“ประเด็นสำคัญก็คือฮ่องเต้แห่งหยุนตี้เป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น ได้ยินมาว่าอำนาจทั้งหมดของหยุนตี้ตกอยู่ในกำมือของพวกขุนนาง อีกทั้งพวกขุนนางยังถูกตระกูลซินอันแสนลึกลับควบคุมเอาไว้”
หลังจากได้ยินคำพูดของชิงหู หลินเมิ้งหยาพยักหน้ารับ
ควบคุมฮ่องเต้เพื่อสั่งการใต้หล้า
คาดว่าตระกูลซินคงเป็นหนึ่งในจำพวกนั้น
“ปัจจุบันตระกูลซินมีคุณชายนามว่าซินหลี่ เขาเป็นลูกชายคนรอง แต่กลับเป็นคนที่เป็นที่กล่าวถึงที่สุดในตอนนี้ ซินหลี่เป็นคนฉลาดเฉลียว เขาได้รับความรักจากเจ้าตระกูลซินตั้งแต่เด็ก อุปนิสัยใจคอเจ้าเล่ห์ประหนึ่งจิ้งจอก โหดเหี้ยมอำมหิตดั่งหมาป่า สิ่งที่ชอบที่สุดคือการทรมานผู้อื่น ข้าเคยได้ยินคนของหยุนตี้เอ่ยว่าทุกปีเขามักจะฆ่าคนเล่นหลายร้อยคน หากหยุนถูกเขายึดครองอำนาจแล้วล่ะก็ เกรงว่าแผ่นดินคงลุกเป็นไฟ แน่นอนว่าเขาถูกเรียกว่าคุณชายกุหลาบแดง แต่กุหลาบแดงที่เขาถืออยู่ในมือคือดอกไม้ชโลมโลหิต”
หลินเมิ้งหยาเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง หลังจากผ่านเหตุการณ์เมื่อคืนมา นางรู้สึกได้เลยว่าคนๆ นั้นจะต้องเป็นซินหลี่
นี่หรือว่าซินหลี่และเสี่ยวอวี้จะเป็นทายาทของตระกูลซิน?
บางครั้งนางเคยได้ยินคำพูดแสดงฐานะของเสี่ยวอวี้จากปากของป๋ายซู
หากมองจากการที่เขาได้รับความสำคัญดูแล้ว คาดว่าเสี่ยวอวี้จะต้องมีโอกาสในการสืบทอดตระกูลซินอย่างแน่นอน
มิเช่นนั้น ซินหลี่จะเดินทางมาไกลขนาดนี้เพื่อข่มขู่นางทำไม?
“เจ้าเด็กน้อย เจ้าถามเรื่องเขาไปทำไมกัน?”
ชิงหูสงสัยเล็กน้อย เลี่ยหยุนอยู่ไกลพันลี้ อีกทั้งตระกูลของเจ้าเด็กน้อยยังไม่มีทีท่าว่าจะเกี่ยวข้องกับที่นั่นเลยนี่นา
ครุ่นคิด หลินเมิ้งหยากลับไม่ยอมเล่าเรื่องซินหลี่ให้ชิงหูฟัง
นางรู้จักอุปนิสัยของชิงหูดี หากเขารู้ว่าเจ้านั่นชี้มีดข่มขู่นางแล้วล่ะก็
คาดว่าเขาจะต้องทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อไล่ล่าฆ่าฟันซินหลี่อย่างแน่นอน
“ข้าก็แค่สงสัย เจ้าเองก็รู้ว่าช่วงนี้ข้ากำลังศึกษาวิชาแพทย์พิษกับท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์เคยเล่าเรื่องยาพิษในเลี่ยหยุนให้ฟัง ดังนั้นข้าก็เลยมาถาม”
ชิงหูเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จ้องหลินเมิ้งหยาเขม็ง นางปกปิดอย่างแนบเนียน ชิงหูมองไม่ออกเลยแม้แต่น้อยว่านางกำลังโกหก
“ก็เป็นไปตามที่ข้าเล่า ต่อจากนี้ไป หากได้เจอกับซินหลี่ เจ้าอย่าเข้าไปใกล้เขาเด็ดขาด”
แม้แต่ชิงหูยังรู้สึกกลัว
“ข้าเหมือนคนไร้สมองหรืออย่างไร?”
