เล่มที่ 8 บทที่ 233 ขาของพี่ใหญ่ไม่ใหญ่เท่าของพี่สะใภ้ใหญ่

ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต

เซียวยวี่เข้าไปในห้องครัว เห็นเซี่ยยวี่หลัวยืนอยู่ข้างเตาปรุงอาหารโดยหันหลังให้เขา ภายในหม้อมีไอน้ำลอยขึ้นมา ไอน้ำลอยวนเวียนอยู่รอบกายนาง นางก้มหน้าเล็กน้อย มือกำลังห่อเกี๊ยวอย่างคล่องแคล่ว เกี๊ยวที่ห่อเสร็จแล้วถูกวางเรียงอย่างเป็นระเบียบอยู่ด้านขวามือของนาง รอยจีบแต่ละจีบถูกบีบไว้อย่างเรียบเนียน ดูดีประหนึ่งดอกไม้ที่ผลิบาน

เซียวยวี่เหม่อลอยไปเพียงครู่หนึ่ง เซี่ยยวี่หลัวก็ห่อเกี๊ยวอย่างคล่องแคล่วเสร็จไปสองตัวแล้ว จากนั้นอาจเพราะน้ำในหม้อเดือด ไอน้ำลอยวนเวียน นางก้มตัวใช้กระบวยตักน้ำเย็นมาหนึ่งกระบวย เติมลงไปในหม้อ จากนั้นจึงหยิบตะหลิวคนในหม้อครู่หนึ่ง แล้วจึงวางตะหลิวลง ห่อเกี๊ยวต่อ

ภายในห้องครัวเงียบสงบมาก มีเพียงเสียงฟืนปริแตกดัง “แคร่กแคร่ก” จากเตาไฟเป็นครั้งคราว

เซียวยวี่กัดริมฝีปากทีหนึ่ง คิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะรวบรวมความกล้า เดินขึ้นหน้าสองก้าว “คือ…”

“ตุ้บ…” เกี๊ยวในมือเซี่ยยวี่หลัวที่ห่อเสร็จแล้วครึ่งหนึ่งหล่นลงบนเตาปรุงอาหารจนเกิดเสียงดังตุ้บ เกี๊ยวอ่อนนุ่มหล่นกระแทกจนแบน เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกใจสั่นเล็กน้อย รีบหยิบเกี๊ยวที่หล่นจนไส้ทะลักขึ้นมาด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน

ร่างกายนางสั่นสะเทิ้มเบาๆ อย่างที่ไม่อาจจับสังเกตได้

เซียวยวี่เห็นท่าทางของเซี่ยยวี่หลัว ขมวดคิ้วทีหนึ่ง เหตุใดเขาถึงรู้สึกเหมือนนางกลัวประหนึ่งเขาเป็นภูตผีก็มิปาน!

เขากำลังคิดจะกล่าวอะไร เพียงเห็นเซี่ยยวี่หลัวหยิบเกี๊ยวที่เมื่อครู่หล่นจนแบนขึ้นมา เป่าฝุ่นผงที่ติดบนนั้นแล้วจึงยิ้มพร้อมกล่าว “เกี๊ยวนี่อ่อนนุ่มเกินไป จับไม่แน่นเลย”

ราวกับว่าที่เกี๊ยวหล่นไปเมื่อครู่ เป็นเพราะเกี๊ยวอ่อนนุ่มเกินไป จึงจับไม่แน่น ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเสียงเรียกของเซียวยวี่แม้แต่น้อย

เซียวยวี่อ้าปากทีหนึ่ง คำว่า “คือ” ที่เมื่อครู่รวบรวมความกล้าจนกล่าวออกมาได้อย่างยากลำบาก ราวกับเป็นใบไม้ใบหนึ่งที่ร่วงหล่นลงบนผิวน้ำ เพียงก่อให้เกิดคลื่นน้ำกระเพื่อมวงหนึ่ง ไม่มีอะไรอีกเลย

มือของเซี่ยยวี่หลัวจับจีบเกี๊ยวต่อ แต่หัวใจกลับเต้นรัวไม่หยุดราวกับเป็นกวางตัวน้อยที่วิ่งพล่านก็มิปาน

ถึงแม้เบื้องหลังจะไม่มีเสียงดังขึ้นอีก แต่เซี่ยยวี่หลัวก็รู้ ว่าเซียวยวี่อยู่ด้านหลังนาง เด็กสองคนยังไม่กลับมา กลับเป็นเซียวยวี่ที่เข้ามา ห้องครัวที่คับแคบแห่งนี้ เซี่ยยวี่หลัวแทบกลั้นหายใจ รู้สึกอึดอัดเสียยิ่งกว่าอะไร

แต่นางพยายามแสร้งทำทีเป็นไม่รู้อะไรเลย ห่อเกี๊ยวด้วยความสงบใจและเยือกเย็นต่อ เกี๊ยวที่ปริแตกไป พอมาอยู่ในมือนาง ก็ถูกจับจีบจนเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว หากไม่แกะออกดู จะดูไม่ออกเลยว่าด้านในห่อเกี๊ยวที่ปริแตกไว้

