆ ไม่แตกต่างจากลูกหินใสๆที่เด็กปกติมักจะใช้เล่นกันเลย

 

อันที่จริง เจ้าสิ่งนี้นับว่าเป็นของหายากอันทรงคุณค่ายิ่ง

 

แต่ด้วยข้อจำกัดของมันที่เข้มงวดและหาได้ยากมากเกินไป ดังนั้นผู้คนส่วนใหญ่จึงแทบจะไม่เคยได้พบเห็นมัน แล้วนับประสาอะไรกับการใช้งาน

 

บางทีเด็กสาวคนนั้น อาจจะเป็นพวกโชคหล่นทับ แล้วเกิดได้รับมันมาโดยบังเอิญก็ได้?

 

ซูเซี่ยเอ๋อขบคิด

 

เป็นเพราะการตอบโต้ของเธอ ทำให้นักเรียนสาวฝึกหัดทั้งห้าคนถูกกินโดยแมงมุม ขณะที่อาจารย์ฝึกสอนอีกคนหนึ่งถึงขั้นถูกเนรเทศออกไปจากเกาะโดยจอมมารทะเลเลือด

 

ดังนั้น การที่นักเรียนสาวมอบลูกปัดนี้ให้แก่เธอก็คงจะเป็นเพราะว่าหวาดกลัว

 

ตัวนักเรียนสาวคงไปสังเกตเห็นถึงบางสิ่ง เลยทำการตรวจสอบบางอย่างเกี่ยวกับมันด้วยลูกปัดนี้

 

จากนั้น เธอก็นำเอาลูกปัดมามอบให้ เพื่อแสดงความขอโทษ

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ซูเซี่ยเอ๋อก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย

 

-ตั้งแต่เมื่อไหร่กันหนอ ที่ตัวเองได้กลายเป็นการดำรงอยู่ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวไปซะแล้ว?

 

เธอจ้องมองลูกปัดมนตราในมือ

 

—คงมีแต่ต้องดูเท่านั้นว่ามีข้อมูลอะไรถูกเก็บเอาไว้ภายในกันแน่

 

ซูเซี่ยเอ๋อนิ่งไปสักพัก ก่อนจะโยนลูกปัดแก้วออกไป

 

ลูกปัดแก้วกระแทกกับพื้นและระเบิดออก

 

ตามด้วยเสียงชราแหบแห้งที่ดังขึ้น

 

“ทะเลเลือดไม่สมควรมีผู้สืบทอด”

 

เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ ซูเซี่ยเอ๋ออดไม่ได้ที่จะเบิกตาโพลง

 

เพราะนี่คือเสียงของคณบดี

 

สำหรับเธอ ประโยคนี้นับว่าเป็นคำที่แฝงไปด้วยเจตนาร้าย!

 

เกรงว่านักเรียนสาวเองก็คงจะไม่คาดหวังเหมือนกัน ว่าตนเองจะตรวจสอบได้ถึงข้อมูลนี้!

 

บางทีเธออาจจะคิดแค่ว่า นี่มันคงเป็นความคิดของใครสักคนหนึ่งที่กำลังพูดเกี่ยวกับเรื่องของซูเซี่ยเอ๋อเท่านั้น

 

ท้ายที่สุดนี้ ต้องไม่ลืมนะว่าการเติบโตครั้งล่าสุดของซูเซี่ยเอ๋อนับว่าเด่นสะดุดตามากเกินไป

 

จากนั้นก็มีอีกเสียงหนึ่งที่แสดงถึงความไม่พอใจดังขึ้น

 

“เด็กสาวคนนั้นเป็นผู้ถือครองคทา และเสื้อคลุมยาวสีขาวของเธอก็เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงสถานะแห่งกฏเกณฑ์ ฉะนั้นเธอจะต้องเติบโตขึ้นได้อย่างรวดเร็วแน่นอน”

 

“หากมีจ้าวแห่งทะเลเลือดคนที่สองปรากฏขึ้น เกาะหมอกก็จะไม่เหลือสิ่งใดสำหรับพวกเราอีกต่อไป” เสียงที่สามเอ่ย

 

“เห็นด้วย ดังนั้นพวกเราจะต้องฆ่าเธอ และไม่ปล่อยให้จอมมารทะเลเลือดได้รับผู้ช่วยที่ดีไว้ในครอบครอง” เสียงที่สี่กล่าว

