เซี่ยยวี่หลัวเข้าไปในห้องครัว ถกแขนเสื้อขึ้น เริ่มเตรียมอาหาร
นำกระดูกที่ล้างจนสะอาดแล้วไปใส่ไว้ในหม้อด้านใน เคี่ยวด้วยไฟแรง วางแป้งที่นวดเสร็จแล้วไว้ในถาดไม้เพื่อพักแป้ง เด็ดต้นหอมสดใหม่กำใหญ่มาจากสวนหลังบ้าน หั่นเป็นชิ้นเล็กทั้งหมด
ล้างเนื้อหมูเจ็ดจินจนสะอาด ตัดแบ่งมาประมาณสามจิน ไขมันสามส่วนเนื้อแดงเจ็ดส่วน สับจนละเอียดทั้งหมด จากนั้นจึงใส่ต้นหอม แล้วจึงสับต่อ ใส่เนื้อหมูที่สับจนละเอียดไว้ในชามใหญ่ ตอกไข่ไก่สองฟอง คนให้เข้ากับหมูสับ เช่นนี้เนื้อหมูที่ต้มสุกแล้วจะนุ่มลื่นกว่าเดิม
หลังจากเตรียมหมูสับเสร็จ จึงเติมเกลือและซีอิ๊วเพื่อปรุงแต่งรสชาติ เวลานี้ก็พักแป้งเสร็จแล้ว ยืดแป้งเป็นเส้นยาว หั่นแบ่งเป็นชิ้นๆ ใช้กระบอกไม้ไผ่ท่อนหนึ่งที่มีความหนาพอเหมาะซึ่งนางตัดมาก่อนหน้านี้ หลังจากนำกระบอกไผ่ไปต้มในน้ำจนเดือด ก็ขัดจนเรียบ เวลานี้นำมาใช้เป็นไม้รีดแป้ง ถือว่าเหมาะมือมากทีเดียว
ครั้งหน้าสามารถตัดกระบอกไม้ไผ่ขนาดใหญ่กลับมาจำนวนหนึ่ง ต้มเสร็จแล้วขัดจนเรียบ ใช้เป็นแจกันดอกไม้ไว้ปักดอกไม้หรือใช้เป็นกระบอกใส่พู่กันก็น่าจะไม่เลว!
รีดแป้งจนเป็นแผ่นบาง ไส้เนื้อหมูทั้งหอมทั้งสดใหม่ เซี่ยยวี่หลัวตระเตรียมอย่างคล่องแคล่ว ใช้เวลาเพียงครู่เดียว ก็ห่อเกี๊ยวเสร็จยี่สิบกว่าตัวแล้ว
เซียวจื่อเซวียนและเซียวจื่อเมิ่งห่อเกี๊ยวไม่เป็น จึงอยู่ข้างๆ คอยตบแป้งที่หั่นเป็นชิ้นแล้วให้แบน พอได้ฟังว่าจะต้มน้ำเพื่อต้มเกี๊ยวแล้ว เซียวจื่อเซวียนจึงรีบวิ่งไปต้มน้ำ
แค่เห็นเกี๊ยวดิบเหล่านี้เขายังอยากกินจนน้ำลายแทบไหลออกมา
เซี่ยยวี่หลัวตักน้ำเย็นสองกระบวยใส่ในหม้อ ปิดฝาหม้อ ไฟก็ถูกจุดจนโหมไหม้แล้ว
เซียวจื่อเซวียนมองดูแสงเปลวไฟที่สาดส่องออกมาจากเตาไฟ ก่อนแอบมองไปทางใบหน้าเซี่ยยวี่หลัว ภายในใจมีเรื่องอยากพูดมากมาย แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มกล่าวอย่างไร
ภายในห้องหนังสือ เซียวยวี่ยกตำราขึ้น ปกติตัวหนังสือบนตำรา เขาท่องจำได้จนขึ้นใจแล้ว แทบจะสามารถท่องกลับหลังได้อย่างลื่นไหล แต่มาบัดนี้ เขากลับไม่รู้จักตัวหนังสือบนนั้นแม้แต่ตัวเดียว จิตใจไม่อาจสงบลงได้เลย ทั้งยังรู้สึกกระวนกระวายมากด้วย
จนสุดท้าย เซียวยวี่โยนตำราในมือทิ้งไป อ่านไม่เข้าใจแม้แต่ตัวเดียว ขืนอ่านอีกมีแต่จะยิ่งวุ่นวายใจ
ไม่รู้ว่าเดินวนอยู่ภายในห้องมากี่รอบแล้ว
เดินวนรอบแล้วรอบเล่า ภายในห้วงความคิดเซียวยวี่ไม่มีอะไรสักอย่าง มีเพียงภาพตอนประตูใหญ่เปิดออก เขาเองไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้หันกลับไปมอง
มองเพียงแวบเดียว เขาก็เห็นคนผู้นั้นที่ยืนอยู่ในตำแหน่งห่างจากประตูใหญ่ห้าถึงหกหมี่
ดวงตาทั้งคู่ใสบริสุทธิ์ดุจสายน้ำ ใสสะอาดไร้จุดด่างพร้อย คิ้วหงส์คู่งามเลิกขึ้นเล็กน้อย ยังมีใบหน้างดงามเย้ายวนและนัยน์ตาคู่นั้นที่เพิ่มเสน่ห์ชวนหลงใหลไม่น้อย
นางมองเซียวหมิงจูด้วยสีหน้าเรียบสงบ ผ่านไปครู่เดียว สายตาของนางก็หันมามองเขา
เซียวยวี่อยู่ห่างถึงเพียงนั้น กลับสามารถมองเห็นอย่างชัดเจน ว่าเบื้องลึกแววตานางนิ่งสงบดุจผิวน้ำ ไม่มีคลื่นมรสุมหรือความเดือดดาลเพราะเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
ตรงกันข้าม นางยังหันมาแสยะปากแย้มรอยยิ้มบางให้เขาด้วย
นางไม่โมโหเลยแม้แต่น้อยจริงหรือ?
