ฝีมืออันแก่กล้าในการประลองความคิดของตัวแทนทั้งสามจากสรวงสวรรค์ ทำให้บรรยากาศครึกครื้นขึ้นมา

นักเรียนหลายหมื่นคนเกิดความหวังขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขารู้ว่าความสามารถของตัวแทนทั้งสามคนไม่ด้อยเลย ขอเพียงฮึดสู้แล้วไล่กวด ต้องตามอิทธิพลอื่นได้ทันแน่นอน

พวกอันหลินได้คะแนนทั้งสิ้นจากการประลองนี้ยี่สิบห้าคะแนน หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงละก็ สามารถสร้างระยะห่างจากอิทธิพลอื่นได้หลายคะแนน

การประลองดำเนินต่อไป

ตัวแทนจากสวนเอเดนได้หกคะแนน หกคะแนนและเจ็ดคะแนนตามลำดับ รวมทั้งหมดสิบเก้าคะแนน

ตัวแทนจากเมืองพุทธได้ห้าคะแนน หกคะแนนและเจ็ดคะแนน รวมทั้งสิ้นสิบแปดคะแนนจากการประลองความคิด

ในการประลองครั้งนี้ ตัวแทนของหอสร้างโลกก็ทรงพลังขึ้นมาครั้งหนึ่ง ได้หกคะแนน เจ็ดคะแนนและเจ็ดคะแนน รวมทั้งสิ้นยี่สิบคะแนน อยู่อันดับที่สอง

หงโต้วเองก็ไม่รั้งท้ายอีกต่อไป ได้ถึงเจ็ดคะแนน พลังเปลวไฟของมันแก่กล้าไม่เบา

หลังผ่านการประชันความคิดแล้ว คะแนนรวมของสี่อิทธิพลอยู่ที่ราวๆ หกสิบคะแนน ทุกคนอยู่บนระนาบเดียวกันอีกครั้ง

วาเนสซ่าผู้นำของสวนเอเดนก้าวออกมา รูปร่างของนางเซ็กซี่ เอวคอดกิ่ว ลูกบอล 36 คัพ D ทำให้มวลชนในจัตุรัสฮือฮากันขึ้นมา

แสงแดดส่องกระทบตัวนาง แผ่รัศมีจางๆ แลดูงดงามและบริสุทธิ์

นางกระแอมเล็กน้อย เริ่มประกาศกติกาของการประลอง ‘การเอาตัวรอด’ เสียงดัง

“ระหว่างที่สิ่งมีชีวิตเติบโตนั้น จะพบเจอกับภัยอันตรายนับไม่ถ้วน ถึงขั้นว่าจนตรอก”

“จะเอาตัวรอดจากภัยอันตรายทั้งหลายได้อย่างไร เป็นทักษะที่พวกเราจำต้องรู้ หนทางยาวไกล ใครรอดเป็นผู้ชนะ การเอาชีวิตรอดได้เท่านั้น จึงจะมีโอกาสกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง”

“การประลองการเอาตัวรอด จะทดสอบความสามารถในการยืนหยัดยามเผชิญหน้ากับทางตันของตัวแทนแต่ละท่าน”

ขณะที่พูด สองมือของนางประสานไว้ตรงหน้าอก แสงสีขาวพุ่งออกจากตัวแล้วขยายใหญ่ สุดท้ายกลายเป็นเส้นทางมิติ

“นี่เป็นประตูที่มุ่งหน้าสู่ทางตัน ข้าจะเพิ่มเมล็ดพันธุ์ชีวิตให้กับทุกท่าน เมื่อเมล็ดพันธุ์ชีวิตแตกสลาย พวกเจ้าจะตกรอบ ระหว่างที่ทดสอบ ผู้เข้าแข่งขันห้ามโจมตีกันและกัน มิเช่นนั้นจะยกเลิกสิทธิ์การแข่งขันทันที”

สองมือของวาเนสซ่าเริ่มปล่อยดวงแสงสีเขียวออกมาขณะที่พูด

ดวงแสงเหล่านี้พุ่งเข้าไปในร่างของตัวแทนทั้งสิบสอง หลอมเป็นหนึ่งเดียว หายไปไม่เห็นอีกเลย

อันหลินสัมผัสเมล็ดพันธุ์ชีวิตภายในร่างกาย รู้สึกเหมือนมีเปลือกไร้รูปร่างเคลือบผิวไว้ แฝงด้วยกลิ่นอายของชีวิต

วาเนสซ่าพูดต่อว่า “การประลองครั้งนี้มีทั้งหมดสิบด่าน ใช้เวลาอยู่ในแต่ละด่านสิบนาทีถือว่าผ่านด่าน จะได้หนึ่งคะแนน ขอให้ตัวแทนแต่ละคนมุ่งหน้าสู่ลานทดสอบเมื่อเข้าไปในเส้นทางมิติแล้ว สถานการณ์การทดสอบของพวกเจ้าจะถูกถ่ายทอดสดผ่านหน้าจอผลึกหิน”