 

“เช่นนั้นแล้วสมควรทำอย่างไรดี” เสียงที่ห้าดังขึ้นอีก

 

“ไว้จะลองเก็บไปคิดดูอีกครั้งก็แล้วกัน … ” คณบดีกล่าว

 

เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น เสียงอื่นๆก็หายไป

 

ดูเหมือนว่าผู้คนทั้งหลายจะทยอยกันออกจากพื้นที่ดังกล่าวไปแล้ว

 

ซูเซี่ยเอ๋อเงียบไป เธอกำลังทบทวนถึงบทสนทานี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นการต่อสู้ของพวกระดับสูง เพื่อช่วงชิงอำนาจของเกาะหมอกอย่างชัดเจน

 

เดิมตนคิดว่าสามารถหลบหนีจากเก้าตระกูลใหญ่ และออกห่างจากเรื่องอะไรพวกนี้ไปได้แล้วแท้ๆ

 

แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าตราบใดที่ตนยังอยู่ในสถานที่ซึ่งต้องการอำนาจ ผู้คนในสถานที่แห่งนั้นก็มิอาจขจัดความปรารถนาที่จะได้ครอบครองอำนาจนั้นเอาไว้อยู่ดี

 

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่ง และทรงอำนาจที่สุดอยู่แล้วก็ตามที

 

ทันใดนั้นซูเซี่ยเอ๋อก็บังเกิดการรู้แจ้งถึงเรื่องหนึ่ง

 

เป็นเธอที่ผิดเอง

 

ทุกคน ไม่ว่าใครก็ไม่อาจหลีกเลี่ยง ‘อำนาจ’ ไปได้ เพราะมันเป็นตัวที่คอย ‘ควบคุม’ คำว่า ‘อิสระ’ เอาไว้

 

สิ่งนี้มันอยู่ในก้นบึ้งในหัวใจของทุกผู้คน

 

มันจะประกบติดเป็นเงาตามตัว และไม่สามารถหลบหนีไปจากมันได้

 

ซูเซี่ยเอ๋อกัดริมฝีปากของเธอ ในหัวใจกลายเป็นหนักแน่น

 

ตามกฏของการใช้ลูกปัดมนตราแล้ว ผู้ที่ได้รับข้อมูลนี้จะต้องปิดปากเงียบ เก็บมันเอาไว้เป็นความลับ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถบอกจอมมารทะเลเลือดได้

 

ไม่แม้แต่จะใบ้เขา!

 

ถึงแม้ว่าตัวเธอเองจะแข็งแกร่ง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าตัวตนเหล่านี้ ความแข็งแกร่งของเธอก็ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด

 

ตั้งแต่วันนี้ไป ขุมกำลังของสถาบันเกาะหมอกถือว่าได้แยกตัวเป็นฝักฝ่ายไปเรียบร้อยแล้ว เพียงคำสั้นๆเพียงคำเดียว ‘อำนาจ’

 

ต้องรู้นะว่า จอมมารทะเลเลือดน่ะมีเพียงลำพังเท่านั้น

 

ไม่ว่าเขาจะทรงพลังเพียงใด แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหล่าตัวตนที่แข็งแกร่งจำนวนมากในระดับเดียวกัน เขาก็คงจะไม่สามารถปกป้องซูเซี่ยเอ๋อได้ตลอดเวลา

 

หากในเวลาที่จอมมารทะเลเลือดมิได้อยู่ที่นี่ อีกฝ่ายจะต้องฉวยโอกาสใช้วิธีการลับบางอย่างเพื่อเอาชีวิตของเธออย่างแน่นอน

 

แล้วจะทำอย่างไรดี?

 

ซูเซี่ยเอ๋อพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเอง

 

ใจเย็นๆสิ!

 

เย็นไว้ก่อนตัวฉัน!

 

ซูเซี่ยเอ๋อพยายามคิดหาทางออก

 

เธอพยายามให้กำลังใจตัวเองอยู่ท่ามกลางความเงียบ

 

สักพักหนึ่ง เธอก็พลันจดจำได้ถึงบางสิ่ง

 

ใช่แล้ว ก็นั่นไง …

 

การเรียกขานของวิหคหนาม!