หลินเมิ้งหยาถลึงตา ทว่าดวงตาเจ้าเล่ห์ประหนึ่งจิ้งจอกคู่นั้นกลับกลิ้งกลอกไปมา ก่อนจะเอ่ย
“อืม ดูเหมือนจะยังใช้ได้”
พูดจบเขาก็รีบเผ่นไปไกล
“เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ กลับมาพูดให้รู้เรื่อง”
หลินเมิ้งหยาออกวิ่งตาม การละเล่นไล่จับในตำหนักหลิวซินจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง
หลงเทียนอวี้นั่งอยู่ในห้องอ่านหนังสือ หัวใจว้าวุ่น
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเจียงหรูฉินจะไร้ยางอายได้ขนาดนี้
ดูเหมือนเขาต้องคิดหาวิธีขับไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไป
แต่สิ่งหนึ่งที่เขายังไม่เข้าใจก็คือเพราะเหตุใดหมู่เฟยจึงเปลี่ยนไปหลังจากกลับมาจากวังในคราวนี้
ทุกครั้งที่เขาไปถวายคำนับ หมู่เฟยมักบ่นว่าหลินเมิ้งหยาไม่เคารพนาง
ส่วนเจียงหรูฉินเป็นคนกตัญญูรู้คุณและกิริยามารยาทเรียบร้อย
บางทีอาจเพราะการจากไปของน้าจิ่นเยว่ทำให้หมู่เฟยเสียใจกระมัง
“ท่านอ๋อง หนู่ปี้ได้รับคำสั่งจากพระสนมเต๋อเฟยให้นำถั่วเขียวต้มน้ำตาลมาถวายเพคะ”
ด้านนอก จู่ๆ เสียงของน้าจิ้งเยว่ก็ดังขึ้น
นับตั้งแต่วันที่น้าจิ่นเยว่จากไป ข้างกายของหมู่เฟยมีเพียงน้าจิ้งเยว่ที่คอยดูแล
แม้น้าจิ้งเยว่จะมิใช่คนชอบยิ้มหรือช่างเจรจา แต่ถึงกระนั้นนางก็เป็นคนเก่าคนแก่ของหมู่เฟย หลงเทียนอวี้จึงรู้สึกเคารพนางไม่น้อย
“ลำบากท่านน้าแล้ว ข้าจะกินเดี๋ยวนี้”
น้าจิ้งเยว่พยักหน้า แสดงท่าทางอึกๆ อักๆ ขณะมองดูหลงเทียนอวี้
“ท่านน้ามีอะไรหรือ?”
หลงเทียนอวี้เงยหน้า มองดูจิ้งเยว่พลางเอ่ยถาม
“ท่านอ๋อง อย่าหาว่าหนู่ปี้พูดมากเลยนะเจ้าคะ พระองค์ตกลงเรื่องตบแต่งกับคุณหนูเจียงตามพระประสงค์ของพระสนมเต๋อเฟยเถิดเจ้าค่ะ คนสนิทย่อมดีกว่าคนไกลตัวมิใช่หรือ?”
สายตาที่มองทางจิ้งเยว่เปลี่ยนไป
“เรื่องนี้ข้ามีคำตอบอยู่แล้ว หากหมู่เฟยส่งท่านมาโน้มน้าวข้า ข้าเห็นว่าไม่จำเป็น”
มองดูท่าทางมั่นคงของหลงเทียนอวี้ จิ้งเยว่ส่ายหน้า ก่อนจะออกจากห้องอ่านหนังสือไป
วางเอกสารในมือลง มองดูถ้วยถั่วเขียวต้มน้ำตาล จมูกสูดกลิ่นหอมหวานที่โชยออกมา กลิ่นนี้คล้ายกับรสมือของน้าจิ่นเยว่เหลือเกิน
สีของท้องฟ้ามืดมิดลง หลินเมิ้งหยาอาบน้ำเสร็จแล้วจึงเข้ามานั่งที่ข้างหน้าต่าง มองดูดวงดาวบนท้องฟ้า
ทันทีที่ฟ้ามืด ท่านพี่ส่งคนมาแจ้งข่าวว่าอีกครึ่งเดือนกองทหารแนวหน้าจะกลับมาถึงเมืองหลวง
ยิ่งไปกว่านั้น พี่ชายยังส่งของขวัญมาให้กับนางด้วย
นางเอี้ยวตัวเอื้อมหยิบกล่องไม้กล่องหนึ่งมาจากโต๊ะเครื่องแป้ง
เปิดออกเบาช้าๆ ด้านในคือมีดเล่มเล็กเล่มหนึ่ง
ปลายมีดแหลมคมใส่ไว้ในซองหนัง ด้ามมีดประดับไว้ซึ่งอัญมณีล้ำค่า
เมื่อลองถือดู ช่างเหมาะมือยิ่งนัก
ดีจริงๆ ท่านพี่คงรู้ว่าตอนนี้สิ่งที่นางต้องการที่สุดคืออะไร
จู่ๆ เสียงหอบหายใจหนักหน่วงพลันดังขึ้นข้างหู
หลินเมิ้งหยาตกตะลึง หันปลายมีดไปทางคนผู้นั้น
“ท่านอ๋อง? เหตุใดจึงเป็นท่าน?”