นี่เป็นการผจญภัยเอาตัวรอดหรือไง

อันหลินเลิกคิ้วเมื่อได้ยิน ไม่รู้เพราะเหตุใด เขานึกถึงประสบการณ์ในโบราณสถานวิจัยดวงม่วง

ตัวแทนทั้งสิบสองคนพากันมุ่งหน้าสู่หนทางมิติจากนั้นก็มาถึงโลกใต้พิภพ ที่นี่เต็มไปด้วยลาวาร้อนระอุ อุณหภูมิสูงจนน่ากลัว

“เริ่มการทดสอบได้ กรุณาอดทนสิบนาที”

เสียงดังก้องไปทั่วพื้นที่ ทำให้ใจของทุกคนกระตุก

“ฟู่ว…ร้อนจังเลย…” หลิวเชียนฮ่วนหน้าแดงเรื่อ ใช้พลังเซียนลดอุณหภูมิ

“อย่าประมาทไปละ ในเมื่อที่นี่เป็นทางตัน ต้องเป็นสถานที่ที่น่ากลัวแน่นอน” หวังเสวียนจ้านเตือน

อันหลินพยักหน้าจริงจัง กวาดสายตามองไปทั่ว ระแวดระวังตัวขึ้นมา

ตัวแทนของกลุ่มที่เหลือก็สอดส่ายสายตามองรอบตัว แอบเตรียมพลังคุ้มกันเงียบๆ

ปุดๆ ๆ…

ลาวาเกิดฟองอากาศอย่างต่อเนื่อง รอบกายเงียบสงบ

นอกจากเสียงลาวาหลั่งไหลแล้ว ไม่มีเสียงเคลื่อนไหวอื่นใดอีก

ห้านาทีผ่านไปแล้ว…

รอบข้างยังคงเป็นเช่นเดิม

ใบหน้าของทุกคนเจือความสงสัย มองรอบๆ อย่างหวาดระแวง

เวลาผ่านไปทีละนิด

“ขอแสดงความยินดีด้วย ผ่านด่านที่หนึ่งไปอย่างราบรื่น!”

จู่ๆ ก็มีเสียงแสดงความยินดีของวาเนสซ่าดังขึ้นมากะทันหัน

ทุกคนต่างก็ชะงักเมื่อได้ยิน จากนั้นก็กระจ่างใจ ที่แท้นี่ก็เป็นด่านฟรีคะแนนนี่เอง!

โลกหมุนขึ้นมาชั่วขณะ ทุกคนถูกเคลื่อนย้ายอีกครั้ง

ครั้งนี้พวกเขาโผล่มาบนสันเขา

รอบตัวเต็มไปด้วยผืนหิมะ สายลมพัดหวีดหวิว มันเย็นยะเยือก หิมะลอยล่องเต็มนภา

“ครั้งนี้คงจะไม่ได้ให้ยืนตากลมอยู่กับที่สิบนาทีหรอกนะ” หลิวเชียนฮ่วนทำแก้มพองลม ต่อต้านกับการประลองที่ไม่มีความตื่นเต้นเลยแม้แต่นิด

“วาเนสซ่าคงจะอยากให้พวกเราสัมผัสความแตกต่างระหว่างน้ำแข็งและไฟอย่างแท้จริง อดพูดไม่ได้ว่า สะใจมากทีเดียว” อันหลินบิดขี้เกียจ ทำหน้าสบายใจเฉิบ

แม้อุณหภูมิรอบตัวจะต่ำมาก แต่สำหรับนักพรตที่มีระดับพลังยุทธ์ในระดับหนึ่งเช่นพวกเขาแล้ว มันไม่เป็นภัยคุกคามมากนัก

คนที่เหลือเองก็ทำหน้าเอือมระอา ไม่มีความท้าทาย น่าเบื่อ…

ครืน…

จู่ๆ แผ่นดินก็สั่นสะเทือน

จากนั้นก็มองรอบๆ อย่างหวั่นวิตก

“เสียงอะไรน่ะ…” ชิงจือขมวดคิ้วโพล่งออกมา

เขาได้ยินเสียงที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ รุนแรงขึ้นทุกที ประหนึ่งกระแสคลื่น

“หิมะถล่ม รีบวิ่งเร็วเข้า!” อันหลินอุทานลั่น

“ใจร้อนอะไร พวกเราเหาะได้ไม่ใช่หรือ” ออกัสยิ้มบางๆ กางปีกสีขาวออกแล้วเหาะขึ้นฟ้า

อันหลินได้สติ หน้าขึ้นสี และเริ่มขี่อิฐเหินเวหาด้วยเช่นกัน

เพราะเป็นการทดสอบความอยู่รอด เขาจึงตึงเครียดจนเกินเหตุมากไปหน่อย

ทุกคนพากันเหินฟ้าหลบหลีกหิมะถล่ม

หงโต้วหัวเราะลั่นเมื่อเห็นหิมะมืดฟ้ามัวดินที่ซัดสาดมา “หิมะถล่มแค่นี้ ต่อให้ข้านอนนิ่งบนพื้นหิมะก็ไม่มีปัญหา”