 

ตัวตนที่ยิ่งใหญ่เหล่านั้นไม่สามารถไปยังที่อยู่ของวิหคหนามได้

 

มีเพียงสิ่งมีชีวิตรุ่นราวคราวเดียวกับเธอเท่านั้น ที่จะสามารถตอบรับการเรียกขานของวิหคหนามได้

 

นี่เป็นวิธีที่จะสามารถแข็งแกร่งขึ้น และเป็นวิธีเดียวที่จะหลีกเลี่ยงการลอบลงมือของฝ่ายตรงข้าม!

 

ซูเซี่ยเอ๋ออดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น

 

แม้ว่าวิกฤติจะยังคงมิได้ผ่านพ้นไป แต่ตอนนี้เธอก็ได้เห็นถึงร่องรอยของประกายแห่งความหวังแล้ว

 

เธอผุดลุกขึ้นยืนในทันใด

 

เพราะไม่สามารถอดใจรีรอได้อีกต่อไป เธอจะต้องไปเตรียมตัวในตอนนี้ และเริ่มต้นออกเดินทางทันที

 

-ออกไปจากที่นี่!

 

…..

 

อีกด้านหนึ่ง

 

ท่ามกลางความมืดมิดที่ว่างเปล่าอันไร้ที่สิ้นสุด

 

เรือใหญ่ได้ข้ามผ่านโลกมากมาย แหวกฝ่ากระแสลมอันวุ่นวายมาอย่างยาวนาน

 

หลังจากที่ผ่านไปกว่าห้าวันเต็ม ข้ามผ่านโลกกว่า 280 ล้านชั้น การเดินทางในครั้งนี้ก็สิ้นสุดลงเสียที

 

เรือค่อยๆหยุดแล่น

 

ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่บริเวณหัวเรือปรากฏรังสีแสงสว่างเจิดจรัสเสียดแทงเข้ามา

 

กู่ฉิงซานกับชายชราจ้องมองมันพร้อมกัน

 

เห็นแค่เพียงแสงที่ลอดออกมาจากอาคารโรงงานที่ดูเก่าๆ

 

มันถูกล้อมรอบไปด้วยความว่างเปล่าอันไร้ที่สิ้นสุด แต่อาคารขนาดใหญ่อย่างเช่นโรงงานนี้กลับลอยเด่นอยู่อย่างเงียบๆท่ามกลางความมืดมิด

 

ตัวอาคารนี้ดูเหมือนจะถูกสร้างมาแล้วนานปี บนผนังเต็มไปด้วยทุกชนิดของคำดสบถ สโลแกน และชื่อผู้คนที่ถูกขีดเขียนและพ่นทิ้งเอาไว้

 

คำสบถเหล่านี้เปล่งแสงสว่างท่ามกลางความมืด คล้ายกับไฟนีออนยามค่ำคืน ที่ช่วยให้เห็นถึงคำที่ถูกเขียนไว้ชัดเจนยิ่งขึ้น

 

กู่ฉิงซานสามารถทราบถึงตัวอักษรของโลกจำนวนมากได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงเพ่งมองมันอย่างจริงจัง

 

“ไอ้ควายแบรี่ จากไอรีน – ท่าเรือนางฟ้า”

 

นี่เป็นหนึ่งในสโลแกนที่โดดเด่นที่สุด

 

กู่ฉิงซานยกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ และยังคงอ่านต่อไปเรื่อยๆ

 

“บอสแบรี่ ถึงพวกเราจะไม่สามารถเอาชนะแกได้ แต่แกยังติดหนี้พนันพวกเราอยู่ จากเซ่า – คนที่ชนะแกในบ่อนคาสิโนโลมาเงิน”

 

“แบรี่ ถ้าคุณมากินข้าวที่นี่อีกครั้ง ได้โปรดอย่าแกล้งทำเป็นปวดท้อง แล้วลงไปกลิ้งบนพื้นดิน ปากพร่ำบ่นว่าอาหารมีพิษๆๆเลย ผมขอสาบานเลยว่าจะให้คุณกินฟรี ฉะนั้นอย่าได้ทำแบบนั้นอีก จากผู้จัดการเฉิง –  ภัตตาคาร”

 

“ต่อยก็ต่อยสิวะ ขอแค่แกไม่ใช้เทคนิคสกปรกก็พอ ตกลงไหม จากผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม”

 

“คืนเงินพวกเรามานะ! จากเด็กทุกคนในโรงเรียนอนุบาลทางทิศตะวันออก”

 

ดูเหมือนว่านี่จะเป็นสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม

 

กู่ฉิงซานมองไปที่มันด้วยความวิตกกังวล

 

นี่ตนเอง … จะต้องหาหนทางที่จะอยู่ในสถานที่แบบนี้จริงๆน่ะหรือ? ที่แบบนี้เนี่ยนะ!?