สมองพลันปรากฏรายชื่อยาพิษกว่าร้อยชนิด
สวรรค์โปรด ตัวยาเหล่านั้นล้วนมีราคามหาศาล
เหตุใดจึงนำมาปรุงยาปลุกกำหนัดเช่นนี้เล่า?
คนพวกนี้ทำเสียของหมด!
หลงเทียนอวี้รู้สึกทรมานมาก ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ น่ากลัวยิ่งกว่าภูตผี
ใบหน้าบิดเบี้ยว สติสัมปชัญญะขาดสะบั้น
สูดลมหายใจหนักหน่วง ไอร้อนถูกขับออกมาจากลมหายใจ
บ้าชะมัด! เขาไม่ควรกินมันเข้าไป
เขาควรจะรู้ว่าหมู่เฟยไม่มีทางยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ
ผลปรากฏว่า ทันทีที่ยาออกฤทธิ์ เจียงหรูฉินก็ปรากฏตัวออกมา
พวกหลินขุยมัวกินข้าวอยู่อย่างนั้นหรือ?
เหตุใดจึงห้ามผู้หญิงเพียงคนเดียวเอาไว้ไม่ได้
ไม่แม้แต่จะเสียเวลาครุ่นคิด เขาทิ้งเจียงหรูฉินเอาไว้ พยายามสงบสติอารมณ์ ก่อนจะรีบวิ่งมาที่ตำหนักของหลินเมิ้งหยา
ตอนนี้เขาถูกฤทธิ์ยาเล่นงานจนแทบจะสิ้นสติ
“ช่วยข้า…ถอนยา…”
คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น เขาไม่อยากถูกยาพิษควบคุม
“เพคะ หม่อมฉันจะรีบหาวิธี”
เขาถูกวางยา? ไม่ได้ ยาชนิดนี้รุนแรงมาก หากปล่อยเอาไว้แล้วล่ะก็ บางทีหลงเทียนอวี้อาจกลายเป็นคนพิการ
อาบน้ำเย็น? ที่นี่มีน้ำเย็นเสียที่ไหน
หลินเมิ้งหยารีบหมุนตัว ค้นหายาพิษที่มักจะพกติดตัว
ทว่าไม่มียาใดที่จะสามารถถอนพิษได้เลย
ยาเริ่มออกฤทธิ์ไปทั่วทั้งร่างของหลงเทียนอวี้
สายตาจ้องมองร่างบางตรงหน้า หัวใจของเขาเปล่งประกายดั่งแมวที่กำลังมีความหวัง
เสียงโห่ร้องดังขึ้นในหัวใจของเขาไม่หยุด
นางคือชายาของเขา การถอนพิษก็คือหน้าที่ของนางมิใช่หรือ?
หากนางกลายเป็นคนของเขาจริงๆ เช่นนั้นนางจะไม่จากไปใช่หรือไม่
หลินเมิ้งหยาที่กำลังเปิดตู้อยู่นั้น จู่ๆ ก็ตกอยู่วงแขนร้อนรุ่มดั่งไฟ
แย่แล้ว หลงเทียนอวี้คุมสติไม่อยู่แล้ว
นางหมุนตัว ขณะที่คิดจะบอกให้เขาอดทน ริมฝีปากร้อนฉ่าประกบลงบนริมฝีปากของนาง
ลมหายใจของเขารินรดบนใบหน้า
หลินเมิ้งหยารู้สึกราวกับว่าท้องฟ้ากำลังหมุนติ้ว
มันมิใช่การจูบ แต่เป็นเพียงความต้องการอยากที่จะครอบครองของผู้ชายเท่านั้น
คิ้วของหลินเมิ้งหยาขมวดเข้าหากันแน่น มือเล็กทุบอกของหลงเทียนอวี้ แต่นางกลับพบว่ามันไร้ประโยชน์
“ปล่อย…ปล่อยข้า”
นางทั้งตื่นตระหนกและตกใจ แววตาฉายชัดถึงความหวาดกลัว
ไม่ จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้!