พูดจบ มันก็นอนลงไปอย่างสบายอุรา และจ้องมองผู้คนบนท้องนภาด้วยสายตาไม่สบอารมณ์

ครืน…ระหว่างที่หิมะเกลือกกลิ้ง ฟ้าดินสั่นไหว ปกคลุมร่างของหงโต้วในพริบตา

อันหลินลูบคาง หิมะถล่มระดับนี้ไม่เป็นปัญหาต่อหงโต้วก็จริง แต่ก็ไม่ควรอวดดีต่อหน้าทุกคนแบบนี้

ผ่านไปครู่หนึ่ง

“หงโต้วตกรอบ ได้หนึ่งคะแนน”

จู่ๆ ก็มีเสียงของวาเนสซ่าดังขึ้น

ทุกคนได้ยินก็ชะงักงัน จากนั้นก็มองบริเวณที่ถูกหิมะปกคลุมด้วยความตกใจ

พรวด! หงโต้วพุ่งออกจากกองหิมะ

เห็นได้ชัดว่ามันได้ยินเสียงแล้วเช่นกัน แหวเสียงดังลั่นด้วยสีหน้าที่เหลือเชื่อว่า “ไม่มีทาง! ข้าไม่เป็นอะไรเลย ทำไมข้าถึงตกรอบ!”

“เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าไม่เป็นไร เจ้าลองดูเมล็ดพันธุ์ชีวิตของเจ้า” เสียงของวาเนสซ่าดังแว่วมาจากฟากฟ้าอีกครั้ง

เมล็ดพันธุ์ชีวิตงั้นหรือ

หงโต้วได้สติ จากนั้นก็เบิกตากว้าง

มันรู้สึกได้ว่า เมล็ดพันธุ์ชีวิตภายในร่างกายมลายหายไปแล้ว

“ทำไมเป็นแบบนี้…ข้าไม่ยอม ไยเมล็ดพันธุ์นี่ถึงได้เปราะบางเช่นนี้!”

หงโต้วยอมรับความจริงประการนี้ไม่ได้อย่างสิ้นเชิง คำรามลั่น

“ดูถูกความอันตราย มั่นใจในความสามารถของตนเกินไป เป็นข้อห้ามของการแสวงมรรค มนุษย์เรา ต้องรู้จักระมัดระวังตัว มิเช่นนั้นครั้งนี้เมล็ดพันธุ์ชีวิตแตกสลาย ครั้งหน้าอาจถึงวันที่ชีวิตของเจ้าดับสูญก็ได้”

เสียงเรียบเฉยดังขึ้นอีกครั้ง

หงโต้วแผดเสียงร้องอย่างเจ็บใจ แต่เปล่าประโยชน์ ร่างของมันเริ่มเลือนรางลงช้าๆ

พวกอันหลินมองหงโต้วด้วยความเห็นใจและซาบซึ้ง

เห็นใจที่มันได้เพียงหนึ่งคะแนน เหมาตำแหน่งที่โหล่อีกครั้ง ส่วนที่ซาบซึ้งก็เป็นเพราะว่ามัน พวกเขาถึงได้รู้ว่า ที่แท้เมล็ดพันธุ์ชีวิตที่อยู่ในร่างกายเปราะบางขนาดนี้…

หวงส่านและตงเยี่ยนกลับไม่แยแสกับการตกรอบของหงโต้วเลยแม้แต่นิด

ตงเยี่ยนถึงขั้นว่าหาวอย่างเบื่อหน่าย พูดด้วยความสุขใจว่า “ในที่สุดเจ้างั่งนี่ก็ไสหัวไปได้สักที”

หวงส่านพยักหน้า กระแสไฟสีทองในดวงตาดังเปรี๊ยะๆ “โง่มากจริงๆ ถึงว่าพวกเรารั้งท้ายทุกครั้งที่มีงานชุมนุมแลกเปลี่ยนมรรคเทศนา เบื้องบนต้องส่งเจ้าโง่สักคนสองคนมาแสดงความน่ารักทุกครั้งให้ได้เลย”

อันหลิน “…”

จะว่าไปต่อว่าหงโต้วต่อหน้าทุกคนแบบนี้มันดีจริงๆ เหรอ พวกเราได้ยินกันหมดแล้ว!

“ยินดีด้วย ผ่านด่านที่สองได้อย่างราบรื่น!”

ผ่านไปหลายนาที เสียงแว่วมาจากท้องนภาอีกครั้ง

จากนั้นโลกก็หมุนเพราะถูกมิติเคลื่อนย้ายอีกครั้ง

ทุกคนโผล่มาอยู่ในทะเลลึก ความดันอันน่ากลัวถาโถมเข้ามา