ในที่สุดก็ห่อเกี๊ยวที่ปริแตกเสร็จ เซี่ยยวี่หลัววางไว้ข้างๆ ตอนนี้น้ำในหม้อด้านในก็เดือดแล้ว น้ำเดือดสามหน เกี๊ยวลอยขึ้นมา เกี๊ยวก็สุกและพร้อมกินแล้ว

เซี่ยยวี่หลัวโน้มตัวใช้ช้อนคนทีหนึ่ง จากนั้นจึงตะโกนเสียงดัง “จื่อเซวียน จื่อเมิ่ง เกี๊ยวต้มสุกแล้ว…”

เซียวยวี่ขมวดคิ้วอีกครั้ง “คือ…”

มือของเซี่ยยวี่หลัวหยุดชะงัก ก่อนหันหลังกลับมา แสร้งทำทีเป็นเพิ่งเห็นเซียวยวี่ ตวัดมุมปากเล็กน้อย “มาแล้วหรือ? รีบล้างมือสิ เกี๊ยวต้มเสร็จแล้ว”

จากนั้น จึงหันหลังไป ไม่สนใจเซียวยวี่อีก

เซี่ยยวี่หลัวตักเกี๊ยวที่ต้มเสร็จแล้วขึ้นมาทั้งหมด ไม่สนใจเซียวยวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ตลอด เดินตรงออกจากประตูห้องครัว ตะโกนเรียก “จื่อเซวียน จื่อเมิ่ง รีบมากินเกี๊ยวได้แล้ว”

เซียวยวี่ “…” อย่าว่าแต่อธิบายเลย เขากล่าวอะไรไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียวด้วยซ้ำ

เซียวจื่อเซวียนและเซียวจื่อเมิ่งอยู่ในสวนหลังบ้าน ตอนเซี่ยยวี่หลัวตะโกนเรียกครั้งแรก พวกเขาก็ได้ยินแล้ว เซียวจื่อเมิ่งเปิดปากกำลังจะขานรับ กลับโดนเซียวจื่อเซวียนปิดปากไว้ “อย่าขานรับ พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ต้องยังคุยกันไม่เสร็จแน่นอน! ”

เซียวจื่อเมิ่งพยักหน้าอย่างรู้ความ ไม่ได้ขานรับ

จนถึงหนที่สอง เสียงของพี่สะใภ้ใหญ่ดังอยู่ใกล้ๆ เซียวจื่อเมิ่งจึงขานตอบทันที “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ”

เซียวจื่อเซวียน “…” เมื่อครู่เขาเกือบจะปิดปากเจ้าเด็กจอมตะกละคนนี้ได้แล้วเชียว ขอเพียงมีของกิน ก็ตื่นตัวยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น!

พี่สะใภ้ใหญ่กล่าวไว้ว่า เซียวจื่อเมิ่งเป็นเด็กจอมตะกละตัวน้อย

เซียวจื่อเซวียนและเซียวจื่อเมิ่งออกจากสวนหลังบ้าน ก็พบกับเซี่ยยวี่หลัวตรงประตูห้องโถงพอดี

“ทำไมถึงอยู่สวนหลังบ้าน? จับกระต่ายได้หรือยัง? ” เซี่ยยวี่หลัวเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“พี่สะใภ้ใหญ่ กระต่ายไม่ได้หลุดออกมา พี่รองโกหกข้าเจ้าค่ะ” เซียวจื่อเมิ่งกล่าวเสียงใส

เซียวจื่อเซวียน “…” เขาลืมกำชับเจ้าเด็กจอมตะกละคนนี้ไปได้อย่างไรว่าห้ามบอกความจริง

เซี่ยยวี่หลัวจ้องมองเซียวจื่อเซวียนด้วยใบหน้าที่เหมือนกำลังยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม เพ่งมองจนเซียวจื่อเซวียนรู้สึกขนลุก เซี่ยยวี่หลัวมองเขาพร้อมเผยรอยยิ้ม แต่ตอนถามกลับเอ่ยถามเซียวจื่อเมิ่ง “จื่อเมิ่ง เช่นนั้นพี่รองเรียกเจ้าไปทำอะไร? ”

เซียวจื่อเมิ่งกล่าวอย่างตั้งใจด้วยน้ำเสียงสดใส “พี่รองบอกว่าพี่ใหญ่ไปหาพี่สะใภ้ใหญ่เพื่อคุยธุระ ให้ข้าหลบก่อนเจ้าค่ะ! ”

เซี่ยยวี่หลัวหันมองเซียวจื่อเซวียน เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม เซียวจื่อเซวียนถูกหักหลังซึ่งหน้า ภายในใจรู้สึกเหมือนกำลังหลั่งเลือดก็มิปาน “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านฟังข้าอธิบายก่อน…”

“เมื่อครู่ต้มเกี๊ยวไว้ไม่มากพอ เจ้ากินสักสองตัวให้หายอยากแล้วกัน” เซี่ยยวี่หลัวกล่าวเนิบๆ จากนั้นจึงจูงมือเซียวจื่อเมิ่งไป

เซียวจื่อเซวียนเดินตามหลังด้วยท่าทางเศร้าสลด เขาเห็นเกี๊ยวดิบยังอยากกินจนน้ำลายสอ ให้เขากินแค่สองตัว?