เซี่ยยวี่หลัวไม่โมโห ไม่อาละวาด เขาควรรู้สึกดีใจไม่ใช่หรือ? เขาจะรู้สึกผิดทำไม? เขาจะกระวนกระวายใจทำไม?
เรื่องที่ควรดีใจกลับไม่อาจดีใจได้เลย ก้นบึ้งจิตใจเหมือนมีค้อนเหล็กหนักอึ้งหล่นทับจนเขารู้สึกจิตใจไม่สงบ
ในภายหลังเซียวยวี่ก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป ผลักเปิดประตูมายังห้องครัว
เสียงของเด็กสองคนดังขึ้นจากภายในห้องครัว ยังมีกลิ่นหอมที่ลอยออกมาจากด้านใน จากนั้นเสียงของเซี่ยยวี่หลัวจึงดังขึ้น “พวกเจ้าดู นี่คือน้ำเดือดหนแรก เมื่อเดือดแล้ว เราค่อยตักน้ำเย็นใส่หนึ่งกระบวย รอให้น้ำเดือดเป็นหนที่สอง”
ฝีเท้าของเซียวยวี่ที่กำลังจะก้าวเข้าไปพลันหยุดชะงัก
เขาเกิดความลังเลขึ้น ลืมกระทั่งเรื่องที่ตัวเองต้องก้าวเท้าข้างใดเพื่อเดินต่อไป
“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านจะทำอะไรหรือขอรับ? ” เซียวจื่อเซวียนเอ่ยถาม
เสียงมีดกระทบเขียงดังขึ้นจากด้านในอีกครั้ง
“ข้ากำลังเตรียมน้ำจิ้มสำหรับทานกับเกี๊ยว” เซี่ยยวี่หลัวยิ้มพร้อมกล่าว
“ครั้งก่อนท่านบอกว่าใช้น้ำส้มสายชูก็พอแล้วไม่ใช่หรือขอรับ? ” เซียวจื่อเซวียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
มีครั้งหนึ่งเซี่ยยวี่หลัวเรียกสุราขมว่าน้ำส้มสายชู นับแต่นั้นมาเด็กสองคนจึงเรียกตามนาง
“ใช่แล้ว ข้าจะปรุงน้ำจิ้มรสเผ็ดเพิ่ม”
เซียวจื่อเซวียนยิ้มทันที พี่ใหญ่ชอบกินรสเผ็ด แต่ก่อนพี่สะใภ้ใหญ่ไม่เคยเตรียมน้ำจิ้มอีกแบบหนึ่งเป็นพิเศษ ดูท่าพี่สะใภ้ใหญ่จะเตรียมน้ำจิ้มนี้ไว้ให้พี่ใหญ่
เพียงแต่เมื่อครู่เซียวหมิงจูอยู่ในบ้าน พี่ใหญ่ยังไม่ได้อธิบายกับพี่สะใภ้ใหญ่ให้ชัดเจนเลย! พี่สะใภ้ใหญ่ไม่แสดงออกทางสีหน้า แต่ใครจะรู้ว่าภายในใจนางจะคิดฟุ้งซ่านหรือไม่!
ด้วยนิสัยของพี่ใหญ่ เขาคงต้องไปเกลี้ยกล่อมพี่ใหญ่ให้มาเอาใจพี่สะใภ้ใหญ่เสียแล้ว
ภายในใจพี่สะใภ้ใหญ่ต้องกำลังโมโหอยู่เป็นแน่!