 

เขาเดินไปรอบๆ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงเชียร์จากภายในสมาคม

 

“ล้มไปแล้ว!”

 

“กดมัน! ตีมันแรงๆไปเลย!”

 

เสียงมุทะลุของชายคนหนึ่งที่กลบเสียงอื่นๆทั้งหมดตะโกนขึ้น “ในฐานะผู้ตัดสิน ฉันขอเตือนนายว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุด ใช่แล้ว! บี้ไข่มัน! ฉวยโอกาสนี้บี้ไข่มันเลย! ถ่างขามันออกแล้วเหยียบให้มิดเลย!”

 

ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องอันน่าสมเพชที่ดังขึ้น

 

แล้วก็เสียงสูดหายใจลึกนับไม่ถ้วนที่ลอยตามมาในอากาศ

 

“ … ” กู่ฉิงซาน

 

“ … ” ชายชรา

 

“อ่า นั่นแหละ เสียงของไอ้บ้าแบรี่ล่ะ”

 

ชายชราขยับคอเสื้อของเขาด้วยความรู้สึกอึดอัดและกล่าว

 

เขาพยายามดึงริมฝีปากให้ใบหน้าตนดูยิ้มๆแล้วหันไปทางกู่ฉิงซาน “พวกเรามาถึงสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรมแล้ว  พวกเราสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงยินดีให้บริการเจ้าในครั้งต่อไป”

 

กู่ฉิงซานประสานมือ “ขอบคุณสำหรับการดูแลตลอดเส้นทาง ลาก่อน”

 

แล้วเขาก็ค่อยๆกระโดดลงจากเรือ

 

ชายชรายิ้มและโบกมือให้เขา

 

ทว่าวินาทีต่อมา ชายชราก็หันหัวกลับแล้วเร่งตะโกนสั่งเด็กหนุ่มทันทีที่กู่ฉิงซานก้าวลงจากเรือ

 

“ออกเรือเลย – เร็วเข้า!!!”

 

ชายหนุ่มสะดุ้งโหยง และรีบกลับไปทำหน้าที่ของตนทันที

 

เรือของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงราวกับลมพายุกรรโชก มันพุ่งหนีหายไปในชั่วพริบตาเดียว

 

“ทำไมฉันถึงรู้สึกคล้ายกับว่าพวกเขารีบหนีไปแล้วตัวเองถูกทิ้งเอาไว้ที่นี่กันนะ … ”

 

กู่ฉิงซานที่เฝ้ามองเรือหายไปในมิติที่ว่างเปล่าเอ่ยพึมพำออกมา

 

เอาเถอะ ยังไงตอนนี้ก็ไม่มีทางให้ถอยแล้ว

 

กู่ฉิงซานหันหลังกลับมาอย่างหมดหนทาง และเดินเข้าไปที่ประตูของสมาคม

 

ในเวลานั้นเอง บรรทัดตัวเลขก็กระโดดขึ้นมาบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม และเริ่มขยับอย่างต่อเนื่อง

 

“59.59”

 

“59.58”

 

“59.57”

 

เริ่มต้นนับถอยหลัง

 

กู่ฉิงซานสามารถอยู่ที่นี่ได้แค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น

 

และภายในชั่วโมงนี้ เขาจะต้องหาทางอยู่ที่นี่ต่อไปเพื่อบรรลุภารกิจแห่งโชคชะตา แล้วได้ทราบถึงความลับที่จะถูกบอกโดยระบบเทพสงคราม

 

หากไม่สามารถบรรลุ เขาจะได้รับสมญา “ผู้พลาดพลั้งในโชคชะตา”

 

ตั้งแต่ที่ระบบได้ขู่เขาว่าเขาจะไม่ชอบสมญานี้หรอก กู่ฉิงซานก็รู้สึกว่าเขาจะต้องลงมืออย่างระมัดระวัง