ขอเพิ่มอีกสักสองตัวได้หรือไม่?

เซียวจื่อเซวียนแทบอยากร้องไห้ พี่ใหญ่ ท่านต้องขอขมาพี่สะใภ้ใหญ่เสร็จแล้วนะ ไม่อย่างนั้นข้าก็ขาดทุนแย่!

เซี่ยยวี่หลัวพาเซียวจื่อเมิ่งไปล้างมือ เซียวจื่อเซวียนตามอยู่ด้านหลังด้วยท่าทางเศร้าสลด จากนั้นจึงเห็นพี่ใหญ่ยืนเดียวดายอยู่อีกด้านหนึ่ง ดูจากท่าทางนั่น…

พี่ใหญ่ของเขาต้องยังไม่ได้กล่าวอะไรเป็นแน่!

เซียวจื่อเซวียนตบหน้าผากทีหนึ่ง แทบอยากร้องไห้จริงๆ เกี๊ยวที่เขาต้องเสียไปใครจะชดใช้ให้?

เกี๊ยวถูกตักขึ้นจากหม้อแล้ว เซี่ยยวี่หลัวยกมาวางบนโต๊ะ ภายในจานมีเกี๊ยวยี่สิบกว่าตัว เซี่ยยวี่หลัวตักให้เซียวยวี่ชามหนึ่ง ตักให้เซียวจื่อเมิ่งเต็มหนึ่งชาม นางเองก็ตักเต็มชาม จากนั้นจึงจงใจเหลือไว้เพียงสองตัว

เซี่ยยวี่หลัวดันจานไปตรงหน้าเซียวจื่อเซวียน

เซียวจื่อเซวียนเบ้ปาก “…”

อัดอั้นใจจนแทบจะร้องไห้

“พี่สะใภ้ใหญ่ ข้า… ข้ากินสองตัวไม่พอขอรับ ข้าหิว…” เซียวจื่อเซวียนกล่าวอย่างระมัดระวัง

เซี่ยยวี่หลัวก้มหน้ากินเกี๊ยว ไม่ได้สนใจเขา

“จื่อเมิ่ง ให้พี่รองสักสองตัวสิ…” เซียวจื่อเซวียนหันมองไปทางเซียวจื่อเมิ่งพร้อมเผยรอยยิ้มประจบเอาใจ

เซียวจื่อเมิ่งกันชามไว้ พร้อมกล่าวเสียงใส “ข้าไม่ให้เจ้าค่ะ ใครให้ท่านหลอกข้า! ”

เซียวจื่อเซวียนหันมองไปทางเซียวยวี่ “พี่ใหญ่ แบ่ง…”

“เกี๊ยวให้ข้าบ้างได้หรือไม่ขอรับ” กลับติดอยู่ในลำคอ ช่างเถอะ แบ่งอะไรอีก อย่าแบ่งเลย

เพิ่งผ่านไปครู่เดียว เกี๊ยวชามใหญ่ของเซียวยวี่ หายไปกว่าครึ่งชามแล้ว ในน้ำส้มสายชูมีพริก รวมกับเกี๊ยวแป้งบางเนื้อเยอะ อร่อยจนแทบกัดลิ้น

ช่างอร่อยเหลือเกิน

ดูท่าทางพี่ใหญ่ที่กินอย่างเอร็ดอร่อย ไม่เห็นเลยว่าเพื่อเขาแล้ว ตัวเองน่าสงสารจนได้กินเกี๊ยวเพียงสองตัว!

ไม่ได้ ต่อไปพี่สะใภ้ใหญ่มีสิทธิมีเสียงมากที่สุดในบ้าน ไม่ว่าอย่างไรก็จะฟังพี่ใหญ่ไม่ได้อีกเป็นอันขาด!

เรียนรู้จากประสบการณ์ที่เจ็บปวด เซียวจื่อเซวียนตัดสินใจแล้ว ว่าต่อไปเขาต้องกอดขา*พี่สะใภ้ใหญ่ไว้ให้แน่น ส่วนขาของพี่ใหญ่…

อย่าเลยดีกว่า ขาของพี่ใหญ่ไม่ใหญ่เท่าของพี่สะใภ้ใหญ่

———————————

เชิงอรรถ

*กอดขา เป็นคำแสลงของจีน หมายถึงการพึ่งพาอาศัยผู้มีอำนาจอิทธิพลมากกว่าเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ใกล้เคียงกับสำนวนไทย ลิ้นยาวถึงตาตุ่ม หรือ เลียแข้งเลียขา นั่นเอง