นางพยายามดิ้นหนี แต่กลับกลายเป็นการกระตุ้นสัตว์ร้ายในกายของหลงเทียนอวี้
สัญชาตญาณดิบเข้ามาครอบงำอย่างมิอาจหยุดยั้ง
ขณะที่นางส่งเสียงกรีดร้อง หลงเทียนอวี้ก็ถูกตีจนสลบไป
“เจ้าเด็กน้อย เจ้าเด็กน้อยเป็นอะไรหรือไม่?”
ใบหน้าของชิงหูปรากฏตรงหน้า สีหน้าเป็นกังวล อีกทั้งยังมีบาดแผลอยู่บนใบหน้า
เขาพยาพยามสู้กับเย่สุดชีวิตกว่าจะเข้ามาที่นี่ได้
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าหลงเทียนอวี้จะทำกับเจ้าเด็กน้อยเช่นนี้
“ชิงหู..ชิงหู..เขาน่ากลัวเหลือเกิน…ข้ากลัว”
เสื้อผ้าถูกหลงเทียนอวี้ฉีกจนขาดวิ่น
เสียงกรีดร้องเพราะความตื่นตระหนกของนางปลุกทุกคนในตำหนักจนตื่น
ชิงหูเจ็บปวดใจยิ่งนัก อุ้มหลินเมิ้งหยาลงมาจากเตียง
ร่างกายของนางสั่นเทิ้ม เห็นได้ชัดว่านางกำลังหวาดผวา
“นายหญิง นายหญิงเป็นอะไรหรือเจ้าคะ?”
สาวใช้ทั้งสี่วิ่งเข้ามาพร้อมใบหน้าเปื้อนน้ำตา
เมื่อครู่ หากมิใช่เพราะชิงหูสู้กับเย่สุดชีวิต เกรงว่าป่านนี้หลินเมิ้งหยาคง….
คนทั้งตำหนักล้วนรู้ดีว่าหลินเมิ้งหยากับหลงเทียนอวี้มิใช่สามีภรรยากันจริงๆ
แม้ว่าพวกนางจะชื่นชอบหลงเทียนอวี้เวลาอยู่กับนายหญิง ทว่าคราวนี้หลงเทียนอวี้ทำเกินไป
“ข้าไม่เป็นไร พวกเจ้ารีบพาท่านอ๋องไปหาอาจารย์เถิด เขาถูกวางยา”
หัวใจยังคงสั่นไหวเพราะความตกใจ
ทว่าหลินเมิ้งหยาไม่อยากให้หลงเทียนอวี้ได้รับบาดเจ็บ
ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้ยังมิอาจโทษเขาได้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางซุกตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของป๋ายจี ร่างกายยังคงสั่นเทิ้ม
“ปล่อยให้ไอ้คนสารเลวเช่นนี้ตายไปเลยเถิด”
คิ้วของเสี่ยวอวี้ขมวดเข้าหากัน ฟันขบเข้าหากันแน่น
“ไม่ได้ เขาถูกวางยาจริงๆ เขาหาได้ตั้งใจไม่ เสี่ยวอวี้ เจ้าอย่าบุ่มบ่าม”
สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ร่างของหลงเทียนอวี้
ดวงตาของเขาปิดสนิท ทว่าคิ้วกลับขมวดเข้าหากันแน่น ราวกับว่ากำลังทรมานเป็นอย่างมาก
ใบหน้าหล่อเหลามีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่อาการของคนปกติ
“หลบไป ห้ามแตะต้องเจ้านายของข้า”
เสียงของเย่ดังขึ้น เขารีบวิ่งมาขวางหน้าหลงเทียนอวี้ ก่อนจะพยายามพยุงร่างหลงเทียนอวี้ขึ้นมา
หลินเมิ้งหยาเห็นว่าแขนขวาของเขาไม่อาจใช้การได้
หันไปมองทางชิงหู สายตาเย็นยะเยือกจับจ้องไปทางเย่ด้วยความโกรธแค้น นางเข้าใจได้ในทันที
“ป๋ายจื่อ ไปช่วยหน่อยเถิด”
แม้จะไม่ยินยอม ทว่าป๋ายจื่อยังคงเชื่อฟังหลินเมิ้งหยา นางจึงรีบพุ่งตัวเข้าไป
หลินจงอวี้ถอนหายใจ ก่อนจะจับตัวป๋ายจื่อหลบ
“ข้าทำเองดีกว่า หากเขาตื่นแล้ว ข้าต้องการคำอธิบายจากเขา!”