เซียวจื่อเซวียนคิดได้ดังนั้น จึงหาข้ออ้าง “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าออกไปห้องน้ำก่อนนะขอรับ”
เซี่ยยวี่หลัวไม่คิดสงสัย “ไปสิ! รีบกลับมากินเกี๊ยวด้วย”
เซียวจื่อเซวียนวิ่งออกไป
เพิ่งถึงตรงประตู ก็เห็นพี่ใหญ่ที่กำลังยืนลังเลอยู่หน้าประตู “พี่ใหญ่ เหตุใดท่านถึงไม่เข้าไปขอรับ? ”
เมื่อครู่เซียวยวี่ลองอยู่หลายครั้ง แต่เขาไม่อาจก้าวเท้าเดินเข้าไปได้เลย
“พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้า นาง…” เซียวยวี่เหมือนอยากกล่าวอะไรแต่ไม่กล้า
เซียวจื่อเซวียนเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งทันที “พี่ใหญ่ ท่านยืนอยู่หน้าประตู เพราะไม่กล้าเข้าไปใช่หรือไม่ขอรับ? ”
ใบหน้าขาวผ่องดุจหยกของเซียวยวี่พลันกลายเป็นสีแดงก่ำเหมือนสีตับหมู “อาเซวียน…”
เซียวจื่อเซวียนรู้สึกยินดีเสียยิ่งกว่าอะไร เมื่อครู่ยังนึกว่าต้องไปบอกกล่าวพี่ใหญ่ ใครจะรู้ว่าพี่ใหญ่รู้ว่าตัวเองผิดไปแล้ว จึงมาขอขมาพี่สะใภ้ใหญ่!
“พี่ใหญ่ ท่านรอก่อน! ” เซียวจื่อเซวียนวิ่งไปยังประตูห้องครัวก่อนตะโกนเสียงดัง “จื่อเมิ่ง กระต่ายของเจ้าหลุดออกมาแล้ว เจ้ารีบมาช่วยข้าจับกลับไปเร็ว”
เซียวจื่อเมิ่งที่อยู่ด้านในส่งเสียง “หา” ทีหนึ่ง ก่อนวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว พอเห็นเซียวยวี่เพียงเอ่ยเรียกพี่ใหญ่ แล้วจึงรีบวิ่งไปยังสวนหลังบ้าน
เซียวจื่อเซวียนตามอยู่ด้านหลัง เดินไปพลางขยิบตาให้เซียวยวี่ “พี่ใหญ่ ตอนนี้ในห้องครัวมีพี่สะใภ้ใหญ่อยู่คนเดียวแล้ว ท่านต้องขอขมาพี่สะใภ้ใหญ่ดีๆ นะขอรับ! ”
ไม่รอให้เซียวยวี่เอ่ยปาก เซียวจื่อเซวียนรีบวิ่งเข้าห้องโถงไปอย่างรวดเร็ว
เซียวยวี่ “…” เขาไม่ได้บอกว่าจะขอขมาเซี่ยยวี่หลัวเสียหน่อย!
เพียงแต่ ที่อาเซวียนกล่าวมาก็ดูจะมีเหตุผลมากทีเดียว
เซียวยวี่กำหมัดแน่น ปล่อยมือลู่ลงสองข้างลำตัว สูดลมหายใจเข้าลึกสองที จากนั้นจึงสาวเท้าก้าวเดินเข้าไปในห้องครัว
เซียวจื่อเมิ่งวิ่งไปถึงสวนหลังบ้าน ก็รีบไปดูกระต่ายของตัวเอง พอเห็นกระต่ายสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะยังกินหญ้าอย่างมีความสุขอยู่ภายในกรง เซียวจื่อเมิ่งก็ไม่พอใจทันที “พี่รอง ทำไมท่านต้องหลอกข้า? ”
เซียวจื่อเซวียนหัวเราะร่า “ไม่หลอกเจ้า เจ้าจะยอมออกมาหรือ? เจ้าแมวตะกละ น้ำลายจะไหลลงหม้ออยู่แล้ว”
เซียวจื่อเมิ่งเช็ดปากทีหนึ่ง กล่าวด้วยท่าทางดุดัน “ข้าเปล่าเสียหน่อย! พี่รองท่านหลอกข้า ฮึ ข้าไม่สนใจท่านแล้ว ข้าจะไปหาพี่สะใภ้ใหญ่”
“จื่อเมิ่ง อย่าไป” เซียวจื่อเซวียนขวางนางไว้
เซียวจื่อเมิ่งกะพริบตา “พี่รอง ท่านจะทำอะไร? ”
“เด็กโง่ พวกเราเล่นกันในสวนครู่หนึ่ง อีกเดี๋ยวค่อยไป พี่ใหญ่ไปหาพี่สะใภ้ใหญ่เพื่อคุยธุระ” เซียวจื่อเซวียนกล่าวด้วยท่าทางมีลับลมคมใน
เซียวจื่อเมิ่งได้ยินว่าพี่ใหญ่หาพี่สะใภ้ใหญ่เพื่อคุยธุระ ก็ปริปากยิ้มทันที “ได้ เช่นนั้นพวกเราก็รอพวกเขาอยู่ที่นี่แล้วกัน! ”
ทั้งสองคนจึงเล่นกันอยู่ที่สวนหลังบ้าน