 

กู่ฉิงซานเร่งเคลื่อนไหวทันที

 

ไม่กี่นาทีต่อมา เขาก็มาหยุดยืนอยู่หน้าทางเข้าสมาคม

 

กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ

 

โลกมิติอนันต์แห่งนี้ไม่ได้ใหญ่โต เหมือนกับว่ามันมีแค่สมาคมและที่ดินเล็กๆโดยรอบเท่านั้น

 

ขณะที่มีหญิงสาวสวมหูแมวคอยเฝ้าอยู่หน้าประตูสมาคม

 

เธอนั่งยองๆบนเก้าอี้ ก้มหัวตัวเองลงมุ่งมั่นเขียนอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะ

 

“ถ้านายต้องการจะสู้ล่ะก็ขอให้กลับมาอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ วันนี้มันเลยเวลาแล้ว”

 

กู่ฉิงซานยังไม่ทันได้เอ่ยปาก หญิงสาวก็กล่าวขึ้นมาซะก่อน

 

“แล้วเรื่องเก็บค่าธรรมเนียมล่ะ” กู่ฉิงซานหยุดเดินและเอ่ยถาม

 

“พี่ชายของฉันบอกว่าไม่มีค่าธรรมเนียม”

 

แม้จะพูดกันมาจนถึงตอนนี้ แต่หญิงสาวก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองเขาเลย

 

เธอยังคงวุ่นอยู่กับการเขียนหนังสือของเธอ

 

บนโต๊ะ นอกเหนือไปจากดินสอและปากกาสองสามด้าม ก็มียางลบ และนิตยสารบางเล่มเท่านั้น

 

และชื่อบนหน้าปกนิตยสารก็ถูกวงเครื่องหมายไว้ด้วยปากกาสีแดง

 

กู่ฉิงซานกวาดสายตามอง และสามารถอ่านตัวอักษรเหล่านั้นได้อย่างรวดเร็ว

 

“สมาคมผู้พิทักษ์หอสูงได้ประกาศออกมาว่า : วิหคหนามได้เริ่มเรียกขานแล้ว!!”

 

นี่คือตัวอักษรที่ถูกคิดค้นขึ้นโดยสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง ซึ่งได้ถูกใช้งานมากว่า 8000 ล้านปีมาแล้ว

 

วิหคหนาม?

 

มันคืออะไรกันล่ะนั่น?

 

กู่ฉิงซานเพียงเหลือบมองมัน แต่ก็ไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด

 

และความสนอกสนใจของเขา ก็ถูกดึงดูดโดยหญิงสาวที่กำลังขีดเขียนอยู่

 

เบื้องหลังหญิงสาว จู่ๆก็ปรากฏหางยกสูงขึ้นทันที

 

หางส่ายไปมาเป็นครั้งคราว คล้ายกับเธอกำลังรับรู้ถึงอะไรบางอย่าง

 

หือ? นั่นมันหางของจริงงั้นหรอ?

 

กู่ฉิงซานบังเกิดข้อสงสัย

 

เขาเลื่อนสายตากลับมามองหูแมวที่สวมอยู่บนหัวของหญิงสาวอีกครั้ง และพบว่ามันกำลังกระดิกอยู่เช่นกัน

 

“จบซักที” หญิงสาวกล่าว

 

จากนั้นก็มีเสียงของผู้ชายดังออกมาจากภายในสมาคม

 

“เอาล่ะคร้าบ เกมการแข่งขันวันนี้ก็จบลงแล้วนะ ทางเรายินดีต้อนรับทุกท่านสำหรับการเข้าร่วมในครั้งต่อไป!”

 

“กำเป็นเหล็ก! ความยุติธรรม! ประตูแห่งนี้เปิดต้อนรับทุกคนเสมอ!”

 

กู่ฉิงซานจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ

 

ชัดเจนแล้วว่าเธอสามารถได้ยินถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายในสมาคมได้

 

ดูเหมือนว่าหูที่กระดิกเมื่อครู่ของเธอจะไม่ใช่แค่เอามาสวมใส่มันเล่นๆซะแล้ว แต่มันเป็นหูจริงๆต่างหาก!

 

หาง … แล้วก็หู …

 

-ผู้หญิงคนนี้เป็นแมวเหมียวงั้นหรอ?